คำค้นหา : การบังคับใช้กฎหมาย

คำนี้ค้นหามาแล้ว : 313 ครั้ง
8 ประเด็นสำคัญ ในการกำหนดทิศทางของการบังคับใช้จริง หลัง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้วันนี้ (8 พ.ย. 2568)
https://cas.or.th/content?id=1023
Tags : -

8 ประเด็นสำคัญ ในการกำหนดทิศทางของการบังคับใช้จริง
หลัง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้วันนี้ (8 พ.ย. 2568)


8 พฤศจิกายน 2568 เมื่อพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ พระราชบัญญัตินี้ถือเป็นการปรับปรุงจากกฎหมายเดิมที่ใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ให้ทันต่อสถานการณ์ของสังคมไทยที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านเศรษฐกิจ ดิจิทัล เทคโนโลยีสื่อสาร และรูปแบบการตลาดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ซับซ้อนขึ้น

กฎหมายฉบับใหม่นี้มีความก้าวหน้าในหลายด้าน โดยเฉพาะการเติมเต็มช่องว่างที่กฎหมายเดิมยังไม่ครอบคลุม ซึ่งสามารถสรุปเป็นประเด็นสำคัญได้ดังนี้

  • การขยายคำนิยามให้ครอบคลุมสื่อยุคใหม่

พ.ร.บ. ฉบับที่ 2 ได้เพิ่มคำนิยาม “การสื่อสารทางการตลาด” เพื่อให้สามารถควบคุมพฤติกรรมการโฆษณาเชิงแฝง การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย การรีวิว การใช้สัญลักษณ์หรือโลโก้ที่สื่อถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในทุกช่องทาง ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ สอดคล้องกับมาตรา 32/1–32/5 ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการอุดช่องว่างการตลาดสมัยใหม่ที่เข้าถึงเยาวชนได้ง่าย

  • การคุ้มครองเด็ก เยาวชน และกลุ่มเปราะบาง

ย้ำข้อห้ามในการจำหน่ายให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และผู้ที่อยู่ในสภาพมึนเมา พร้อมเพิ่มบทลงโทษแก่ผู้ขายและสถานประกอบการที่ฝ่าฝืน เพื่อสร้างความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างผู้ประกอบการกับสังคม

  • การกำหนดพื้นที่และเวลาการขาย

ยังคงช่วงเวลาอนุญาตให้ขายไว้ที่ 11.00–14.00 น. และ 17.00–24.00 น. ตามเดิม พร้อมให้อำนาจรัฐมนตรีในการประกาศเพิ่มเติมพื้นที่ห้ามขาย เช่น รอบสถานศึกษา วัด โรงพยาบาล และสถานที่ราชการ เพื่อป้องกันการเข้าถึงที่ง่ายเกินไปของกลุ่มเสี่ยง

  • การเพิ่มบทลงโทษและความรับผิดทางแพ่งของผู้ประกอบการ

นับเป็นการยกระดับความรับผิดชอบของธุรกิจค้าปลีกและร้านอาหาร โดยกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องมีหน้าที่ตรวจสอบสถานะผู้ซื้อ และหากปล่อยปละละเลยจนเกิดความเสียหาย อาจต้องร่วมรับผิดทางแพ่งร่วมกับผู้กระทำความผิดโดยตรง

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของนักวิชาการ การประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้ยังต้องการความชัดเจนในการตีความ ซึ่งการทำให้กฎหมายเกิดผลจริงจำเป็นต้องอาศัย “กฎหมายลำดับรอง” ได้แก่ กฎกระทรวง ประกาศ และระเบียบปฏิบัติ ที่จะกำหนดรายละเอียดเชิงปฏิบัติให้สอดคล้องกับหลักการของกฎหมายแม่บท

 

ศวส. เห็นว่า “ช่วงเปลี่ยนผ่านนี้” คือ ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด เพราะจะเป็นการกำหนดทิศทางของการบังคับใช้จริงในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในประเด็นต่อไปนี้

