News, ข่าวเด่น, บทความ, สื่อเผยแพร่

“อินฟลูสายเหล้า”: เทรนด์บุคคลธรรมดา และ nano influencer ที่อาจชี้นำการดื่ม

“อินฟลูสายเหล้า”: เทรนด์บุคคลธรรมดาและ nano influencer ที่อาจชี้นำการดื่ม

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศรีรัช ลาภใหญ่
ผู้จัดการโครงการการศึกษา พัฒนา ขยายผลการเฝ้าระวังและจัดการความรู้ผลิตภัณฑ์เสี่ยงสุขภาพ

ประเทศไทย มี “อินฟลูเอนเซอร์” จำนวนสูงถึง 2 ล้านราย เป็นที่สองรองจากประเทศอินโดนีเซีย ข้อมูลจาก สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) อุตสาหกรรมที่มีการใช้การตลาดอินฟลูเอนเซอร์มากที่สุดของประเทศไทยในปี 2565 อันดับ 1 ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม คิดเป็นสัดส่วนถึง 39% เหตุผลที่ใช้อินฟลูเอนเซอร์ คือ เพื่อจูงใจให้ซื้อสินค้า สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคนี้ที่มีพฤติกรรมชมการรีวิวจากอินฟลูเอนเซอร์ก่อนตัดสินใจซื้อ พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการ สนค. กล่าวว่า จากข้อมูลดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า การตลาดอินฟลูเอนเซอร์มีอิทธิพลต่ออุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มของไทยอย่างมาก อินฟลูเอนเซอร์แบ่งเป็น 4 ระดับ ตั้งแต่ระดับ nano influencer มีจำนวนผู้ติดตามตั้งแต่ 1,000 ถึง 10,000 ราย ไปจนถึงระดับ mega ที่มีผู้ติดตาม 1ล้านรายเป็นต้นไป ซึ่งอินฟลูเอนเซอร์ระดับ nano คือ บุคคลธรรมดา นั่นเองที่มีผู้ติดตามระดับพันรายขึ้นไป

ข้อดีของการใช้การตลาดอินฟลูเอนเซอร์ที่เป็นระดับ nano หรือการเป็นบุคคลธรรมดา คือการเข้าถึงที่ง่าย ดูสมจริง ดูจริงใจมากกว่าโฆษณาตรง เหมือนเพื่อนเล่าให้ฟังแบบปากต่อปาก เห็นการใช้สินค้าโดยตรงด้วยตนเอง มีการบรรยายสรรพคุณแบบเล่าให้ฟัง ชี้เป้าแหล่งขายและบอกราคาอย่างแนบเนียน การตลาดผ่าน nano อินฟลูเอนเซอร์ มีความน่าสนใจและมีจำนวนอินฟลูเอนเซอร์จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะตอบโจทย์ทางจิตวิทยาผู้บริโภคว่า มนุษย์จะเชื่อคนใกล้ตัว เชื่อเพื่อนหรือคนธรรมดารายอื่นๆ และคิดว่าจริงมากกว่าการใช้ดารา การใช้อินฟลูเอนเซอร์ ไม่ว่าระดับใด เพื่อนำเสนอสินค้า บรรยายสรรพคุณ บอกข้อดี สาธิต แสดงให้เห็น บอกแหล่งขาย ราคา ก็เพื่อการชักจูงใจ ชวนให้สนใจ จดจำชื่อยี่ห้อได้ และนำไปสู่การซื้อสินค้าในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการกดซื้อทันทีผ่านตะกร้าสินค้าอัตโนมัติที่อินฟลูเอนเซอร์ฝากลิงค์ไว้ในสื่อที่ตนเองนำเสนอ หรือจำชื่อยี่ห้อ จำคุณสมบัติได้เพื่อทดลองใช้และซื้อในภายหลัง

ในการใช้การตลาด nano อินฟลูเอนเซอร์ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือ “อินฟลูสายเหล้า” ก็มีให้พบเห็นจำนวนหลายรายในสื่อ social media โดยมีการสื่อสารอย่างแนบเนียน นำเสนอเครื่องดื่ม ดื่มให้ชมหรือไม่ดื่มให้ชมแต่บรรยายคุณสมบัติ และแสดงตราสินค้าให้เห็นอย่างชัดเจนหรือบอกชื่อยี่ห้ออย่างชัดเจน ถึงแม้บุคคลนั้นจะไม่ได้เป็นผู้ขายโดยตรงก็ตาม ไม่ได้เปิดร้าน แต่เป็นผู้นำเสนอคอนเทนต์ ที่อาจมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการซื้อการใช้ให้ผู้รับสารอยากตามรอยอินฟลูเอนเซอร์ กระตุ้นความสนใจและความคิด และตอบสนองจิตวิทยาของผู้บริโภคสมัยใหม่ที่จะค้นหาคอนเทนต์ของอินฟลูเอนเซอร์หรือฟังรีวิวก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า ซึ่งนับเป็นการโฆษณารูปแบบหนึ่ง ส่งเสริมแบรนด์ เป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมการขายผ่านสื่อ ผ่านบุคคล ถือว่า เป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสารการตลาดนั่นเอง ทั้งนี้ อินฟลูเอนเซอร์สายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แตกต่างจากคนทั่วไปที่อาจแสดงภาพงานเลี้ยง กำลังทานอาหาร สังสรรค์แล้วติดขวดเครื่องดื่ม ตรงที่เจตนาในการส่งเสริมการขาย ความถี่ในการนำเสนอ ความชัดเจนและเจตนาในการประชาสัมพันธ์ชื่อสินค้า ถึงแม้จะเป็นบุคคลธรรมดาเหมือนกัน

ในด้านผลกระทบของอินฟลูเอนเซอร์ต่อการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลวิจัยจำนวนมากต่างบ่งชี้ตรงกันว่า การรับชมอินฟลูเอนเซอร์สายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีผลทำให้วัยรุ่นระดับมัธยม ดื่มเพิ่มขึ้น ผลการวิจัยกลุ่มนักเรียนมัธยมปลายจำนวน 3,121 รายในไต้หวัน พบว่า วัยรุ่นที่รับชมอินฟลูเอนเซอร์สายรีวิวเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีแนวโน้มจะดื่มและจะซื้อเพิ่มมากขึ้น

