คำค้นหา : ความรุนแรง

คำนี้ค้นหามาแล้ว : 434 ครั้ง
นักวิชาการ เตือนทุก 10 วินาที มีคนตายจากน้ำเมา 1 คน ชี้ “แอลกอฮอล์” ปัจจัยเร่งป่วยโรค NCDs เกินครึ่งป่วยไม่รู้ตัว
https://cas.or.th/content?id=1035

นักวิชาการ เตือนทุก 10 วินาที มีคนตายจากน้ำเมา 1 คน ชี้ “แอลกอฮอล์” ปัจจัยเร่งป่วยโรค NCDs เกินครึ่งป่วยไม่รู้ตัว สร้างความเสี่ยหายทางเศรษฐกิจ 1.65 แสนล้านบาท สสส.-ศวส. หนุนมาตรการป้องกันที่เหมาะสมกับบริบทพื้นที่-บูรณาการทุกภาคส่วน หวังลดผลกระทบจากน้ำเมา

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 11 ธ.ค. 2568 ที่โรงแรมเบสเวสเทิร์น กรุงเทพฯ ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) ร่วมกับ สมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อแห่งประเทศไทย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเวทีสาธารณะ “แอลกอฮอล์ : ตัวเร่งโรค NCDs และทางออกเพื่อปกป้องสุขภาพคนไทย”

โดย ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุน สสส. เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังก้าวสู่ “ภาวะวิกฤต NCDs” จากโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และพฤติกรรมเสี่ยง โดยเฉพาะการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งสร้างภาระทั้งด้านสุขภาพและเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง เฉพาะปี 2564 ไทยสูญเสียทางเศรษฐกิจกว่า 165,450 ล้านบาท และเกือบ 80% ของคนไทย เคยได้รับผลกระทบจากการดื่มของผู้อื่น ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และครอบครัว แอลกอฮอล์ได้ถูกจัดให้เป็นสารก่อมะเร็งกลุ่มที่ 1 เชื่อมโยงกับมะเร็งอย่างน้อย 8 ชนิด ได้แก่ มะเร็งช่องปาก กล่องเสียง คอหอย เต้านม (ในผู้หญิง) หลอดอาหาร ลำไส้ใหญ่/ทวารหนัก ตับ และตับอ่อน

“แต่ที่น่ากังวลจากงานวิจัยของศวส. สำรวจประชาชนไทย 3,924 คน จาก 12 จังหวัดทั่วประเทศ ในปี 2568 พบคนไทยกว่า 90% ไม่รู้ว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อมะเร็งได้ สะท้อนความจำเป็นของการสื่อสารความเสี่ยงที่ถูกต้องและทันต่อสถานการณ์ เพราะปัญหานี้ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นภารกิจร่วมของทั้งสังคม ทุกคนจึงควรช่วยกันสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ภาระโรคจะลดลง และคุณภาพชีวิตของคนไทยจะดีขึ้นอย่างยั่งยืน” ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าว

รศ.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช อาจารย์ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า จากการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย โดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 7 ปี2567-2568 พบว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา จำนวน 17.1 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ ดื่มอย่างหนัก 7.7 ล้านคน หรือ 45% ส่วนอัตราการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยในทุกกลุ่มอายุ แต่เป็นที่น่าสังเกตคือ แนวโน้มการดื่มในกลุ่มวัยรุ่นมีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันระหว่างวัยรุ่นชายและหญิง ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มวัยผู้ใหญ่หรือสูงอายุที่พบว่า เพศชายมักจะมีอัตราการดื่มสูงกว่าเพศหญิง ความแตกต่างของความชุกของการดื่มระหว่างชายและหญิงมีแนวโน้มแคบลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งใกล้เคียงกับสถานการณ์ในประเทศแถบยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งความเชื่อ หรือการมองว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสิ่งช่วยในการเข้าสังคม หรือความเท่าเทียม

“ในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ยังมีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสัดส่วนที่สูง และคนที่ยังดื่มส่วนมากไม่รู้ตัวว่าป่วยเป็นโรคเรื้อรังแล้ว เช่น ผู้ป่วยเบาหวานที่ยังดื่มแอลกอฮอล์1.4 ล้านคน ในจำนวนนี้ ยังไม่รู้ตัวเองว่าป่วยเป็นเบาหวาน 5.9 แสนคน และผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ยังดื่มแอลกอฮอล์ 4.8 ล้านคน ในจำนวนนี้ ยังไม่รู้ตัวเองว่าป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง 3.1 ล้านคน ซึ่งการดื่มแอลกอฮอล์จะส่งผลเสียต่อการควบคุมโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ยังพบว่าคนที่ดื่มแอลกอฮอล์มีระดับค่าเอนไซม์ตับที่ผิดปกติสูงกว่าคนที่ไม่ดื่มโดยเฉลี่ย 3-5 เท่า และมีระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ที่สูงขึ้นโดยเฉลี่ย 1-2 เท่า ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด” รศ.พญ.เริงฤดี กล่าว

ด้าน รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร ผู้อำนวยการ ศวส. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า คนไทยดื่มแอลกอฮอล์สูงเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน และเป็นอันดับ 1 ของประเทศรายได้ปานกลางระดับบน ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 ร่วมกับการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย โดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 7 ชี้ตรงกันว่า ปัญหาการดื่มแอลกอฮอล์ของคนไทยยังคงสูงมาก ปัจจุบันคนไทยเริ่มดื่มเร็วขึ้น มีอายุเฉลี่ยที่ดื่มครั้งแรกอยู่ที่ 19.9 ปี สะท้อนว่า “ผู้หญิงและเยาวชน” กลายเป็นกลุ่มเปราะบาง และเป้าหมายทางการตลาดของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นพื้นที่ที่มีอัตราการดื่มสูงที่สุดเมื่อเทียบกับภาคอื่น ความแตกต่างนี้ชี้ให้เห็นว่ามาตรการควบคุมต้องตอบโจทย์บริบทแต่ละพื้นที่ควบคู่ไปกับนโยบายระดับชาติ

“ทุก 10 วินาที มีคนตายจากแอลกอฮอล์ 1 คน หากยังปล่อยให้การดื่มเป็นเรื่องปกติ ความสูญเสียจะทวีขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ภาระโรคที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ในไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มากกว่า 1 ใน 10 ของการตาย หรือปีสุขภาวะที่สูญเสีย (DALYs) เกิดจากแอลกอฮอล์ ทั้งก่อให้เกิดการบาดเจ็บ และป่วยจากโรค NCDs เช่น โรคหัวใจ-หลอดเลือด โรคตับ และมะเร็งหลายชนิด โดยเฉพาะผู้ชายที่มีอัตราเสียชีวิตสูงกว่าผู้หญิงอย่างชัดเจน ดังนั้น ไทยจำเป็นต้องมีมาตรการควบคุมแอลกอฮอล์ที่เข้มแข็งขึ้น พร้อมบูรณาการการทำงานทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ นักวิชาการ แพทย์ ภาคประชาชน และชุมชน เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนในระยะยาว และลดภาระ NCDs ที่กำลังทวีความรุนแรง” ผู้อำนวยการ ศวส. กล่าว