1. ความชัดเจนของคำนิยามและขอบเขตการบังคับใช้

นักวิชาการเสนอให้มี การนิยามคำสำคัญให้ตรงกันในทุกประกาศ เช่น คำว่า “สถานที่หรือบริเวณห้ามขาย”, “บริเวณสาธารณะ”, “การจัดเลี้ยงตามประเพณี” และ “พื้นที่ของรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐ” เพื่อป้องกันปัญหาการตีความแตกต่างกันระหว่างเจ้าหน้าที่แต่ละพื้นที่ และควรกำหนดหลักเกณฑ์เชิงปฏิบัติ ว่า “การจัดเลี้ยงตามประเพณี” หมายถึงงานใดบ้าง (เช่น งานศพ งานแต่ง งานทำบุญประจำปี) เพื่อป้องกันการอ้างเป็นข้อยกเว้นโดยมิชอบ

2. การซ้ำซ้อนของพื้นที่ห้ามขาย/บริโภค

ประกาศหลายฉบับ (เช่น รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานรัฐ พื้นที่ราชการ สถานีขนส่ง สวนสาธารณะ ทาง และ ท่าเรือ) มีลักษณะพื้นที่ทับซ้อนกัน จึงควรมี “ผังหรือแนวทางบูรณาการพื้นที่ควบคุม” เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าใจขอบเขตเดียวกันและไม่เกิดความซ้ำซ้อนในการจับกุมหรือดำเนินคดี และเสนอให้จัดทำภาคผนวกแผนที่ (GIS Mapping) แสดงพื้นที่ควบคุม เพื่อให้ตีความตรงกันทั่วประเทศ

3. การกำหนดข้อยกเว้นต้องระบุเงื่อนไขอย่างรัดกุม

หลายร่างประกาศมีการยกเว้น “บริเวณที่จัดไว้เป็นร้านค้า สโมสร หรือการจัดเลี้ยงตามประเพณี” ซึ่งอาจเปิดช่องให้ตีความกว้างเกินไป เสนอให้ระบุเงื่อนไขการอนุญาต (เช่น เฉพาะกิจกรรมที่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ หรือมีระบบควบคุมไม่ให้เยาวชนเข้าถึง) เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายแม่บทที่มุ่งจำกัดการเข้าถึง

4.กระบวนการคัดเลือกกรรมการในคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ในร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีหลายฉบับ (มาตรา 10 (4)-(8)) กำหนดกระบวนการคัดเลือกผู้แทนองค์กรต่าง ๆ นักวิชาการเห็นว่าควรเพิ่มหลักเกณฑ์ความโปร่งใสและการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ, คุณสมบัติด้านจริยธรรมและความเป็นกลางของผู้แทนภาคธุรกิจ, และมาตรการป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน ระหว่างผู้แทนกับอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งเสนอให้มีกระบวนการสรรหาโดยคณะกรรมการอิสระร่วมกับภาควิชาการ เพื่อยืนยันความโปร่งใส

5. การบังคับใช้ในพื้นที่ท้องถิ่น

มีความกังวลว่าหน่วยงานท้องถิ่นบางแห่งยังขาดความเข้าใจและศักยภาพในการบังคับใช้กฎหมาย จึงควรกำหนดในกฎหมายลำดับรองให้ชัดว่า

  • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีบทบาทอย่างไรในการตรวจสอบและแจ้งเบาะแส
  • จะมีระบบประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างไร
  • เสนอให้ระบุช่องทางร้องเรียน E-Complaint หรือ Hotline ในระเบียบ เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมตรวจสอบ

6. การตีความเกี่ยวกับ “งานเลี้ยงตามประเพณี” และ “กิจกรรมพิเศษ”

ร่างประกาศบางฉบับ (เช่น ประกาศว่าด้วยทางรถไฟ และรัฐวิสาหกิจ) อนุญาตให้บริโภคได้ใน “งานเลี้ยงตามประเพณี” หรือ “กิจกรรมพิเศษ” เสนอให้ระบุเกณฑ์ชัด ๆ เช่น

  • ต้องเป็นงานที่มีลักษณะตามวัฒนธรรมท้องถิ่นหรือศาสนา
  • ได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดหรือหน่วยงานที่กำกับพื้นที่
  • มีมาตรการควบคุมไม่ให้เยาวชนหรือบุคคลเมาเข้าร่วม