ผลวิจัยจาก Strowger, Guzman, Ward, Braitman (2023) พบว่า ทั้งอินฟลูเอนเซอร์ที่เป็นนักแสดง อินฟลูเอนเซอร์ที่เป็นบุคคลธรรมดาและอินฟลูเอนเซอร์ประเภทอื่นๆ ต่างมีผลต่อการดื่มที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้รับชมที่เป็นวัยรุ่น ผลวิจัยจาก Vranken, Beullens, Geyskens, Matthes (2023) พบว่า วัยรุ่นชอบรับชมอินฟลูเอนเซอร์สายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และอินฟลูเอนเซอร์สายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีผลต่อการเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เป็นทางบวก Hendriks, Wilmsen, Dalen, Gebhardt (2020) ระบุว่า ธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใช้อินฟลูเอนเซอร์เพื่อเลี่ยงกฎหมายในการเข้าถึงเยาวชน ผลวิจัยยังพบว่า อินฟลูเอนเซอร์จะเสนอคอนเทนต์ที่สื่อถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในแนวบวกผสานไปกับวิถีชีวิต และมีผลต่อการดื่มในกลุ่มวัยรุ่นอายุน้อย

ด้วยอิทธิพลจูงใจและการนำเสนออย่างแนบเนียนของอินฟลูเอนเซอร์และจำนวนอินฟลูเอนเซอร์ที่ทวีมากขึ้น WHO จึงระบุว่า ต้องมีการควบคุมการตลาดดิจิตัล โดยเฉพาะการสื่อสารข้ามประเทศด้วยการตลาดอินฟลูเอนเซอร์ หลายประเทศ อย่างอังกฤษ นอร์เวย์ และสหรัฐอเมริกา มีระเบียบที่บังคับให้อินฟลูเอนเซอร์แสดงความสัมพันธ์ว่า ได้รับจ้างมาจากแบรนด์ที่อินฟลูเอนเซอร์รับรีวิวสินค้าให้ เพื่อเป็นความยุติธรรมต่อผู้บริโภคและผู้รับชม และพบว่า เริ่มมีเสียงเรียกร้องในประเทศไทยให้มีการควบคุมคอนเทนต์ในสื่อดิจิตัลด้วยเช่นกัน เพื่อปกป้องเยาวชนต่อเนื้อหาที่สุ่มเสี่ยงและไม่ผ่านการคัดกรองใดๆ ทาง สภาพัฒน์ฯ ได้เสนอให้มีกฎหมายควบคุม เช่นเดียวกับในต่างประเทศ ส่วนสภาองค์กรของผู้บริโภค มีข้อเสนอยกร่างจรรยาบรรณขั้นพื้นฐานเพื่อเป็นแนวทางให้อินฟลูเอนเซอร์ และควรมีกฎหมายกำกับ พร้อมขึ้นทะเบียนอินฟลูเอนเซอร์เพื่อให้ผู้นำเสนอคอนเทนต์ต้องร่วมรับผิดชอบกรณีหากมีการกระทำไม่เหมาะสม

อ้างอิงข้อมูลจาก:
1) ตลาดอินฟลูเอนเซอร์โตต่อเนื่อง แต่ตัวตนต้องชัดเจนจึงจะอยู่รอด. สืบค้น 8 มีนาคม 2567 จาก https://www.dataxet.co/media-landscape/2024-th/influencer มกราคม 2567.
2) อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มไทยติดโผใช้”อินฟลูเอนเซอร์” มากที่สุด. สืบค้น 8 มีนาคม 2567 จาก กรุงเทพธุรกิจ https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1102638.
Chun-Yin Hou, Tzu-Fu Huang, Fong-Ching Chang, Tsu-En Yu, Tai-Yu Chen, Chiung-Hui Chiu, Ping-Hung Chen, Jeng-Tung Chiang, Nae-Fang Miao, Hung-Yi Chuang. (2023 May). Behav Sci (Basel). 13(5): 374.doi: 10.3390/bs13050374.
3) Strowger,Guzman,Ward,Braitman. (2023). Following social media influencers who share alcohol-related content is associated with college drinking. Drug and Alcohol Review. ;43(1):86-97.doi: 10.1111/dar.13694.
4) Vranken,Beullens,Geyskens,Matthes. (2023). Under the influence of (alcohol)influencers? A qualitative study examining Belgian adolescents’ evaluations of alcohol-related Instagram images from influencers. Journal of Children and Media, 17:1, 134-153, DOI: 10.1080/17482798.2022.2157457.
5) Hendriks,Wilmsen,Dalen,Gebhardt. (2020).Picture me drinking: alcohol-related posts by Instagram influencers popular among adolescents and young adults. Frontiers in Psychology, 10,DOI:10.3389/fpsyg.2019.02991.
6) ไทยควรมีกฎหมายคุม “อินฟลูเอนเซอร์” หรือไม่. สืบค้น 8 มีนาคม 2567 จาก สำนักข่าวไทย https://tna.mcot.net/business-1330246.

News, ข่าวเด่น

ดราม่า vs ข้อเท็จจริง ฉลากเหล้าเบียร์


ดราม่า vs ข้อเท็จจริง ฉลากเหล้าเบียร์

“#ฉลากน่ากลัว”
“#ฉลากสยอง”
“#ฉลากโง่เราจะตายกันหมด”

แฮทแท็กที่กำลังเป็นประเด็นร้อนอยู่ในตอนนี้ อาจจะเป็นความพยายามที่จะสร้างกระแสให้สังคมเห็นว่า ร่างประกาศคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ ฉลาก พร้อมทั้งข้อความคำเตือนสำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผลิตหรือนำเข้า พ.ศ. …. ของกระทรวงสาธารณสุขที่กำลังเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทั่วไปในขณะนี้ เป็นกฎหมายที่ไม่เหมาะสม ไม่เป็นประโยชน์ หรือเป็นผลเสียต่ออุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประเทศไทย จนเกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากมาย จึงอยากชวนตั้งคำถามว่า แล้วข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร?

ทำไมต้องมีฉลากคำเตือนด้านสุขภาพบนขวดเหล้าเบียร์?