------------------------------
เวทีสาธารณะ “แอลกอฮอล์: ตัวเร่งโรค NCDs และทางออกเพื่อปกป้องสุขภาพคนไทย”
เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 ณ โรงแรมเบสเวสเทิร์น จตุจักร กรุงเทพฯ

 

ภาระของผู้ดูแล ผู้ใกล้ชิดของนักดื่ม ภัยเหล้ามือสองที่คนไทยมองข้าม
https://cas.or.th/content?id=1032

ภาระของผู้ดูแล ผู้ใกล้ชิดของนักดื่ม ภัยเหล้ามือสองที่คนไทยมองข้าม

 

โดย ผศ.ดร.จิราลักษณ์ นนทารักษ์
คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ผลกระทบเชิงลบจากภัยเหล้ามือสอง หรือผลกระทบจากการดื่มของผู้อื่นแม้จะไม่ได้ร่วมดื่มด้วย อาจจะส่งผลกระทบกับบุคคลในครอบครัว เช่น ลูกหลาน สามี/ภรรยา พี่น้อง พ่อ แม่ ญาติ หรืออาจเป็นบุคคลที่ท่านรู้จักคุ้นเคยเป็นอย่างดี เช่น เพื่อน เพื่อนร่วมงาน หรือคนในชุมชนเดียวกัน รวมไปจนถึงเป็นคนแปลกหน้าที่ท่านไม่เคยรู้จักมาก่อน ผลกระทบเหล้ามือสองนั้นส่งผลกระทบเป็นวงกว้างและสร้างปัญหาหรือภาระแก่ผู้อื่นได้หลากหลายเหตุการณ์ ทั้งผลกระทบระยะสั้นและระยะยาว หลายระดับความรุนแรง ตั้งแต่การสร้างความเดือดร้อนรำคาญใจ จนถึง กรณีที่รุนแรงจนถึงความรุนแรงต่อทรัพย์สิน ร่างกาย และชีวิต ตลอดจนเชื่อมโยงไปถึงความสงบสุข ความปลอดภัยและความเรียบร้อยของสังคม

หนึ่งในผลกระทบที่นักดื่มหรือคนใกล้ชิดอาจมองข้าม คือ ภาระของผู้ดูแลนักดื่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่นั่งดื่มด้วยกัน และคนที่ไม่ได้ร่วมดื่มด้วย ผลการศึกษาจากงานวิจัยโครงการ WHO–ThaiHealth เรื่อง “Association between caring for drinkers and the sociodemographic factors of caregivers in Thailand: data from the WHO-ThaiHealth project” พบว่า ภาระที่มองไม่เห็นของคนรอบตัวนักดื่มในประเทศไทยในรอบปีที่ผ่านมา เกือบ “ครึ่งหนึ่ง” ของคนไทยที่สำรวจ เคยดูแลหรือช่วยเหลือนักดื่ม สิ่งที่ผู้ดูแลต้องช่วยนักดื่ม คือ ต้องเก็บกวาดหรือทำความสะอาดหลังดื่ม (ประมาณร้อยละ 30) ต้องไปรับไปส่งหรือขับรถให้ (ประมาณร้อยละ 20) หรือบางส่วนต้องดูแลเด็กหรือคนในครอบครัวแทนนักดื่ม ผู้ชายมีภาระต้องดูแลนักดื่มมากกว่าผู้หญิง กลุ่มวัยทำงานตอนต้นมีสัดส่วนในการดูแลนักดื่มมากที่สุด และมากกว่าร้อยละ 75 ของนักดื่มที่ดื่มมากกว่า 5 ดื่มมาตรฐาน (หรือเทียบเท่า เบียร์ 5 กระป๋อง) มีแนวโน้มต้องดูแลนักดื่มมากกว่ากลุ่มที่ไม่ดื่ม ผู้ดูแลหรือผู้ใกล้ชิดใช้เวลาในการดูแลนักดื่มโดยเฉลี่ยประมาณ 4 ชั่วโมงต่อครั้งต่อการดื่ม เหตุการณ์ที่ใช้เวลาดูแลนานที่สุด คือ การดูแลลูกของนักดื่ม และลูกของเพื่อนนักดื่มที่เพิ่มขึ้น ใช้เวลาโดยเฉลี่ย 16 ชั่วโมง หรือเกือบ 1 วัน เวลาในการดูแลสมาชิกในครอบครัวของนักดื่มโดยเฉลี่ย 4 ชั่วโมง และผู้หญิงมีภาระในการดูแลนักดื่มมากกว่าผู้ชายเล็กน้อย

จะเห็นได้ว่า ภาระในการดูแลของนักดื่ม อาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ดูแลทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ นอกจากนี้ ภาระในการดูแลนักดื่มเพิ่มขึ้นจากการดื่มหนักของนักดื่ม และยิ่งดื่มมาก ยิ่งมีแนวโน้มในการเพิ่มภาระให้กับผู้ดูแล ดังนั้น มาตรการในการป้องกันและควบคุมผลกระทบเชิงลบจากการดื่มเหล้าของผู้อื่น ต้องคำนึงถึงมาตรการการป้องกันและควบคุมผลกระทบเชิงลบในรูปแบบที่ไม่เป็นทางการ เช่น การสร้างความตระหนักถึงภาระของผู้ดูแลนักดื่ม “ลดการดื่ม ลดภาระของผู้ดูแลนักดื่ม” เป็นต้น เนื่องจากการดูแลคนในครอบครัว หรือสมาชิกในบ้านเป็นค่านิยมในสังคมไทย และการดูแลคนในครอบครัว เพื่อนสนิท หรือญาติพี่น้อง เป็นเรื่องที่พึงกระทำ ดังนั้น มาตรการในการป้องกันผลกระทบจากเหล้ามือสองจะช่วยลดภาระของผู้ดูแลและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ดูแลต่อไป โดยเฉพาะในกลุ่มนักดื่มเอง กลุ่มวัยทำงานตอนต้น และผู้หญิง

ในบ้านที่มีเสียงดังจากความเมา ไม่มีเสียงหัวเราะของความสุขได้จริง
https://cas.or.th/content?id=1021
Tags : -

ในบ้านที่มีเสียงดังจากความเมา ไม่มีเสียงหัวเราะของความสุขได้จริง


 

 

ข่าวชายทำร้ายภรรยาในร้านไก่ทอดในจังหวัดนครราชสีมา กลายเป็นไวรัลภายในไม่กี่ชั่วโมง เพราะฝ่ายหญิงที่โดนทำร้ายนั้นหนีออกจากบ้านแล้ว และการร้องขอความเห็นใจจากทั้งแม่และลูกไม่ได้รับการตอบสนองจากพ่อเลย ที่มันไวรัลอย่างรวดเร็วไม่ใช่เพราะมันเป็นเรื่องแปลกใหม่ของสังคมไทย แต่เพราะผู้หญิงอีกนับล้านคนรู้สึกเช่นเดียวกันกับผู้ถูกกระทำในข่าว พวกเขาเข้าใจดีเกินไป ว่าความเจ็บปวดแบบนั้นคืออะไร