7. ผลกระทบต่อการบังคับใช้และความเข้าใจของประชาชน

หากข้อความในประกาศยังใช้ภาษากฎหมายทั่วไปโดยไม่ระบุแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม จะเกิดปัญหาการตีความต่างกันระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชน เสนอให้มี “คู่มือการตีความและการบังคับใช้ (Implementation Guideline)” ออกพร้อมกับกฎหมายลำดับรอง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทั่วประเทศยึดแนวเดียวกัน

8. ความจำเป็นของกลไกติดตามประเมินผล

เสนอให้จัดตั้งคณะอนุกรรมการติดตามผลการบังคับใช้กฎหมายลำดับรอง เพื่อติดตามปัญหา ข้อร้องเรียน และเสนอปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง โดยมีภาควิชาการและภาคประชาสังคมร่วมเป็นกรรมการ

ดังนั้น การออกกฎหมายลำดับรองภายใต้พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ถือเป็นหัวใจสำคัญของการแปลง “เจตนารมณ์ของกฎหมาย” ให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง ภารกิจหลังจากนี้จึงไม่ใช่เพียง “การเขียนถ้อยคำให้ครบถ้วนตามมาตรา” แต่คือการทำให้กฎหมายเหล่านั้น สะท้อนคุณค่าของสังคมที่ให้ความสำคัญกับชีวิต สุขภาพ และศักดิ์ศรีของประชาชนไทยทุกคน ยิ่งไปกว่านั้น กฎหมายแม่บทที่ประกาศใช้แล้วจะมีความหมายต่อสุขภาพของคนไทยได้ ก็ต่อเมื่อกฎหมายลำดับรองเหล่านี้สามารถ กำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน โปร่งใส เป็นธรรม และยึดผลประโยชน์สาธารณะเป็นที่ตั้ง เพราะในที่สุดแล้ว “กฎหมาย” มิใช่เพียงเครื่องมือควบคุม หากคือพันธะร่วมของรัฐและสังคมไทยในการปกป้องสุขภาพของประชาชน และสร้างสังคมที่เห็นคุณค่าของชีวิตมากกว่าผลประโยชน์ทางการค้า

แอลกอฮอล์กับสุขภาพจิต: ความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม
https://cas.or.th/content?id=991
Tags : -

แอลกอฮอล์กับสุขภาพจิต: ความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม

เนื่องในโอกาสวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเศษ นายแพทย์ปราการ ถมยางกูร นายกสมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายไทย ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับพฤติกรรมเสี่ยงทางจิตใจ โดยระบุว่าแอลกอฮอล์มีฤทธิ์กดการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ส่งผลให้ผู้ดื่มสูญเสียความสามารถในการควบคุมตนเองและเกิดพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น โดยเฉพาะในผู้ที่มีความคิดฆ่าตัวตายอยู่แล้ว การดื่มอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ลงมือกระทำจริง แม้ในบางกรณีจะไม่ได้มีเจตนาโดยตรง แต่การขาดสติอาจนำไปสู่อุบัติเหตุร้ายแรง เช่น การพลัดตกจากที่สูงโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกที่ระบุว่า ทุก 40 วินาทีมีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย และทุก 10 วินาทีมีผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเป็นจากอุบัติเหตุหรือพฤติกรรมเสี่ยงอื่น ๆ

ในบริบทของประเทศไทย รายงานจากพื้นที่ภาคเหนือ พบว่า การลดการบริโภคแอลกอฮอล์ในบางจังหวัดส่งผลให้จำนวนการฆ่าตัวตายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มที่เผชิญกับความผิดหวังทางอารมณ์ เช่น ความรักหรือความเครียดจากชีวิตส่วนตัว การดื่มเพื่อหลีกหนีความทุกข์กลับกลายเป็นการเปิดช่องให้เกิดพฤติกรรมทำร้ายตนเอง ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างการบริโภคแอลกอฮอล์กับปัญหาสุขภาพจิตอย่างชัดเจน โดยมีข้อมูลระบุว่า ร้อยละ 20 ของผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายในประเทศไทยมีประวัติการดื่มแอลกอฮอล์ร่วมด้วย