บทบาทสำคัญของฉลากคำเตือนด้านสุขภาพบนขวดหรือกระป๋องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คือ การให้ข้อมูลความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับเครื่องดื่มฯ ให้กับผู้บริโภค เป็นการทำให้สังคมและผู้บริโภคเห็นว่า  เครื่องดื่มแอลกอฮอล์แตกต่างจากสินค้าทั่วไป เพราะเป็นสินค้าที่เป็นอันตรายและก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ได้ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนบทบาททางวัฒนธรรมของสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเปลี่ยนจากการยอมรับมันโดยไม่ได้ไตร่ตรองในชีวิตประจำวัน มาเป็นการคิดถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างรอบคอบมากขึ้น และมีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า ฉลากคำเตือนด้านสุขภาพส่งผลต่อความรู้ ความตระหนัก ความตั้งใจ และการรับรู้ต่อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยมีผลกระทบในระยะสั้นต่อการดื่มและพฤติกรรมเสี่ยงจากการดื่ม ประเทศต่าง ๆ จำนวน 47 ประเทศ มีการบังคับให้มีฉลากคำเตือนด้านสุขภาพบนขวดหรือภาชนะบรรจุเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งนี้ เนื้อหาของฉลากคำเตือนมีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ยกตัวอย่าง เช่น

  • ประเทศฝรั่งเศสและออสเตรเลีย เน้นความเสี่ยงและผลกระทบจากการดื่มระหว่างตั้งครรภ์บนฉลากคำเตือน
  • ประเทศแอฟริกาใต้ มีฉลากคำเตือนด้านสุขภาพอย่างน้อย 1 ใน 7 ข้อความที่กำหนดไว้แล้ว รวมถึงความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บและการเสพติด ซึ่งเทียบเคียงกับของประเทศไทย
  • ประเทศแคนาดา เขตยูคอน (Yukon Territory) มีฉลากคำเตือนด้านสุขภาพ โดยออกแบบชุดข้อความที่เป็นคำเตือนเกี่ยวกับมะเร็ง ดังแสดงในภาพที่ 1


    ภาพที่ 1 ฉลากคำเตือนความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งบนภาชนะบรรจุแอลกอฮอล์ในงานวิจัยในเขตยูคอน (Yukon Territory) ประเทศแคนาดา   ทำซ้ำจาก Schoueri-Mychasiw N, Weerasinghe A, Vallance K, et al. (2020) Examining the impact of alcohol labels on awareness and knowledge of national drinking guidelines: A real-world study in Yukon, Canada. Journal of Studies on Alcohol and Drugs, 81 262-272. doi:10.15288/jsad.200.81.262 under a CC-BY-4.0 license.

การศึกษาของประเทศแคนาดาเน้นว่า ฉลากมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดื่มในกรอบเวลาที่สั้น เช่น ในทันทีที่เห็นฉลากคำเตือน หรือคาดว่า จะลดการซื้อหาเครื่องดื่มในร้านค้า หรือลดการเติมเครื่องดื่มลงในแก้วเมื่อมองเห็นฉลากคำเตือนเหล่านี้ แล้วหยุดคิด และตัดสินใจวางเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลง หรืออาจจะส่งผลกระทบหลังจากเวลานั้นเล็กน้อย เช่น มีการพูดคุยกับสมาชิกครอบครัว ลูกหลาน เมื่อได้เห็นฉลากคำเตือนด้านสุขภาพบนผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม

สรุปได้ว่า ฉลากที่เห็นได้ชัดเจนพร้อมข้อความคำเตือนด้านสุขภาพ เป็นสิ่งที่มีประโยชน์และมีประสิทธิผลในระดับชุมชน เพื่อให้รับทราบแนวทางข้อแนะนำด้านการดื่มสุรา ส่งเสริมความตระหนักรู้ความเสี่ยงต่อมะเร็งจากการดื่ม และลดการซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาเก็บไว้ในตู้เย็นที่บ้าน

กลไกประสิทธิผลของฉลากคำเตือนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์


ปัญหาฉลากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปัจจุบันที่น่ากังวลมีอะไรบ้าง?

          ฉลากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของไทยในปัจจุบันมีขนาดเล็ก ตัวอักษรอ่านยาก และจากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการสนับสนุนมาตรการกำหนดข้อความคำเตือนบนฉลากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปี 2565 โดยสวนดุสิตโพล พบว่า กลุ่มตัวอย่างกว่าร้อยละ 60 ไม่เคยอ่านฉลากก่อนซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และในกลุ่มที่อ่านฉลาก ร้อยละ 47 ให้ความสำคัญเฉพาะข้อมูลความเข้มข้นของปริมาณแอลกอฮอล์ และร้อยละ 17 ให้ความสำคัญปริมาณบรรจุ โดยมีเพียงร้อยละ 9.3 ที่อ่านคำเตือน นั่นอาจสะท้อนได้ว่า ฉลากคำเตือนแบบตัวหนังสือที่มีอยู่อาจไม่โดดเด่นพอ และจากการศึกษาการรับรู้และความคิดเห็นต่อรูปแบบฉลากคำเตือนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปี 2560 พบว่า กลุ่มเยาวชนส่วนใหญ่เสนอว่า อยากให้มีรูปภาพคำเตือนร่วมกับข้อความคำเตือนด้วย ซึ่งข้อความคำเตือนควรมีลักษณะสั้น กระชับ และควรเน้นให้เห็นโทษและผลกระทบจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น ควรเน้นคำว่า “ตาย” “พิการ” “มะเร็งตับ” โดยออกแบบสีและขนาดให้มองเห็นได้ง่ายทั้งในที่มืดด้วย และภาพคำเตือนควรมีขนาดที่ใหญ่ ติดบริเวณด้านหน้าขวดคู่กับตรายี่ห้อ โดยกลุ่มตัวอย่างให้เหตุผลว่า ภาพคำเตือนทำให้รู้สึกกลัวไม่กล้าดื่มหรือลดความอยากซื้อ ได้มากกว่าการแสดงข้อความคำเตือนเพียงอย่างเดียว


ร่างประกาศคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ ฉลาก พร้อมทั้งข้อความคำเตือนของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผลิตหรือนำเข้า ไม่สอดคล้องกับการเร่งผลักดันฟื้นฟูและพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จริงหรือไม่?