ประเทศไทยมีผู้หญิงจำนวนมากที่ต้องเผชิญกับความรุนแรงในครอบครัว ถูกตี ถูกผลัก ถูกข่มขู่ ถูกทำให้กลัว โดยคนที่เรียกตัวเองว่า “คนรัก” และในหลายกรณี “แอลกอฮอล์” คือฉากหลังที่คุ้นตาเกินไปของความรุนแรงเหล่านั้น

องค์การอนามัยโลก (WHO, 2021) ประเมินว่า ร้อยละ 80–90 ของเหตุความรุนแรงในครอบครัวทั่วโลก มีผู้ชายเป็นผู้กระทำ และมีความสัมพันธ์ชัดเจนระหว่างการดื่มแอลกอฮอล์กับโอกาสใช้ความรุนแรงในบ้าน ชายที่ดื่มมีแนวโน้มทำร้ายคู่รักมากกว่าชายที่ไม่ดื่มถึง 2–3 เท่า (Kearns et al., 2015; BMC Public Health, 2022)

ปัญหานี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องอารมณ์ หรือความเมาแต่มันคือ มายาคติเรื่องอำนาจของเพศชาย ความเชื่อที่ว่าผู้ชายมีสิทธิ์ควบคุมผู้หญิง มีสิทธิ์ลงโทษ มีสิทธิ์ใช้กำลัง และเมื่อเมา ก็ใช้คำว่า “เพราะเมา” เป็นข้ออ้างให้พ้นผิดจากสิ่งที่ตนตั้งใจทำ แต่ความจริงก็คือ “แอลกอฮอล์ไม่เคยสร้างปีศาจตัวใหม่” มันเพียงแค่ปลดล็อกสิ่งที่อยู่ในใจคนคนนั้นอยู่แล้ว และน่ากังวลใจอย่างยิ่งว่าสถาบันครอบครัวของไทยกำลังถูกคุกคามจากเรื่องนี้ ในสังคมที่ผู้หญิงถูกคาดหวังให้เลี้ยงลูก ดูแลบ้าน และยืนหยัดทำงาน แต่ในขณะเดียวกัน ยังต้องทนถูกทำร้ายในบ้านของตัวเอง นี่คือสัญญาณของความผิดปกติทางวัฒนธรรม ไม่ใช่แค่ปัญหาครอบครัว

เราต้องเลิกมองว่า “การดื่มในบ้าน” เป็นเรื่องปกติ เพราะในบ้านที่แอลกอฮอล์กลายเป็นเรื่องปกติ ความรุนแรงก็จะกลายเป็นเรื่องปกติไปด้วย สังคมที่ดีต้องปกป้องผู้หญิงให้พ้นจากความรุนแรง ไม่ใช่เพียงเพราะผู้หญิงอ่อนแอกว่า แต่เพราะความรุนแรงทุกครั้งที่เกิดขึ้นในบ้าน มันทำลายความอบอุ่นของบ้านนั้นทั้งชีวิต และในบ้านที่มีเสียงดังจากความเมา ไม่มีทางมีเสียงหัวเราะของความสุขได้จริงเลย

เอกสารอ้างอิง:

  1. World Health Organization (2021). Global status report on violence prevention.
  2. Kearns, M., Reidy, D., & Valle, L. (2015). The Role of Alcohol Policies in Preventing Intimate Partner Violence. Alcohol Research: Current Reviews.
  3. BMC Public Health (2022). Unhealthy alcohol use and intimate partner violence among men.

เรียบเรียงโดย ดร.นพ.มูฮัมมัดฟาห์มี ตาเละ
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานรินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

ความคิดเห็นต่อการยกเลิกประกาศ ปว.253
https://cas.or.th/content?id=992
Tags : -

 

ความคิดเห็นต่อการยกเลิกประกาศ ปว.253

การยกเลิก คำสั่ง ปว.253 ก่อให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในสังคมอย่างกว้างขวาง หลายคนตีความว่า ประเทศไทย “ปลดล็อก” เวลาการขายเหล้าเบียร์แล้ว สามารถซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งแท้จริงแล้ว ไม่ใช่ข้อเท็จจริง

การยกเลิก ปว. 253 ถูกตราไว้ใน พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2568 เป็นการลบข้อกฎหมายเดิมที่ซ้ำซ้อน ส่วนพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ซึ่งได้ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องกำหนดเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2568 ยังคงให้จำหน่ายสุราในเวลา 11.00 น.-14.00 น.และเวลา 17.00 น.-24.00 น. เท่านั้น โดยมีข้อยกเว้นเพียง 3 กรณีคือ (1) การขายในอาคารที่ให้บริการแก่ผู้โดยสารภายในสนามบินที่ให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ (2) การขายในสถานบริการซึ่งเป็นไปตามกำหนดเวลาเปิดปิดของสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ และ (3) การขายในโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม ดังนั้นสถานที่ขายสุราอื่นนอกจากสามข้อดังกล่าว ต้องขายในเวลาที่กำหนดไว้เดิมทั้งสิ้น แต่อย่างไรก็ตามก็ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการควบคุมฯ ที่จะมีขึ้นตาม พรบ.ใหม่ จะมีมติในเรื่องนี้อย่างไร ก็ต้องติดตามกันต่อไป

 

ทำไมเวลาห้ามขายจึงสำคัญต่อสังคมไทย

  1. ลดความสะดวกในการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หลังเลิกงานหรือช่วงกลางคืน การจำกัดเวลาเป็น “เกราะบาง” สำคัญในการชะลอการบริโภค
  2. ลดอุบัติเหตุและความรุนแรงทางสังคม งานวิจัยจำนวนมากทั้งในและต่างประเทศยืนยันว่า ความพร้อมในการซื้อเครื่องดื่มทุกเวลา สัมพันธ์กับอัตราอุบัติเหตุบนท้องถนน การทะเลาะวิวาท และอาชญากรรมที่สูงขึ้น
  3. คุ้มครองเยาวชน เวลาห้ามขายช่วยป้องกันไม่ให้เยาวชนเข้าถึงเครื่องดื่มได้ง่ายเกินไป โดยเฉพาะในชั่วโมงที่ครอบครัวและโรงเรียนไม่สามารถดูแลได้เต็มที่
  4. เป็นต้นแบบด้านนโยบายสาธารณะ ประเทศไทยได้รับการยกย่องในเวทีโลกว่าเป็นประเทศที่มีมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เข้มแข็งและสร้างสมดุลระหว่างเสรีภาพกับประโยชน์สาธารณะ การคงไว้ซึ่งเวลาห้ามขายถือเป็นเสาหลักสำคัญที่ไม่ควรถูกบั่นทอน