แม้บางบุคคลจะใช้แอลกอฮอล์เป็นเครื่องมือในการบรรเทาความทุกข์หรือ “self-medication” แต่นายแพทย์ปราการเสนอแนวทางที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์มากกว่า ได้แก่ การพูดคุยกับบุคคลที่ไว้วางใจหรือสายด่วนสุขภาพจิต 1323 การใช้แอปพลิเคชันให้คำปรึกษาทางจิต เช่น Line: @Khuikun หรือแอปจากสถาบันการศึกษา เช่น DMIND การทำกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น ร้องเพลง เดินเล่น สวดมนต์ หรือออกกำลังกาย การฝึกคิดเชิงบวกและมีเมตตาต่อตนเอง รวมถึงการฝึกขอบคุณสิ่งรอบตัว เพื่อเสริมสร้างพลังใจและความมั่นคงทางอารมณ์ โดยนายแพทย์ปราการเน้นย้ำว่า “ทุกคนผิดพลาดได้ อย่าโทษตัวเองซ้ำ ๆ จนหมดพลัง” พร้อมเสนอว่าการช่วยเหลือผู้อื่นและการคิดบวกจะเป็นพลังสะท้อนกลับมาช่วยเยียวยาตนเองในยามที่ต้องการมากที่สุด

ในด้านนโยบายการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ องค์การอนามัยโลกได้เสนอกรอบแนวทาง “SAFER” เพื่อควบคุมการบริโภคแอลกอฮอล์อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วยการห้ามส่งเสริมและโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในทุกช่องทาง การจำกัดการเข้าถึงโดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน การเพิ่มภาษีเพื่อควบคุมการบริโภค การบังคับใช้กฎหมาย “ดื่มไม่ขับ ขับไม่ดื่ม” อย่างเข้มงวด และการส่งต่อผู้มีปัญหาการดื่มเข้าสู่ระบบบำบัดอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยมีการดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวในระดับหนึ่ง เช่น การห้ามโฆษณา การจำกัดอายุผู้ซื้อ และการลงโทษผู้ฝ่าฝืน อย่างไรก็ตาม ยังมีความจำเป็นต้องขยายผลกระทบของนโยบายไปสู่ระดับครอบครัวและชุมชน เพื่อป้องกันผลกระทบทางอ้อม เช่น ความรุนแรงในครอบครัวและภาวะซึมเศร้าในผู้ใกล้ชิด

แม้รายได้จากการจำหน่ายแอลกอฮอล์ในประเทศไทยจะสูงถึง 500,000 ล้านบาทต่อปี แต่ข้อมูลจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุว่า ค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพ อุบัติเหตุ และอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์สูงถึง 170,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งสะท้อนถึงภาระทางเศรษฐกิจและสังคมที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบ

ในด้านการรณรงค์ สมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายไทยมีบทบาทสำคัญในการดำเนินงานเชิงวิชาการ การสร้างเครือข่าย และการผลักดันนโยบายสาธารณะ โดยเน้นการให้ความรู้เรื่องสุขภาพจิต การลดการใช้แอลกอฮอล์ในสังคม และการสร้างภูมิคุ้มกันทางใจในกลุ่มเสี่ยง เช่น เยาวชน ผู้สูงอายุ และผู้ประสบปัญหาชีวิต นอกจากนี้ สมาคมยังสนับสนุนการรณรงค์เชิงสัญลักษณ์ เช่น การงดให้ของขวัญเป็นแอลกอฮอล์ และการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในชุมชน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการดูแลและคำปรึกษาได้อย่างเท่าเทียม โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการลดอัตราการฆ่าตัวตายและส่งเสริมสุขภาวะทางจิตใจของประชาชนในระยะยาว

โดย ผศ.(พิเศษ) นพ.ปราการ ถมยางกูร
นายกสมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายไทย

ประชุมเชิงปฏิบัติการ การจัดกระบวนการสื่อสารนโยบายและเวทีสนทนาสาธารณะ (Policy Dialogue) เพื่อขับเคลื่อนนโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สู่การปฏิบัติจริง
https://cas.or.th/content?id=1039
Tags : -