เมื่อพิจารณาเจตนารมณ์ของกฎหมายนี้ คือการมุ่งเน้นในการลดความดึงดูดของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อกลุ่มเด็กและเยาวชน ยังไม่มีหลักฐานวิชาการที่ชี้ให้เห็นว่า การออกแบบฉลากน่ากลัวมีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) เพราะสิ่งจูงใจที่ทำให้นักท่องเที่ยวมาประเทศไทยไทยไม่ใช่การขาย การดื่ม หรือฉลากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่นักท่องเที่ยวส่วนมากอยากมาเที่ยวประเทศไทยเพราะต้องการมาเที่ยวทะเล ป่าเขา ชื่นชมธรรมชาติที่งดงาม ชื่นชอบอาหารที่เอร็ดอร่อย หรือมองว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ราคาถูก ทั้งโรงแรมที่พักและอาหารการกินเมื่อเทียบกับคุณภาพ ประเทศไทยไม่ใช่แหล่งแอลกอฮอล์ระดับโลกแบบเดียวกับฝรั่งเศสหรืออิตาลี นอกจากนี้ ยังไม่เคยมีการสำรวจที่บ่งว่า นักท่องเที่ยวจะหลีกเลี่ยงการมาเมืองไทย หรือแม้กระทั่งหลีกเลี่ยงการดื่มเบียร์ในประเทศไทย เพียงเพราะฉลากมีข้อความและภาพน่ากลัว และที่สำคัญ ฉลากไม่ได้ทำให้รสชาติแอลกอฮอล์เสียไป ไม่มีหลักฐานว่า การเปลี่ยนแปลงลักษณะคำเตือนบนฉลากจะทำให้ต้นทุนของการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่อาจส่งเสริมการท่องเที่ยวเสียด้วยซ้ำไป เนื่องจากการมีคำเตือนในฉลากอาจช่วยสร้างความตระหนักและลดโอกาสในการเกิดการดื่มที่มากจนเป็นอันตราย และอุบัติเหตุทางถนน

ถึงแม้ว่ายังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนที่แสดงถึงผลของฉลากต่อพฤติกรรมการบริโภค แต่นักวิชาการนานาชาติได้ให้ข้อสังเกตว่า

  • การที่ผู้บริโภคสามารถรับรู้ & จดจำความเสี่ยงและอันตรายของผลิตภัณฑ์ได้ ถึงแม้ว่าจะเลือกที่จะละเลยไม่ปฏิบัติตามคำเตือน ก็ถือเป็นความสำเร็จของมาตรการนี้แล้ว
  • ฉลากคำเตือนอาจไม่สามารถที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มได้ทุกครั้ง แต่จะสร้างความตระหนักว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ใช่สินค้าธรรมดาทั่วไป
  • รูปแบบ ดีไซน์ และรายละเอียดของคำเตือนที่บังคับใช้ยังอยู่มีข้อจำกัดมาก โดยเฉพาะประสิทธิภาพในการสื่อสารผู้บริโภค
  • ฉลากคำเตือนเป็นมาตรการที่ลงทุนต่ำและความคุ้มค่า เทียบการการรณรงค์ประชาสัมพันธ์อื่นๆ ในการสื่อสารข้อมูลความเสี่ยงของผลิตภัณฑ์
  • มาตรการฉลากคำเตือนน่าจะมีศักยภาพช่วยเสริมประสิทธิผลของมาตรการอื่นๆ หากนำไปเชื่อมโยงกัน เช่น มาตรการการรณรงค์ของชุมชนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายแอลกอฮอล์ หรือ เพิ่มความเคร่งครัดของกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

สุดท้ายนี้ จากหลักฐานทางวิชาการ เป็นที่แน่นอนว่า ฉลากคำเตือนทำหน้าที่เป็นเครื่องมือ ณ จุดสุดท้ายที่จะทำให้ผู้บริโภคมีความรู้ ความตระหนักต่อโทษภัยของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และฉุกคิดตรึกตรองอีกครั้ง ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อหรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่าลืมว่า ผู้บริโภคมีสิทธิที่จะรู้ข้อมูลความเสี่ยงของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ต่างกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ก่ออันตรายต่อสุขภาพของผู้ดื่มและผู้อื่นได้


เอกสารอ้างอิง:

  • Martin-Moreno, J. M., Harris, M. E., Breda, J., Møller, L., Alfonso-Sanchez, J. L., & Gorgojo, L. (2013). Enhanced labelling on alcoholic drinks: reviewing the evidence to guide alcohol policy. European journal of public health, 23(6), 1082-1087.
  • Scholes-Balog, K. E., Heerde, J. A., & Hemphill, S. A. (2012). Alcohol warning labels: unlikely to affect alcohol-related beliefs and behaviours in adolescents. Australian and New Zealand journal of public health, 36(6), 524-529.
  • Schoueri-Mychasiw, N., Weerasinghe, A., Stockwell, T., Vallance, K., Hammond, D., Greenfield, T. K., McGavock, J., & Hobin, E. (2021). Use as directed: do standard drink labels on alcohol containers help consumers drink (ir) responsibly? Real-world evidence from a quasi-experimental study in Yukon, Drug and alcohol review, 40(2), 247-257.
  • Schoueri-Mychasiw, N., Weerasinghe, A., Vallance, K., Stockwell, T., Zhao, J., Hammond, D., McGavock, J., Greenfield, T. K., Paradis, C., & Hobin, E. (2020). Examining the impact of alcohol labels on awareness and knowledge of national drinking guidelines: a real-world study in Yukon, Canada. Journal of studies on alcohol and drugs, 81(2), 262-272.
  • Thomas, G., Gonneau, G., Poole, N., Cook, J. (2014). The effectiveness of alcohol warning labels in the prevention of fetal alcohol spectrum disorder: a brief review. The International Journal of Alcohol and Drug, 3(1), 91-103.
  • World Health Organization (2018) Global Status Report on Alcohol and Health 2018, Geneva.
  • Wilkinson, C., & Room, R. (2009). Warnings on alcohol containers and advertisements:  international experience and evidence on effects. Drug and alcohol review,
  • 28(4), 426-435.
  • สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต (2565) การสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการสนับสนุนมาตรการกาหนดข้อความคำเตือนบนฉลากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สานักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค
  • กนิษฐา ไทยกล้า และคณะ (2560) การรับรู้และความคิดเห็นต่อรูปแบบฉลากคำเตือนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • อรทัย วลีวงศ์ (2566) ผลการทบทวนข้อมูลวิชาการมาตรการฉลากและบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ
  • อรทัย วลีวงศ์ และ ญาณิศา พุ่มสุทัศน์ (2567) ข้อพิจารณาสำหรับการพัฒนามาตรการฉลากและบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในบริบทประเทศไทย สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ
News, ข่าวเด่น

รัฐไทยอ้างเศรษฐกิจ ปลดล็อค กม.คุมเหล้า เมินผลกระทบที่เกิดขึ้นจากนโยบาย!!