ดังนั้นข้อสรุปของเรื่องนี้คือ การยกเลิกคำสั่ง ปว.253 มิได้แปลว่าประชาชนจะซื้อขายสุราได้ตลอดเวลา เวลาห้ามขายยังคงอยู่ และยังคงจำเป็น ประเทศไทยไม่ควรเดินย้อนกลับไปสู่สังคมที่เปิดช่องให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถูกซื้อขายได้อย่างไร้ขอบเขต เพราะนั่นหมายถึงต้นทุนทางสุขภาพ อุบัติเหตุ และความรุนแรงที่จะตกกับครอบครัวและสังคมโดยรวม

การจำกัดเวลาขายจึงไม่ใช่การจำกัดเสรีภาพ หากแต่เป็น ภูมิคุ้มกันทางสังคมที่สำคัญ ที่ช่วยให้สังคมไทยปลอดภัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

โดย ดร.นพ.มูฮัมมัดฟาห์มี ตาเละ
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานรินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

แอลกอฮอล์กับสุขภาพจิต: ความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม
https://cas.or.th/content?id=991
Tags : -

แอลกอฮอล์กับสุขภาพจิต: ความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม

เนื่องในโอกาสวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเศษ นายแพทย์ปราการ ถมยางกูร นายกสมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายไทย ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับพฤติกรรมเสี่ยงทางจิตใจ โดยระบุว่าแอลกอฮอล์มีฤทธิ์กดการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ส่งผลให้ผู้ดื่มสูญเสียความสามารถในการควบคุมตนเองและเกิดพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น โดยเฉพาะในผู้ที่มีความคิดฆ่าตัวตายอยู่แล้ว การดื่มอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ลงมือกระทำจริง แม้ในบางกรณีจะไม่ได้มีเจตนาโดยตรง แต่การขาดสติอาจนำไปสู่อุบัติเหตุร้ายแรง เช่น การพลัดตกจากที่สูงโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกที่ระบุว่า ทุก 40 วินาทีมีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย และทุก 10 วินาทีมีผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเป็นจากอุบัติเหตุหรือพฤติกรรมเสี่ยงอื่น ๆ

ในบริบทของประเทศไทย รายงานจากพื้นที่ภาคเหนือ พบว่า การลดการบริโภคแอลกอฮอล์ในบางจังหวัดส่งผลให้จำนวนการฆ่าตัวตายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มที่เผชิญกับความผิดหวังทางอารมณ์ เช่น ความรักหรือความเครียดจากชีวิตส่วนตัว การดื่มเพื่อหลีกหนีความทุกข์กลับกลายเป็นการเปิดช่องให้เกิดพฤติกรรมทำร้ายตนเอง ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างการบริโภคแอลกอฮอล์กับปัญหาสุขภาพจิตอย่างชัดเจน โดยมีข้อมูลระบุว่า ร้อยละ 20 ของผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายในประเทศไทยมีประวัติการดื่มแอลกอฮอล์ร่วมด้วย

แม้บางบุคคลจะใช้แอลกอฮอล์เป็นเครื่องมือในการบรรเทาความทุกข์หรือ “self-medication” แต่นายแพทย์ปราการเสนอแนวทางที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์มากกว่า ได้แก่ การพูดคุยกับบุคคลที่ไว้วางใจหรือสายด่วนสุขภาพจิต 1323 การใช้แอปพลิเคชันให้คำปรึกษาทางจิต เช่น Line: @Khuikun หรือแอปจากสถาบันการศึกษา เช่น DMIND การทำกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น ร้องเพลง เดินเล่น สวดมนต์ หรือออกกำลังกาย การฝึกคิดเชิงบวกและมีเมตตาต่อตนเอง รวมถึงการฝึกขอบคุณสิ่งรอบตัว เพื่อเสริมสร้างพลังใจและความมั่นคงทางอารมณ์ โดยนายแพทย์ปราการเน้นย้ำว่า “ทุกคนผิดพลาดได้ อย่าโทษตัวเองซ้ำ ๆ จนหมดพลัง” พร้อมเสนอว่าการช่วยเหลือผู้อื่นและการคิดบวกจะเป็นพลังสะท้อนกลับมาช่วยเยียวยาตนเองในยามที่ต้องการมากที่สุด

ในด้านนโยบายการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ องค์การอนามัยโลกได้เสนอกรอบแนวทาง “SAFER” เพื่อควบคุมการบริโภคแอลกอฮอล์อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วยการห้ามส่งเสริมและโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในทุกช่องทาง การจำกัดการเข้าถึงโดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน การเพิ่มภาษีเพื่อควบคุมการบริโภค การบังคับใช้กฎหมาย “ดื่มไม่ขับ ขับไม่ดื่ม” อย่างเข้มงวด และการส่งต่อผู้มีปัญหาการดื่มเข้าสู่ระบบบำบัดอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยมีการดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวในระดับหนึ่ง เช่น การห้ามโฆษณา การจำกัดอายุผู้ซื้อ และการลงโทษผู้ฝ่าฝืน อย่างไรก็ตาม ยังมีความจำเป็นต้องขยายผลกระทบของนโยบายไปสู่ระดับครอบครัวและชุมชน เพื่อป้องกันผลกระทบทางอ้อม เช่น ความรุนแรงในครอบครัวและภาวะซึมเศร้าในผู้ใกล้ชิด

แม้รายได้จากการจำหน่ายแอลกอฮอล์ในประเทศไทยจะสูงถึง 500,000 ล้านบาทต่อปี แต่ข้อมูลจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุว่า ค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพ อุบัติเหตุ และอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์สูงถึง 170,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งสะท้อนถึงภาระทางเศรษฐกิจและสังคมที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบ

ในด้านการรณรงค์ สมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายไทยมีบทบาทสำคัญในการดำเนินงานเชิงวิชาการ การสร้างเครือข่าย และการผลักดันนโยบายสาธารณะ โดยเน้นการให้ความรู้เรื่องสุขภาพจิต การลดการใช้แอลกอฮอล์ในสังคม และการสร้างภูมิคุ้มกันทางใจในกลุ่มเสี่ยง เช่น เยาวชน ผู้สูงอายุ และผู้ประสบปัญหาชีวิต นอกจากนี้ สมาคมยังสนับสนุนการรณรงค์เชิงสัญลักษณ์ เช่น การงดให้ของขวัญเป็นแอลกอฮอล์ และการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในชุมชน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการดูแลและคำปรึกษาได้อย่างเท่าเทียม โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการลดอัตราการฆ่าตัวตายและส่งเสริมสุขภาวะทางจิตใจของประชาชนในระยะยาว

โดย ผศ.(พิเศษ) นพ.ปราการ ถมยางกูร
นายกสมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายไทย

สุราในสังคมไทย: เมื่อความรุนแรงและความสร้างสรรค์เดินทางร่วมกันในนโยบายสาธารณะ
https://cas.or.th/content?id=990
Tags : -

สุราในสังคมไทย: เมื่อความรุนแรงและความสร้างสรรค์เดินทางร่วมกันในนโยบายสาธารณะ

ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน สังคมไทยได้รับรู้ข่าวสองเรื่องที่สะท้อนภาพต่างขั้วของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในชีวิตประจำวัน

  • ข่าวเศร้าจากนครศรีธรรมราช: พระรูปหนึ่งใช้ขวดสุราฟาดศีรษะลูกศิษย์วัดจนเสียชีวิต โดยมีรายงานว่าเหตุมาจากความขัดแย้งเรื่องเงินซื้อเหล้า
  • ข่าวสร้างสรรค์จากสงขลา: รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังลงพื้นที่เยี่ยมชมวิสาหกิจชุมชน “ตาคียะ (TAKIYA)” ซึ่งผลิตสุราพื้นบ้านจากน้ำตาลโตนดอย่างมีคุณภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมผลักดันเป็นต้นแบบ soft power ไทย

สองข่าวนี้ไม่ได้ขัดแย้งกันโดยตรง แต่สะท้อนความซับซ้อนของบทบาทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสังคมไทย—ทั้งในฐานะ “ปัจจัยเสี่ยง” และ “ทรัพยากรชุมชน”

 

เรากำลังเดินไปในทิศทางเดียวกันหรือสวนทางกัน?

ในขณะที่ภาครัฐส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนผ่านสุราพื้นบ้านอย่างมีเป้าหมายและความหวัง หลายชุมชนยังเผชิญกับปัญหาความรุนแรง ความยากจน และการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างไร้การควบคุม

บทบาทของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของ “ผลิตภัณฑ์” แต่เป็นเรื่องของ “บริบท” และ “ระบบสนับสนุน” ที่ต้องพิจารณาร่วมกัน

 

พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่: ความหวังที่ต้องมีทิศทาง

ในช่วงที่สังคมกำลังรอประกาศบังคับใช้ พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับใหม่ และการออกกฎหมายลำดับรอง

คำถามสำคัญคือ:

  • นโยบายสาธารณะในปัจจุบันตอบสนองต่อปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในชุมชนหรือไม่?
  • หน่วยงานรัฐควรมีบทบาทอย่างไรในการกำกับดูแลและเป็นแบบอย่างต่อการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่สาธารณะ?

การตั้งคำถามแบบนี้ไม่ใช่การต่อต้าน แต่เป็นการเปิดพื้นที่ให้สังคมร่วมกันออกแบบนโยบายที่ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ได้รับผลกระทบ แน่นอนว่าสุราพื้นบ้านสามารถเป็น soft power ได้ หากอยู่ในระบบที่มีความรับผิดชอบ มีมาตรฐาน และมีการควบคุมที่เหมาะสม ขณะเดียวกัน การควบคุมการเข้าถึงและการบริโภคสุราในบริบทเปราะบาง เช่น วัด ชุมชนยากจน หรือกลุ่มเสี่ยง ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม บทความนี้จึงไม่ใช่การตัดสิน แต่เป็นการชวนให้สังคมไทยร่วมกันตั้งคำถาม และออกแบบอนาคตของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศอย่างมีสติ มีความหวัง และมีความรับผิดชอบร่วมกัน

ป้ามีนาถูกฆ่า สังคมทำได้ดีกว่านี้ถ้าเรามีกฎหมาย
https://cas.or.th/content?id=988
Tags : -

ป้ามีนาถูกฆ่า สังคมทำได้ดีกว่านี้ถ้าเรามีกฎหมาย

        ใครที่ดูข่าวป้ามีนาถูกฆ่า เนื่องจากลูกค้าสาวที่เป็นลูกค้ามานั่งดื่มเบียร์จนเมามายไม่ได้สติ และถูกหนุ่มแปลกหน้าพากลับบ้านโดยที่ป้ามีนาไม่ได้ทักท้วง จนนำมาสู่ความโกรธแค้นของลูกค้าคนดังกล่าว และตามมาเอามีดจ้วงแทงภายหลัง เป็นความน่าสลดใจที่เราเสียคนสองคนไปพร้อมกัน คนหนึ่งเสียชีวิต อีกคนเสียอนาคต ทั้งที่ก่อนหน้านี้สองคนนี้ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีและไม่ได้มีเรื่องราวโกรธแค้นหรือหมางใจกัน

        ตามหลักการทางสถิติ สถานที่ที่มีโอกาสเกิดผลกระทบจากการดื่มแอลกอฮอล์มากที่สุด คือพื้นที่ที่มีการดื่ม และลดหลั่นกันไปตามระยะทางโดยรอบ เราสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าร้านอาหารหรือบริเวณที่มีการขายแอลกอฮอล์แล้วนั่งดื่มในร้านคือจุดที่มีความเสี่ยงจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันจากคนเมาได้มากที่สุด

        จำได้ไหมเราเคยมีคดี อ.ส.ที่หาดใหญ่ยิงครอบครัวที่มากินข้าวต้มและเป็นลูกค้าปกติ เพียงเพราะเมาและคิดว่าพนักงานเสิร์ฟเอาเบียร์ไปเก็บแล้วทั้ง ๆที่ตนยังกินไม่เสร็จ หรือข่าวล่าสุดของเป๊กผลิตโชค ที่เมามายจนเสียสติ และถูกแทงจากการมีเรื่องกับวัยรุ่น ก็เกิดขึ้นหลังจากที่คุณเป๊กกินเหล้าเสร็จและกำลังจะเดินทางไปที่ไหนสักที่

        ในเมื่อเรารู้แล้วว่าสถานที่ที่มีโอกาสจะเกิดความรุนแรงและอาชญากรรมจากเหล้าเบียร์มากที่สุดคือจุดขายที่นั่งดื่มได้ หลายประเทศเลยสร้างเกราะป้องกันไม่ให้จุดขายนั้นเสี่ยงจนเกินไป เราเรียกกฎหมายชุดนี้ว่า dram shop liability

        ในเมื่อคนที่ขายเหล้าตรงนั้นคือคนสุดท้ายที่จะปล่อยเหล้าเบียร์ให้กับลูกค้า เราก็ให้คนกลุ่มนี้เป็นคนพิจารณาว่าสมควรที่จะขายให้ต่อหรือไม่ถ้าเขาเมาจนเสียสติแล้วโอกาสที่จะไปทำเรื่องไม่คาดฝันมีมากขึ้นก็สมควรจะหยุดขาย ถ้ายังขายต่อทั้งๆที่รู้ว่าเมาเละเทะแล้ว หากมีความผิดเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเมาแล้วขับ ฆาตกรรมที่เกิดจากความมึนเมา อาชญากรรมที่เกิดจากความมึนเมา ผู้ขายก็ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย

        คดีของป้ามีนา นี่เป็นตัวอย่างของการไม่มีกฎหมายชุดนี้ และผู้ขายอย่างป้ามีนาต้องรับผิดชอบเกินกว่าเหตุไปมาก ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วตัวของผู้ดื่มเองที่ดื่มจนเมามายและเสียสติควรเป็นผู้ต้องรับผิดชอบหลักจากความเสียหายที่ตัวเองทำไว้ แต่เมื่อไม่มีกฎหมายชุดนี้ก็กลายเป็นว่าลูกค้าสาวท่านนั้นได้บันดาลโทสะและเข้าไปเอามีดจ้วงแทงป้ามีนาแทน