ประชุมเชิงปฏิบัติการ การจัดกระบวนการสื่อสารนโยบายและเวทีสนทนาสาธารณะ (Policy Dialogue) เพื่อขับเคลื่อนนโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สู่การปฏิบัติจริง 

 

 

วันที่ 31 กรกฎาคม – 1 สิงหาคม พ.ศ. 2568
ณ ห้องประชุมฮิลล์เครส ชั้น 5 โรงแรมเดอะควอเตอร์ ลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร

การประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมจากหลากหลายภาคส่วน อาทิ หน่วยงานรัฐด้านสุขภาพและนโยบาย นักวิชาการ ภาคประชาสังคม และเครือข่ายที่ทำงานด้านการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และฝึกปฏิบัติอย่างเข้มข้น

การประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจของผู้เข้าร่วมเกี่ยวกับกระบวนการนโยบาย การสื่อสารเชิงนโยบาย และบทบาทของเวทีสนทนาสาธารณะ (Policy Dialogue) ในการผลักดันนโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากระดับแนวคิดไปสู่การปฏิบัติจริง โดยผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้บทเรียนความสำเร็จจากการขับเคลื่อนนโยบายควบคุมยาสูบ ซึ่งสะท้อนให้เห็นความสำคัญของการใช้ข้อมูลและหลักฐานทางวิชาการควบคู่กับการสร้างกระแสและการยอมรับทางสังคม

นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกันวิเคราะห์ช่องว่างและความท้าทายของการบังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในบริบทปัจจุบัน ตลอดจนฝึกปฏิบัติการจัดทำเอกสารเชิงนโยบาย (Policy Brief) และการออกแบบกระบวนการ Policy Dialogue เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายในระดับต่าง ๆ การประชุมยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างเครือข่ายและแนวร่วมของผู้ทำงานด้านนโยบายและสุขภาพ เพื่อร่วมกันมุ่งลดผลกระทบจากแอลกอฮอล์ต่อสุขภาพและสังคมไทยอย่างยั่งยืน

ศวส. ขอขอบคุณวิทยากร ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้เข้าร่วมทุกท่าน ที่ร่วมกันแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ เพื่อผลักดันนโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

มติการประชุม คณะทำงานด้านวิชาการในการสนับสนุนการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
https://cas.or.th/content?id=889

มติการประชุม คณะทำงานด้านวิชาการในการสนับสนุนการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 
ภายใต้อนุกรรมการวิชาการ คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ความเสี่ยงในการแก้ไขกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือประกาศที่ใช้บังคับในการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568

1) การยกเลิกกำหนดเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยการให้โรงแรมที่จดทะเบียนสามารถขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือการขยายเวลาขายให้สถานประกอบการคล้ายสถานบริการขายได้ถึงตีสี่:

        ปัจจุบันมีโรงแรมที่จดทะเบียนประมาณ 15,000 แห่ง แขกในโรงแรมสามารถดื่มจากสินค้าที่วางขายในห้องอยู่แล้ว หากครอบคลุมไปถึงร้านค้า ร้านอาหารในโรงแรม มาตรการนี้จะทำให้เกิดการบริโภคเพิ่มขึ้นอย่างมาก แขกและลูกค้าภายนอกของโรงแรมสามารถเข้ามาใช้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง จะเกิดการดื่มแล้วขับทำให้บาดเจ็บและการตายบนท้องถนนเพิ่มมากขึ้นในหลายจังหวัดอย่างแน่นอน ประมาณ 15-20% เป็นอย่างน้อย ดังปรากฏข้อเท็จจริงว่าในการขยายเวลาให้สถานบริการในพื้นที่ จังหวัดชลบุรีและภูเก็ตที่รวมประมาณ 1,000 สถานบริการ โดยขยายเวลาบริการได้ถึงตีสี่ ทำให้เกิดอุบัติเหตุในช่วงตีสองถึงเจ็ดโมงเช้าเพิ่มขึ้นทั้งสองจังหวัด เกิดการบาดเจ็บเพิ่ม 900 ราย (เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 14%) และมีการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นทั้งสองจังหวัดรวมกัน 37 ราย (เพิ่มขึ้น 25%) โดยแม้แต่พื้นที่นำร่องที่ขยายเวลาฯ ก็ยังไม่ได้ดำเนินการให้เป็นตามมาตรการที่กำหนด ยิ่งไปกว่านั้นในพื้นที่เขตโซนนิ่งมีปัญหาอาชญากรรมเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ป่าตอง มีเหตุทุกวัน ทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าว ชาวบ้านในพื้นที่ใช้ชีวิตลำบากมากขึ้น โจรขโมยเยอะขึ้น และแน่นอนว่าเป็นการเพิ่มภาระงานให้กับบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่กู้ภัย และที่พัทยา พบนักท่องเที่ยวโดนคนเมาทำร้าย อย่างไรก็ดีหากโรงแรมที่มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศมากและใช้บริการอาหารเที่ยงของโรงแรมมีความประสงค์ขอขยายเวลาการขายในช่วง 14.00-17.00 น. อาจพิจารณาเป็นข้อยกเว้นภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนดขึ้น และตรวจสอบรับรองโดยคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับจังหวัด ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของ พ.ร.บ. ฉบับแก้ไขที่กำลังพิจารณาในสภาขณะนี้

2) การห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา:

        การอนุญาตให้ขายในวันสำคัญทางศาสนาเพียง 5 วัน ประชาชนส่วนใหญ่อาจไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะที่นับถือศาสนาพุทธ เนื่องจากมีมิติทางสังคมวัฒนธรรม และเมื่อพิจารณาสถานการณ์ปัจจุบัน พบว่า ประชาชนยังสามารถหาซื้อได้ในร้านขายของชำทั่วไป โดยสามารถซื้อได้ตลอด แม้ว่าเป็นช่วงเวลาห้ามขายก็ตาม สะท้อนให้เห็นถึงการบังคับใช้กฎหมายที่ผ่านมา ไม่มีการตรวจสอบหรือสุ่มตรวจร้านค้า คณะทำงานด้านวิชาการฯ เสนอให้คงการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนาไว้ 5 วันคงเดิม และไม่เห็นด้วยที่จะยกเว้นให้ขายได้ในสถานประกอบการคล้ายสถานบริการ เพราะจะไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งจำนวนสถานประกอบการคล้ายสถานบริการมีมากกว่า 1 แสนราย ส่วนสถานบริการตามกฎหมายสถานบริการ 2,000 ราย ควรจะห้ามเช่นเดิม แต่อาจมีข้อยกเว้นให้กับบางพื้นที่เท่านั้น เช่น ท่าอากาศยานระหว่างประเทศ โรงแรม โดยคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัดต้องรับรองตรวจสอบให้มีมาตรการเฝ้าระวัง ติดตาม และป้องกันผลกระทบอย่างจริงจัง

3) การขายออนไลน์:

        ไม่ควรอนุมัติให้มีการยกเลิกกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือประกาศที่ใช้บังคับปัจจุบันเพื่อให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ต่อผู้บริโภคโดยตรงได้ และควรชะลอการตัดสินใจเพื่อสั่งการให้มีคณะศึกษาผลกระทบในเรื่องนี้อย่างละเอียด เนื่องจากปัจจุบันมีร้านค้าที่พร้อมจะขายออนไลน์ เช่น ร้านสะดวกซื้อแบบธุรกิจขนาดใหญ่เกือบสองหมื่นร้าน ร้านอาหาร ผับ บาร์ อีกประมาณสองแสนร้าน หรืออาจเกือบครึ่งหนึ่งจากใบอนุญาตขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 570,000 ใบ ประกอบกับมีแพลตฟอร์มการสั่งซื้อที่สะดวกมากมายหลากหลายที่ไม่มีการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ซื้อ จะทำให้เยาวชนเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ง่ายโดยปราศจากการตรวจสอบอายุตามที่กฎหมายกำหนด ไม่สามารถตรวจสอบตัวตนของผู้ขายและตรวจสอบใบอนุญาตขาย ซึ่งมีความย้อนแย้งกับมติคณะรัฐมนตรีที่ให้ดำเนินการแก้ไขโดยที่ต้องคำนึงถึงการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไม่เหมาะสมของเยาวชนเป็นสำคัญ ทั้งนี้ การขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ต่อผู้บริโภคโดยตรงนั้นก็ไม่ได้เป็นวิธีการส่งเสริมการท่องเที่ยวแต่อย่างใด และในทางกลับกันอาจกลายเป็นช่องทางที่มีการสั่งสินค้าแอลกอฮอล์จากต่างประเทศได้ ประกอบกับผลจากการบังคับใช้การขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ผ่านมา พบว่า มีการสื่อสารโพสต์คอนเทนต์โฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 และได้ลองดำเนินการแจ้งทางแพลตฟอร์มโซเชียล ก็ไม่ได้รับความร่วมมือ จึงทำให้ไม่สามารถดำเนินคดีต่อได้