รัฐไทยอ้างเศรษฐกิจ ปลดล็อค กม.คุมเหล้า เมินผลกระทบที่เกิดขึ้นจากนโยบาย‼️

นางสาวจินตนา จันทร์โคตรแก้ว สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กล่าวว่า จากที่รัฐบาลได้มีความพยายามลดหย่อนนโยบายควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อเอื้อประโยชน์ในการกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา เช่น มาตรการขยายเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การลดภาษีไวน์ การสนับสนุนการผลิตสุราชุมชน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แต่การดำเนินมาตรการดังกล่าวเกิดประโยชน์มากกว่าความสูญเสียของประเทศจริงหรือไม่นั้น รัฐยังไม่เคยพูดถึงสิ่งที่จะเกิดตามมาหรือแม้แต่การเตรียมมาตรการรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และนับจากวันที่มีการขยายเวลาในพื้นที่นำร่อง 15 ธันวาคม 2566 ถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่มีวี่แววของการติดตามและประเมินผลของนโยบายเช่นกัน ทั้งที่องค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทยและกระทรวงสาธารณสุขยืนยันผลการศึกษาเกี่ยวกับความคุ้มค่าของการดำเนินนโยบายแอลกอฮอล์ประกอบไปด้วย การควบคุมวัน เวลา สถานที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การขึ้นภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการควบคุมโฆษณา การควบคุมการดื่มแล้วขับและการคัดกรองและบำบัดรักษาให้มีประสิทธิภาพ ภายใน 5 ปี หากภาครัฐลงทุนเพียง 22 ล้านล้านบาท จะได้ผลประโยชน์จากการรักษาประสิทธิภาพของคนวัยทำงานที่ไม่ต้องลางานขาดงานสูงถึง 59 ล้านล้านบาท โดยทุก 1 บาทที่รัฐลงทุนในการดำเนินมาตรการจะได้รับประโยชน์กลับมา 2.64 บาท และแทนที่รัฐบาลจะลงทุนกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตในระยะยาว เช่น การพัฒนาคุณภาพการศึกษา การพัฒนาฝีมือแรงงาน แต่กลับใช้นโยบายที่หวังผลระยะสั้น ที่นำไปสู่การสูญเสียทางเศรษฐกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว

สำหรับการลดภาษีไวน์เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ หากลองพิจารณากลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่ดื่มไวน์ คือ ผู้มีรายได้สูง แทนที่รัฐบาลจะเก็บภาษีจากการจำหน่ายไวน์เพื่อเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขให้เกิดขึ้นในสังคม แต่กลับเอื้อผลประโยชน์ให้บริษัทผลิตไวน์และผู้บริโภคที่มีรายได้สูง และนำไปสู่การเพิ่มความเหลื่อมล้ำ ซึ่งคนที่ได้รับผลกระทบจากการดื่มมากที่สุด คือ กลุ่มผู้มีรายได้น้อย ทั้งค่าใช้จ่ายทางสุขภาพที่ต้องแบกรับจากโรคไม่ติดต่อ และปัญหาทางสังคม เช่น ปัญหาความรุนแรงภายในครอบครัวที่พบมากในกลุ่มครัวเรือนที่ยากจน เห็นตัวอย่างได้จากประเทศสกอตแลนด์ เมื่อรัฐบาลประกาศใช้มาตรการนโยบายการกำหนดราคาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขั้นต่ำ รวมทั้งไวน์ นำไปสู่การลดการตายที่เกิดจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สูงถึงร้อยละ 13.4 และอัตราการผู้ป่วยที่นอนโรงพยาบาลได้ร้อยละ 4.1

ส่วนการเพิ่มเวลาขายกระตุ้นให้มีนักท่องเที่ยวมากขึ้นนั้น ในทางกลับกัน ประเทศกลับเสียผลประโยชน์จากค่ารักษาพยาบาลและความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุบนท้องถนนและการทะเลาะวิวาท รวมทั้งอาชญากรรมที่ตามมา รวมถึงภาพลักษณ์ของประเทศในการเป็นประเทศท่องเที่ยวแบบปลอดภัย จากประสบการณ์ของประเทศออสเตรเลียในรัฐนิวเซาท์เวลส์ในเขตเมืองนิวคาสเซิล ได้มีการลดเวลาเปิดผับจากตี 5 เป็นตี 3.30 และห้ามรับลูกค้าเพิ่มหลังเวลาตี 1.30 แต่ยังนั่งดื่มได้จนถึงตี 3.30 หลังจากการดำเนินมาตรการมีการศึกษาพบว่า คดีทำร้ายร่างกายลดลงร้อยละ 34 เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนดำเนินมาตรการ เช่นเดียวกันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่กรุงอัมสเตอร์ดัมประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้มีการประกาศขยายเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ออกไป 1 ชั่วโมงเพื่อกระตุ้นนักท่องเที่ยว แต่เมื่อมีการขยายเวลาขายกลับพบว่า อัตราของการเกิดอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นร้อยละ 34 ในพื้นที่ที่มีการขยายเวลาขายเมื่อเทียบกับพื้นที่ควบคุม นอกจากนี้การขยายเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นำไปสู่อาชญากรรม อุบัติเหตุ ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยในการท่องเที่ยว

การผลิตสุราชุมชน กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ถึงแม้การผลิตสุราชุมชนจะเป็นการกระจายรายได้จากรายใหญ่ไปสู่รายย่อย แต่ผลที่ตามมาอาจจะได้ไม่คุ้มเสีย ทั้งการควบคุมมาตรฐานของสุราที่ส่งผลเสียต่อผู้บริโภคในภายหลัง การที่ต้องเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าตรวจโรงผลิตสุราชุมชนที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น

ซึ่งทั้งหมดนี้อาจเป็นมาตรการที่ได้ไม่คุ้มเสีย เพราะ “รัฐบาลมองเห็นผลประโยชน์ระยะสั้นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ประเทศต้องทนรับผลเสียจากนโยบายไปอีกยาว” คุณจินตนากล่าว

News, ข่าวเด่น, บทความ

การลดหย่อนนโยบายควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ช่วยการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้จริงหรือ?