        เราลดความเสี่ยงให้กับผู้คนในสังคมได้ด้วยกฎหมายที่ดีป้องกันไม่ให้เกิดภาพคนเมามายจนเสียสติ นั่งดื่มเหล้าและคนขายก็ขายต่อยังไม่สะทกสะท้าน ทั้งที่รู้ว่าอาจจะมีเหตุร้ายขึ้นหลังจากนั้น

        ทั้งนี้ทั้งนั้นในส่วนของคดีป้ามีนาผู้ขายอย่างป้ามีนาเสียชีวิตไปแล้ว คนที่เป็นมือแทงก็ต้องไปชดใช้กรรมในเรือนจำ ส่วนคนที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรคือผู้ผลิตทั้งหลาย สังคมน่าเศร้าเพราะเช่นนี้

เขียนโดย ดร.นพ.มูฮัมมัดฟาห์มี ตาเละ
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานรินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

ขอขอบคุณรูปภาพจาก: https://www.thairath.co.th/news/crime/2877956

มาตรการควบคุมการบริโภคและปัญหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
https://cas.or.th/content?id=13

องค์การอนามัยโลกและวงการแพทย์และสาธารณสุขทั่วโลก จัดให้แอลกอฮอล์ เป็นสารเสพติดและเป็นสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างไม่มีข้อถกเถียง โดยสามารถ ส่งเสริมให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้กว่า 200 ชนิด ที่สำคัญ เช่น โรคมะเร็งหลอดอาหารจนถึง ลำ ไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม และมะเร็งตับ โรคของระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะโรค ตับและโรคตับอ่อน โรคติดเชื้อ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคสมองเสื่อม รวมถึง โรคเก๊าท์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุทำ ให้เกิดการบาดเจ็บทางถนนและเสียชีวิต อีกปีละหลายหมื่นคน ก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาทและความรุนแรง ดังที่ปรากฎเป็น ข่าวเกือบทุกวัน ประเทศต่าง ๆ จึงถือว่าแอลกอฮอล์ไม่ใช่สินค้าธรรมดา แต่เป็นสินค้า ที่ต้องมีการควบคุมไม่สามารถปล่อยให้ขายแบบเสรีไร้ข้อกำ หนดเหมือนเครื่องดื่ม ต่าง ๆ ได้ อย่างไรก็ดีกระแสประชาธิปไตยที่เติบโตขึ้นในสังคมและประเทศต่าง ๆ ทำ ให้ ผู้ประกอบการผลิต การขาย ได้เรียกร้องให้ลดการควบคุมหรือให้ปล่อยเสรีโดยให้ เหตุผลว่า เป็นความรับผิดชอบของคนดื่มต่างหากที่ต้องดื่มอย่างมีสติและรับผิดชอบ แม้ว่าจะฟังดูดี แต่เนื่องจากผลของแอลกอฮอล์นั้นก่อให้เกิดการเสพติดและไปลด การมีสติสัมปชัญญะโดยตรง ดังนั้นการจะปล่อยให้เป็นความรับผิดชอบของผู้ดื่มฝ่าย เดียวจึงไม่ถูกต้อง และยังเป็นการทำ ให้ผู้ไม่ดื่มต้องพลอยรับผลร้ายไปด้วย เช่น เรื่อง การดื่มแล้วขับจนเกิดเหตุ การเกิดความรุนแรงในสังคมและครอบครัว ซึ่งรัฐมีความ ชอบธรรมในการเข้าไปควบคุม ประเทศไทยเองก็อยู่ในกระแสประชาธิปไตยและกระแส ตลาดเสรี จึงเกิดความขัดแย้งจากมุมของผู้ผลิตที่รู้สึกว่ารัฐควบคุมมากไป ในขณะ เดียวกันนักวิชาการและประชาชนจำ นวนมากก็รู้สึกว่ารัฐยังสามารถทำอะไรได้มากกว่า นี้เพื่อปกป้องประชาชน ดังบทสุดท้ายซึ่งเป็นเจตนารมย์ที่แสดงออกในการประชุม วิชาการสุราแห่งชาติเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา คณะทำ งานด้านวิชาการฯ จึงได้ระดมอาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่เป็นนักวิจัยด้านแอลกอฮอล์ หารือกัน หลายครั้งและตกลงว่าจะรวบรวมแนวคิดและมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่ควรดำ เนินการและได้รวบรวมเพิ่มเติมเป็นเอกสารนี้

11 กรกฎาคม 2568 วันเข้าพรรษา
https://cas.or.th/content?id=980
Tags : -

11 กรกฎาคม 2568 l วันเข้าพรรษา

        “วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘” คือวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เป็นช่วงเวลาที่พระสงฆ์เริ่มจำพรรษาอยู่ประจำวัดตลอด 3 เดือนในฤดูฝน และยังเป็นช่วงเวลาที่ชาวพุทธจำนวนมาก ตั้งใจละเว้นสิ่งที่เป็นโทษต่อกายและใจ โดยเฉพาะ การงดดื่มสุรา เพราะการ “หยุดเหล้า 3 เดือน” ไม่เพียงเป็นการปฏิบัติธรรมตามหลักศาสนา แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการ ลดความเสี่ยงโรค และ ฟื้นฟูสุขภาพ ได้อย่างแท้จริง

        หยุดเหล้า 3 เดือน ลดความเสี่ยงมากกว่าที่คิด การงดดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเข้าพรรษา เพียง 3 เดือน อาจฟังดูสั้น...แต่มีผลลัพธ์ยาวไกลต่อสุขภาพของคุณ หลักฐานทางการแพทย์ชี้ว่าเพียงแค่หยุดเหล้า:

  • ตับ เริ่มซ่อมแซมตัวเอง ลดการอักเสบและไขมันพอก
  • หัวใจ ทำงานได้ดีขึ้น ลดความดันโลหิต
  • สมอง ฟื้นฟูระบบความจำและสมาธิ
  • ภูมิคุ้มกัน แข็งแรงขึ้น ลดโอกาสติดเชื้อ
  • ความเสี่ยงโรคมะเร็ง หลายชนิดลดลง

นอกจากนี้ การหยุดดื่มยังช่วยลดอุบัติเหตุ ความรุนแรง และภาระครอบครัว วันเข้าพรรษานี้ ชวนกัน พักเหล้า 3 เดือน เพื่อพิสูจน์ผลดีด้วยตัวคุณเอง

เอกสารอ้างอิง:

1) World Health Organization (WHO). Alcohol and health.

https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/alcohol

2) Mehta, G., Macdonald, S., Cronberg, A., Rosselli, M., Khera‑Butler, T., Sumpter, C. et al. (2018). Short‑term abstinence from alcohol and changes in cardiovascular risk factors, liver function tests and cancer‑related growth factors: A prospective observational study. BMJ Open, 8(5), e020673. https://doi.org/10.1136/bmjopen‑2017‑020673