4) ประเด็นอื่น ๆ:

  • การดำเนินงานในแต่ละประเด็น ควรต้องสร้างตัวเลือกในการดำเนินงาน อาจประกอบด้วยแนวทางหลักและแนวทางสำรอง เช่น อาจจะลองดำเนินการในบางพื้นที่ ซึ่งรัฐต้องมีการควบคุม ติดตาม และรายงานผลของนโยบายให้เป็นที่ประจักษ์ เพื่อลดผลกระทบ โดยมาตรการความพร้อมต้องเกิดก่อนออกมาตรการ
  • ควรมีการศึกษาวิจัยมิติทางสังคมที่มาช่วยยืนยันได้ว่า นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวประเทศไทย มาเพราะอยากดื่มเหล้า มาเล่นคาสิโน และมีงานวิจัยต่างประเทศที่ชี้ว่าการส่งเสริมการท่องเที่ยวในการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นไม่ได้ส่งเสริมรายได้ทางเศรษฐานะของประชาชนได้จริง
  • การเพิ่มช่องทางการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ย่อมเพิ่มผลกระทบแน่นอน ส่วนใหญ่จะพบข้อมูลผลกระทบที่เป็นภัยทางถนนเป็นส่วนใหญ่และเห็นแนวโน้มชัดเจน ซึ่งอาจต้องพิจารณาถึงผลกระทบด้านอื่นร่วมด้วย เช่น เหตุทะเลาะวิวาทจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือดื่มจนเสียชีวิต การติดสุรา ข้อมูลความรุนแรง เป็นต้น ซึ่งยังไม่ค่อยมีข้อมูลด้านนี้ จึงไม่สามารถนำมาใช้ในการประกอบการพิจารณาได้อย่างรอบด้าน

5) บทสรุป:

        เนื่องจากการยกเลิกมาตรการต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องการให้ขายออนไลน์ ขยายเวลาขายในโรงแรม 24 ชั่วโมง หรือการขยายเวลาให้สถานบริการและสถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการจะมีความเสี่ยงทำให้เกิดการเสียชีวิตประมาณ 600-800 ราย จากการดื่มขับ การเร่งรัดแก้ไขให้เสร็จเร็วเพื่อทันเทศกาลสงกรานต์สำหรับการท่องเที่ยวจึงอาจเป็นการละเลยและประมาทในการปกป้องความปลอดภัยของคนไทยตามหน้าที่ของรัฐที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญ คณะทำงานด้านวิชาการฯ เสนอให้มีการศึกษาเพื่อพิจารณาความพร้อมต่าง ๆ อย่างรอบด้าน ไม่ควรรีบดำเนินการเพราะไม่ได้เป็นภาวะฉุกเฉิน

ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.)

Centre for Alcohol Studies (CAS)

สาขาวิชาเวชศาสตร์ครอบครัวและเวชศาสตร์ป้องกัน อาคารศรีเวชวัฒน์ ชั้น 11 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เลขที่ 15 ถนนกาญจนวนิช ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 90110

083-5775533

https://www.facebook.com/cas.org.th

เข้าชมแล้ว 0 ครั้ง
Copyright © 2025 CAS All rights reserved.