การลดหย่อนนโยบายควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ช่วยการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้จริงหรือ

โดย นางสาวจินตนา จันทร์โคตรแก้ว สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ

รัฐบาลได้มีความพยายามลดหย่อนนโยบายควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อเอื้อประโยชน์ในการกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา เช่น มาตรการขยายเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การลดภาษีไวน์ การสนับสนุนการผลิตสุราชุมชน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แต่การดำเนินมาตรการดังกล่าวเกิดประโยชน์มากกว่าความสูญเสียของประเทศจริงหรือ

ประเทศไทยประสบความสูญเสียทางเศรษฐศาสตร์ที่เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปีละ 165,450.5 ล้านบาทหรือประมาณร้อยละ 1.05 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (1) รัฐบาลกลับมองผลระยะสั้นที่เกิดขึ้น ผลเสียที่ตามมา กลับทวีคูณ การสูญเสียดังกล่าวเกิดจากการสูญเสียผลิตภาพที่เกิดจากการตายก่อนวัยอันควรและความพิการที่ไม่สามารถทำงานได้ ทั้งที่ประเทศไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุ การดำเนินมาตรการที่ก่อให้การตายก่อนวัยอันควรและความพิการที่เกิดขึ้นย่อมนำไปสู่ผลเสียต่อเศรษฐกิจและสังคมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งเป็นมาตรการที่ได้ไม่คุ้มเสีย แต่ละปีมีประชากรไทยเสียชีวิตเนื่องจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 4 หมื่นคนต่อปีทั้งที่เกิดจากโรคไม่ติดต่อและการบาดเจ็บทางถนน (2) โดยเฉพาะในชายไทยอายุ 30-59 ปีที่อยู่ในวัยทำงานเกิดการสูญเสียปีสุขภาวะที่จะมีสุขภาพดีทั้งที่เกิดจากความพิการและการตายก่อนวัยอันควร เนื่องจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 163,000 ปี หรือคิดเป็นร้อยละ 3 ของการสูญเสียปีสุขภาวะทั้งหมด จำนวนปีดังกล่าวแทนที่ชายไทยจะนำไปสร้างผลิตภาพให้กับเศรษฐกิจไทย (3) แทนที่รัฐบาลจะลงทุนกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตในระยะยาว เช่น การพัฒนาคุณภาพการศึกษา การพัฒนาฝีมือแรงงาน แต่กลับใช้นโยบายที่หวังผลระยะสั้น ที่นำไปสู่การสูญเสียทางเศรษฐกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว นอกจากนี้การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุหลักนำไปสู่โรคไม่ติดต่อหลายสาเหตุ เช่น มะเร็ง โรคตับ โรคหัวใจ (4) ประเทศไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นำไปสู่ภาระทางสุขภาพที่รัฐบาลจะต้องแบกรับในปัจจุบันและอนาคต นอกจากนี้จากการศึกษาขององค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทยและกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับความคุ้มค่าของการดำเนินนโยบายแอลกอฮอล์ประกอบไปด้วย การควบคุมวัน เวลา สถานที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การขึ้นภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการควบคุมโฆษณา การควบคุมการดื่มแล้วขับและการคัดกรองและบำบัดรักษาให้มีประสิทธิภาพ ภายใน 5 ปีหากภาครัฐลงทุนเพียง 22 ล้านล้านบาทจะได้ผลประโยชน์จากการรักษาประสิทธิภาพของคนวัยทำงานที่ไม่ต้องลางานขาดงานสูงถึง 59 ล้านล้านบาท โดยทุก 1 บาทที่รัฐลงทุนในการดำเนินมาตรการจะได้รับประโยชน์กลับมา 2.64 บาท (5)

การลดภาษีไวน์กระตุ้นเศรษฐกิจจริงเหรอ ผู้บริโภคไวน์ส่วนใหญ่ คือ ผู้มีรายได้สูง แทนที่รัฐบาลจะเก็บภาษีจากการจำหน่ายไวน์เพื่อเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข ให้เกิดขึ้นในสังคม แต่กลับเอื้อผลประโยชน์ให้บริษัทผลิตไวน์และผู้บริโภคที่มีรายได้สูง จากหลักฐานองค์การอนามัยโลกได้ยืนยันชัดเจนเกี่ยวกับประสิทธิภาพของมาตรการทางภาษีและราคาในการลดการบริโภคการดื่มและความสูญเสียทางสุขภาพและสังคม นอกจากนี้การลดภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นำไปสู่การเพิ่มความเหลื่อมล้ำ คนที่ได้รับผลกระทบจากการดื่มมากที่สุด คือ กลุ่มผู้มีรายได้น้อย ทั้งค่าใช้จ่ายทางสุขภาพที่ต้องแบกรับจากโรคไม่ติดต่อ และปัญหาทางสังคม เช่น ปัญหาความรุนแรงภายในครอบครัวที่พบมากในกลุ่มครัวเรือนที่ยากจน(6) การลดภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นำไปสู่ความถ่างกว้างของความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยโดยไม่จำเป็น ประเทศที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินมาตรการราคาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชน คือ ประเทศสกอตแลนด์ เมื่อรัฐบาลประกาศใช้มาตรการนโยบายการกำหนดราคาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขั้นต่ำ รวมทั้งไวน์ นำไปสู่การลดการตายที่เกิดจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สูงถึงร้อยละ 13.4 และอัตราการผู้ป่วยที่นอนโรงพยาบาลได้ร้อยละ 4.1 (7) จากการศึกษาที่ถูกรวบรวมอย่างเป็นระบบได้ยืนยันประสิทธิผลของมาตรการภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่นำไปสู่การลดการป่วยและการตายจากโรคและการบาดเจ็บ (8)

การเพิ่มเวลาขายกระตุ้นให้มีนักท่องเที่ยวมากขึ้น ในทางกลับกัน ประเทศกลับเสียผลประโยชน์จากค่ารักษาพยาบาลและความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุบนท้องถนนและการทะเลาะวิวาท รวมทั้งอาชญากรรมที่ตามมา รวมถึงภาพลักษณ์ของประเทศในการเป็นประเทศท่องเที่ยวแบบปลอดภัย จากประสบการณ์ของประเทศออสเตรเลียในรัฐนิวเซาท์เวลส์ในเขตเมืองนิวคาสเซิล ได้มีการลดเวลาเปิดผับจากตี 5 เป็นตี 3.30 และห้ามรับลูกค้าเพิ่มหลังเวลาตี 1.30 แต่ยังนั่งดื่มได้จนถึงตี 3.30 หลังจากการดำเนินมาตรการมีการศึกษาพบว่าคดีทำร้ายร่างกายลดลงร้อยละ 34 เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนดำเนินมาตรการ(9) เช่นเดียวกันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่กรุงอัมสเตอร์ดัมประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้มีการประกาศขยายเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ออกไป 1 ชั่วโมงเพื่อกระตุ้นนักท่องเที่ยว[1] แต่เมื่อมีการขยายเวลาขายกลับพบว่า อัตราของการเกิดอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นร้อยละ 34 ในพื้นที่ที่มีการขยายเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เมื่อเทียบกับพื้นที่ที่ไม่ได้ขยายเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (10) นอกจากนี้การขยายเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นำไปสู่อาชญากรรม อุบัติเหตุซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยในการท่องเที่ยว