 10 กรกฎาคม 2568 วันอาสาฬหบูชา
https://cas.or.th/content?id=979
Tags : -

 10 กรกฎาคม 2568 | วันอาสาฬหบูชา
"งดสุราในวันอาสาฬหบูชา: ทางเลือกเพื่อชีวิตที่ดีกว่า"


        วันอาสาฬหบูชา เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือนแปด เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ปฐมเทศนา แก่ปัญจวัคคีย์ เรื่อง “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” ซึ่งอธิบายหลักธรรมสำคัญ ได้แก่ ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ และทางนำไปสู่ความดับทุกข์ อันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา วันอาสาฬหบูชาจึงเป็นช่วงเวลาที่ชาวพุทธมักใช้ในการปฏิบัติธรรม เพื่อชำระจิตใจให้บริสุทธิ์และหันกลับมาใคร่ครวญชีวิตอย่างมีสติ (พระไพศาล วิสาโล, 2560)

        ในโอกาสนี้ ประเทศไทยได้กำหนดให้วันอาสาฬหบูชาเป็นหนึ่งในวันห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามกฎหมาย ร่วมกับวันพระใหญ่อื่น ๆ เช่น วันมาฆบูชา วิสาขบูชา เข้าพรรษา และออกพรรษา (ราชกิจจานุเบกษา, 2551) เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนงดเว้นจากการบริโภคสุรา และใช้เวลานี้ในการละกิเลส ฝึกจิต และเสริมสร้างสุขภาวะ

        แอลกอฮอล์หรือสุรา แม้จะเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวันของใครหลายคน แต่แท้จริงแล้วเป็นหนึ่งในต้นเหตุสำคัญของทุกข์ทั้งทางกายและทางใจ ไม่เพียงก่อให้เกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคตับ โรคหัวใจ หรือปัญหาระบบประสาท (Rehm et al., 2009) แต่ยังส่งผลกระทบต่อสังคม เช่น อุบัติเหตุบนท้องถนน ความรุนแรงในครอบครัว และการละเมิดสิทธิผู้อื่น พระพุทธศาสนาถือว่าสุราเป็นหนึ่งในอบายมุข และการงดเว้นจากการดื่มสุราก็เป็นหนึ่งในศีล 5 ซึ่งพุทธศาสนิกชนควรยึดถือ

        จากข้อมูลของศูนย์วิจัยปัญหาสุรา พบว่า การดื่มสุรามีความเชื่อมโยงกับปัญหาอุบัติเหตุ การใช้ความรุนแรง และการเจ็บป่วยจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อย่างชัดเจน (ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา, 2565) นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังระบุว่า แอลกอฮอล์เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงอันดับต้น ๆ ของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและวัยแรงงาน ซึ่งเป็นกำลังสำคัญของประเทศ (WHO, 2018)

        วันอาสาฬหบูชาจึงอาจเป็นโอกาสสำคัญในการเริ่มต้น “ละเลิกเหล้า” และทบทวนเส้นทางชีวิตของตนเอง เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นทั้งต่อร่างกาย จิตใจ และความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง และหากผู้คนสามารถรักษาพฤติกรรมนี้ไว้ตลอดช่วงเข้าพรรษา ก็อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่จะทำให้ “การงดเหล้า” กลายเป็นวิถีชีวิตระยะยาว

เอกสารอ้างอิง:
1) พระไพศาล วิสาโล. (2560). พุทธธรรมในชีวิตประจำวัน. กรุงเทพฯ: สวนเงินมีมา.
2) ราชกิจจานุเบกษา. (2551). พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551.
3) Rehm J, Mathers C, Popova S, et al. (2009). Global burden of disease and injury and economic cost attributable to alcohol use and alcohol-use disorders. Lancet, 373(9682), 2223–2233.
4) ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา. (2565). รายงานสถานการณ์แอลกอฮอล์ประเทศไทย.
5) World Health Organization (WHO). (2018). Global Status Report on Alcohol and Health 2018. Geneva: WHO."

มติการประชุม คณะทำงานด้านวิชาการในการสนับสนุนการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
https://cas.or.th/content?id=889

มติการประชุม คณะทำงานด้านวิชาการในการสนับสนุนการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 
ภายใต้อนุกรรมการวิชาการ คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ความเสี่ยงในการแก้ไขกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือประกาศที่ใช้บังคับในการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568

1) การยกเลิกกำหนดเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยการให้โรงแรมที่จดทะเบียนสามารถขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือการขยายเวลาขายให้สถานประกอบการคล้ายสถานบริการขายได้ถึงตีสี่:

        ปัจจุบันมีโรงแรมที่จดทะเบียนประมาณ 15,000 แห่ง แขกในโรงแรมสามารถดื่มจากสินค้าที่วางขายในห้องอยู่แล้ว หากครอบคลุมไปถึงร้านค้า ร้านอาหารในโรงแรม มาตรการนี้จะทำให้เกิดการบริโภคเพิ่มขึ้นอย่างมาก แขกและลูกค้าภายนอกของโรงแรมสามารถเข้ามาใช้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง จะเกิดการดื่มแล้วขับทำให้บาดเจ็บและการตายบนท้องถนนเพิ่มมากขึ้นในหลายจังหวัดอย่างแน่นอน ประมาณ 15-20% เป็นอย่างน้อย ดังปรากฏข้อเท็จจริงว่าในการขยายเวลาให้สถานบริการในพื้นที่ จังหวัดชลบุรีและภูเก็ตที่รวมประมาณ 1,000 สถานบริการ โดยขยายเวลาบริการได้ถึงตีสี่ ทำให้เกิดอุบัติเหตุในช่วงตีสองถึงเจ็ดโมงเช้าเพิ่มขึ้นทั้งสองจังหวัด เกิดการบาดเจ็บเพิ่ม 900 ราย (เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 14%) และมีการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นทั้งสองจังหวัดรวมกัน 37 ราย (เพิ่มขึ้น 25%) โดยแม้แต่พื้นที่นำร่องที่ขยายเวลาฯ ก็ยังไม่ได้ดำเนินการให้เป็นตามมาตรการที่กำหนด ยิ่งไปกว่านั้นในพื้นที่เขตโซนนิ่งมีปัญหาอาชญากรรมเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ป่าตอง มีเหตุทุกวัน ทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าว ชาวบ้านในพื้นที่ใช้ชีวิตลำบากมากขึ้น โจรขโมยเยอะขึ้น และแน่นอนว่าเป็นการเพิ่มภาระงานให้กับบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่กู้ภัย และที่พัทยา พบนักท่องเที่ยวโดนคนเมาทำร้าย อย่างไรก็ดีหากโรงแรมที่มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศมากและใช้บริการอาหารเที่ยงของโรงแรมมีความประสงค์ขอขยายเวลาการขายในช่วง 14.00-17.00 น. อาจพิจารณาเป็นข้อยกเว้นภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนดขึ้น และตรวจสอบรับรองโดยคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับจังหวัด ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของ พ.ร.บ. ฉบับแก้ไขที่กำลังพิจารณาในสภาขณะนี้