การผลิตสุราชุมชน กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ถึงแม้การผลิตสุราชุมชนจะเป็นการกระจายรายได้จากรายใหญ่ไปสู่รายย่อย แต่ผลที่ตามมาอาจจะได้ไม่คุ้มเสีย ทั้งการควบคุมมาตรฐานของสุราที่ส่งผลเสียต่อผู้บริโภคในภายหลัง (11) การที่ต้องเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าตรวจโรงผลิตสุราชุมชนที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น

สรุป
รัฐบาล มองแห็นผลประโยชน์ระยะสั้นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ประเทศจะต้องทนรับผลเสียจากนโยบายที่เล็งเห็นเฉพาะผลระยะสั้นไปอีกยาว และส่งผลต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว เพราะการดำเนินมาตรการขยายเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ลดภาษีไวน์ และการสนับสนุนการผลิตสุราชุมชน นำไปสู่ความสูญเสียทางสุขภาพและสังคมของประชากรไทยทั้งระยะสั้นและระยะยาว


เอกสารอ้างอิง
1. Luangsinsiri C, Youngkong S, Chaikledkaew U, Pattanaprateep O, Thavorncharoensap M. Economic costs of alcohol consumption in Thailand, 2021. Glob Health Res Policy. 2023;8(1):51.
2. สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ. รายงานภาระโรคจากปัจจัยเสี่ยงของประชากรไทย พ.ศ.2562. นนทบุรี: สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ 2566.
3. สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ. รายงานภาระโรคและการบาดเจ็บของประชากรไทย พ.ศ.2562. นนทบุรี: สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ; 2566.
4. Babor TF, Casswell S, Graham K, Huckle T, Livingston M, Österberg E, et al. Alcohol: No Ordinary Commodity: Research and public policy: Oxford University Press; 2022. Available from: https://doi.org/10.1093/oso/9780192844484.001.0001.
5. United Nations Thailand, Ministry of Public Health, United Nations Development Programme (UNDP), United Nations Inter-Agency Task Force (UNIATF) on the Prevention and Control of NCDs. Prevention and control of noncommunicable diseases in Thailand: The case for investment. Bangkok; 2021.
6. Bryant L, Lightowlers C. The socioeconomic distribution of alcohol-related violence in England and Wales. PLOS ONE. 2021;16(2):e0243206.
7. Wyper GMA, Mackay DF, Fraser C, Lewsey J, Robinson M, Beeston C, et al. Evaluating the impact of alcohol minimum unit pricing on deaths and hospitalisations in Scotland: a controlled interrupted time series study. The Lancet. 2023;401(10385):1361-70.
8. Wagenaar AC, Tobler AL, Komro KA. Effects of alcohol tax and price policies on morbidity and mortality: a systematic review. American Journal of Public Health. 2010;100(11):2270-8.
9. Kypri K, Jones C, McElduff P, Barker D. Effects of restricting pub closing times on night-time assaults in an Australian city. Addiction. 2011;106(2):303-10.
10. de Goeij MC, Veldhuizen EM, Buster MC, Kunst AE. The impact of extended closing times of alcohol outlets on alcohol-related injuries in the nightlife areas of Amsterdam: a controlled before-and-after evaluation. Addiction. 2015;110(6):955-64.
11. Manning L, Kowalska A. Illicit alcohol: public health risk of methanol poisoning and policy mitigation strategies. Foods. 2021;10(7).

News, ข่าวเด่น

ฉลองความรักอย่างปลอดภัย ฉลองแบบไร้แอลกอฮอล์


❤️ ฉลองความรักอย่างปลอดภัย ฉลองแบบไร้แอลกอฮอล์ ❤️

ในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ เติมเต็มรักด้วยความเข้าใจ ใส่ใจและดูแลซึ่งกันและกัน ที่สำคัญคือ “ฉลองความรักอย่างปลอดภัย ฉลองแบบไร้แอลกอฮอล์” เพราะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจเกิดภัยต่อร่างกาย จิตใจ และสังคม เช่น ภาระโรคทางสุขภาพ การขาดการยับยั้งชั่งใจ การเกิดอุบัติเหตุ รวมถึงการมีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ได้แก่ การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ และการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์

นอกจากนี้ยังสามารถใช้โอกาสเนื่องในวันแห่งความรัก ตัดใจบอกเลิกการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อคนที่เรารัก และขอคำปรึกษาได้ที่ 1413 สายด่วนเลิกเหล้า

ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา ขอเป็นส่วนหนึ่งในการมอบความรัก ความห่วงใยแก่ทุกคน “ฉลองความรักอย่างปลอดภัย ฉลองแบบไร้แอลกอฮอล์”

News, ข่าวเด่น, บทความ

ไหวไหมประเทศไทย กับการเปิดผับบาร์ถึงตี 4 !?


ไหวไหมประเทศไทย กับการเปิดผับบาร์ถึงตี 4 ⁉️

ดร.นพ.มูฮัมมัดฟาห์มี ตาเละ
นักวิชาการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา
อาจารย์ประจำคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

_____
เช้านี้ดูข่าวที่น่าหดหู่ใจ กับการเสียชีวิตของหนุ่มนักเที่ยวคนหนึ่ง ที่จังหวัดภูเก็ต เหตุเกิดในช่วงเวลา ตี 4 พอดีเป๊ะ ผู้เสียชีวิตที่เมาหมดสตินอนกลิ้งบนถนน และถูกรถยนต์ที่ขับด้วยความเร็วชนจนเสียชีวิต ทั้ง ๆ ที่รอบข้างนั้นมีเพื่อน ๆ รายล้อมอยู่หลายคน

การเสียชีวิตก่อนวัยอันควรไม่ว่าด้วยสาเหตุใดล้วนเป็นเรื่องน่าเสียใจ ยิ่งกรณีเช่นนี้ที่มีเพื่อนอยู่ในเหตุการณ์หลายคนคงน่าสะเทือนมากยิ่งขึ้น

การขยายเวลาปิดสถานบันเทิงในไทย ทำให้นักเที่ยวดื่มได้มากขึ้น มีโอกาสเมาเพิ่มขึ้น ยิ่งดึกร่างกายยิ่งเหนื่อยล้า บวกกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ โอกาสของอุบัติเหตุและเหตุไม่คาดฝันเพิ่มขึ้นเสมอ ตัวเลขจากการวิจัยในต่างประเทศไม่ว่าจะเป็น ประเทศออสเตรเลีย ไอซ์แลนด์ แคนาดา นอร์เวย์ และเนเธอแลนด์ ล้วนไปในทางเดียวกันว่าการผ่อนคลายให้มีการเพิ่มเวลาในการดื่มแบบนั่งดื่มที่ร้าน มีผลเสียด้านอุบัติเหตุ ความรุนแรง อาชญากรรม เพิ่มขึ้น ไม่รู้ว่าส่วนที่ได้มานั้นคุ้มค่ากับความเสียหายที่เกิดขึ้นหรือไม่

อย่างกรณีที่เอามาเล่าประกอบข่าวนั้น คนขับรถที่ขับรถมาอย่างถูกต้องอย่างน้อยก็ต้องเป็นผู้เสียหาย ในฐานะที่ขับรถชนผู้เสียชีวิตที่เมาหมดสติกลางถนนไปแล้ว เหล้าที่เข้าปากคนหนึ่งคนจึงส่งผลกระทบทั้งต่อคนที่ดื่มและไม่ดื่ม

ถ้าสถานการณ์กลับกัน เป็นคนดื่มเหล้าจนเมามายหมดสติเป็นคนขับรถเสียเอง และไล่ชนชาวบ้านชาวช่องที่ทำมาหากินสุจริตในช่วงเช้าของวัน เรื่องน่าเศร้าจะเศร้าแบบทวีคูณเลยครับ อย่าปล่อยให้ถึงขั้นนั้นเลย สำรวจความพร้อมของบ้านเมืองก่อนได้ไหม ก่อนจะปล่อยให้ผับเปิดถึงตีสี่ทั่วประเทศ


News, ข่าวเด่น, บทความ

นักวิชาการต่างประเทศชี้ ยิ่งลดระดับความเข้มข้นของ กม. เสี่ยงดื่มเพิ่ม เจ็บตายเพิ่ม สูญเสียทางเศรษฐกิจเพิ่ม แนะ!! ไทยควรมีกฎในการปกป้องผู้เยาว์ และกลุ่มเปราะบาง




นักวิชาการต่างประเทศชี้ ยิ่งลดระดับความเข้มข้นของ กม. เสี่ยงดื่มเพิ่ม เจ็บตายเพิ่ม สูญเสียทางเศรษฐกิจเพิ่ม แนะ‼️ ไทยควรมีกฎในการปกป้องผู้เยาว์ และกลุ่มเปราะบาง

เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ Professor Jϋrgen Rehm ที่ปรึกษาองค์การอนามัยโลกด้านแอลกอฮอล์ นักวิจัยอาวุโส สถาบันวิจัยนโยบายสุขภาพจิต มหาวิทยาลัยโตรอนโต ประเทศแคนาดา ให้สัมภาษณ์กับศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) ในกรณีที่ว่า “จะเกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย หากลดการควบคุมการตลาดและการขายแอลกอฮอล์?”

Professor Jϋrgen กล่าวว่า ผมขออ้างถึงผู้ได้รับรางวัลโนเบล ได้แก่ Angus Deaton ที่ศึกษาว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจทำให้สังคมมีชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างไร ซึ่งเป็นการศึกษาในอังกฤษและในยุโรป และในหนังสือเล่มนี้มีข้อความในหน้าหนึ่ง เขียนว่า “เหตุผลหนึ่งที่สหภาพโซเวียตล่มสลายเพราะขาดการควบคุมแอลกอฮอล์ ทำให้เศรษฐกิจชะลอการเติบโต และลดประโยชน์ที่สังคมพึงได้รับจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ” สิ่งที่กล่าวถึงนี้ค่อนข้างสุดโต่ง เพราะว่าตอนที่ Deaton ศึกษาและเขียนหนังสือเล่มนั้น สหภาพโซเวียตมีระดับการบริโภคแอลกอฮอล์ค่อนข้างสูง และเป็นประเทศที่มีอัตราโรคติดสุราสูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง แต่ในอีกแง่หนึ่ง การไม่ควบคุมแอลกอฮอล์ก็เป็นเรื่องสุดโต่งเช่นกัน นั่นแปลว่า เราจำเป็นต้องมีการควบคุมแอลกอฮอล์บ้าง ไม่มีประเทศใดในโลกไม่เก็บภาษีแอลกอฮอล์ และมีแค่ไม่กี่ประเทศในโลกที่ไม่มีการจำกัดอายุผู้ซื้อแอลกอฮอล์ หรือให้เด็กอายุ 10 ขวบสามารถดื่มแอลกอฮอล์ได้โดยเสรีเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นผมคิดว่า การควบคุมในตอนนี้ของประเทศไทยก็ไม่ได้เป็นการควบคุมที่เข้มงวดจนกลายเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่ในทางกลับกันการลดระดับความเข้มงวดของการควบคุมแอลกอฮอล์ในประเทศไทย จะยิ่งเสี่ยงต่อการที่ประชาชนบริโภคแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น และนำไปสู่การเสียชีวิต เจ็บป่วย ภาระโรคเพิ่มขึ้น รวมถึงคุณภาพชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่จะส่งผลกระทบตามมา และส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจจากการสูญเสียอำนาจการผลิต การมีกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น เป็นการปกป้องประชาชน และการปกป้องประชาชนที่เกี่ยวกับแอลกอฮอล์นั้นมีพื้นฐานทางชีววิทยา เนื่องจากสมองมนุษย์จะไม่หยุดมีพัฒนาการจนกว่าจะอายุเกิน 20 ปี และสมองนั้นมีโอกาสได้รับผลกระทบจากแอลกอฮอล์ค่อนข้างมากในช่วงที่อายุต่ำกว่า 20 ปี ดังนั้น ประเด็นหลักคือ ประเทศควรมีกฎ และควรมีการปกป้องผู้เยาว์ และปกป้องประชากรกลุ่มเปราะบาง นี่คือหน้าที่ของสังคม Professor Jϋrgen กล่าว

1 2 3 4 5 12 13
Privacy Settings
We use cookies to enhance your experience while using our website. If you are using our Services via a browser you can restrict, block or remove cookies through your web browser settings. We also use content and scripts from third parties that may use tracking technologies. You can selectively provide your consent below to allow such third party embeds. For complete information about the cookies we use, data we collect and how we process them, please check our Privacy Policy
Youtube
Consent to display content from - Youtube
Vimeo
Consent to display content from - Vimeo
Google Maps
Consent to display content from - Google
Spotify
Consent to display content from - Spotify
Sound Cloud
Consent to display content from - Sound

Generic selectors
Exact matches only
Search in title
Search in content
Post Type Selectors