2) การห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา:

        การอนุญาตให้ขายในวันสำคัญทางศาสนาเพียง 5 วัน ประชาชนส่วนใหญ่อาจไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะที่นับถือศาสนาพุทธ เนื่องจากมีมิติทางสังคมวัฒนธรรม และเมื่อพิจารณาสถานการณ์ปัจจุบัน พบว่า ประชาชนยังสามารถหาซื้อได้ในร้านขายของชำทั่วไป โดยสามารถซื้อได้ตลอด แม้ว่าเป็นช่วงเวลาห้ามขายก็ตาม สะท้อนให้เห็นถึงการบังคับใช้กฎหมายที่ผ่านมา ไม่มีการตรวจสอบหรือสุ่มตรวจร้านค้า คณะทำงานด้านวิชาการฯ เสนอให้คงการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนาไว้ 5 วันคงเดิม และไม่เห็นด้วยที่จะยกเว้นให้ขายได้ในสถานประกอบการคล้ายสถานบริการ เพราะจะไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งจำนวนสถานประกอบการคล้ายสถานบริการมีมากกว่า 1 แสนราย ส่วนสถานบริการตามกฎหมายสถานบริการ 2,000 ราย ควรจะห้ามเช่นเดิม แต่อาจมีข้อยกเว้นให้กับบางพื้นที่เท่านั้น เช่น ท่าอากาศยานระหว่างประเทศ โรงแรม โดยคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัดต้องรับรองตรวจสอบให้มีมาตรการเฝ้าระวัง ติดตาม และป้องกันผลกระทบอย่างจริงจัง

3) การขายออนไลน์:

        ไม่ควรอนุมัติให้มีการยกเลิกกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือประกาศที่ใช้บังคับปัจจุบันเพื่อให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ต่อผู้บริโภคโดยตรงได้ และควรชะลอการตัดสินใจเพื่อสั่งการให้มีคณะศึกษาผลกระทบในเรื่องนี้อย่างละเอียด เนื่องจากปัจจุบันมีร้านค้าที่พร้อมจะขายออนไลน์ เช่น ร้านสะดวกซื้อแบบธุรกิจขนาดใหญ่เกือบสองหมื่นร้าน ร้านอาหาร ผับ บาร์ อีกประมาณสองแสนร้าน หรืออาจเกือบครึ่งหนึ่งจากใบอนุญาตขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 570,000 ใบ ประกอบกับมีแพลตฟอร์มการสั่งซื้อที่สะดวกมากมายหลากหลายที่ไม่มีการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ซื้อ จะทำให้เยาวชนเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ง่ายโดยปราศจากการตรวจสอบอายุตามที่กฎหมายกำหนด ไม่สามารถตรวจสอบตัวตนของผู้ขายและตรวจสอบใบอนุญาตขาย ซึ่งมีความย้อนแย้งกับมติคณะรัฐมนตรีที่ให้ดำเนินการแก้ไขโดยที่ต้องคำนึงถึงการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไม่เหมาะสมของเยาวชนเป็นสำคัญ ทั้งนี้ การขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ต่อผู้บริโภคโดยตรงนั้นก็ไม่ได้เป็นวิธีการส่งเสริมการท่องเที่ยวแต่อย่างใด และในทางกลับกันอาจกลายเป็นช่องทางที่มีการสั่งสินค้าแอลกอฮอล์จากต่างประเทศได้ ประกอบกับผลจากการบังคับใช้การขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ผ่านมา พบว่า มีการสื่อสารโพสต์คอนเทนต์โฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 และได้ลองดำเนินการแจ้งทางแพลตฟอร์มโซเชียล ก็ไม่ได้รับความร่วมมือ จึงทำให้ไม่สามารถดำเนินคดีต่อได้

4) ประเด็นอื่น ๆ:

  • การดำเนินงานในแต่ละประเด็น ควรต้องสร้างตัวเลือกในการดำเนินงาน อาจประกอบด้วยแนวทางหลักและแนวทางสำรอง เช่น อาจจะลองดำเนินการในบางพื้นที่ ซึ่งรัฐต้องมีการควบคุม ติดตาม และรายงานผลของนโยบายให้เป็นที่ประจักษ์ เพื่อลดผลกระทบ โดยมาตรการความพร้อมต้องเกิดก่อนออกมาตรการ
  • ควรมีการศึกษาวิจัยมิติทางสังคมที่มาช่วยยืนยันได้ว่า นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวประเทศไทย มาเพราะอยากดื่มเหล้า มาเล่นคาสิโน และมีงานวิจัยต่างประเทศที่ชี้ว่าการส่งเสริมการท่องเที่ยวในการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นไม่ได้ส่งเสริมรายได้ทางเศรษฐานะของประชาชนได้จริง
  • การเพิ่มช่องทางการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ย่อมเพิ่มผลกระทบแน่นอน ส่วนใหญ่จะพบข้อมูลผลกระทบที่เป็นภัยทางถนนเป็นส่วนใหญ่และเห็นแนวโน้มชัดเจน ซึ่งอาจต้องพิจารณาถึงผลกระทบด้านอื่นร่วมด้วย เช่น เหตุทะเลาะวิวาทจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือดื่มจนเสียชีวิต การติดสุรา ข้อมูลความรุนแรง เป็นต้น ซึ่งยังไม่ค่อยมีข้อมูลด้านนี้ จึงไม่สามารถนำมาใช้ในการประกอบการพิจารณาได้อย่างรอบด้าน

5) บทสรุป:

        เนื่องจากการยกเลิกมาตรการต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องการให้ขายออนไลน์ ขยายเวลาขายในโรงแรม 24 ชั่วโมง หรือการขยายเวลาให้สถานบริการและสถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการจะมีความเสี่ยงทำให้เกิดการเสียชีวิตประมาณ 600-800 ราย จากการดื่มขับ การเร่งรัดแก้ไขให้เสร็จเร็วเพื่อทันเทศกาลสงกรานต์สำหรับการท่องเที่ยวจึงอาจเป็นการละเลยและประมาทในการปกป้องความปลอดภัยของคนไทยตามหน้าที่ของรัฐที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญ คณะทำงานด้านวิชาการฯ เสนอให้มีการศึกษาเพื่อพิจารณาความพร้อมต่าง ๆ อย่างรอบด้าน ไม่ควรรีบดำเนินการเพราะไม่ได้เป็นภาวะฉุกเฉิน

ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.)

Centre for Alcohol Studies (CAS)

สาขาวิชาเวชศาสตร์ครอบครัวและเวชศาสตร์ป้องกัน อาคารศรีเวชวัฒน์ ชั้น 11 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เลขที่ 15 ถนนกาญจนวนิช ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 90110

083-5775533

https://www.facebook.com/cas.org.th

เข้าชมแล้ว 0 ครั้ง
Copyright © 2025 CAS All rights reserved.