คำค้นหา : ดื่มหนัก

คำนี้ค้นหามาแล้ว : 30 ครั้ง
งานวิจัยชี้! ร้านขายเหล้าเยอะ วัยรุ่นดื่มมากขึ้น เด็กหญิงไทยเสี่ยงดื่มหนักเพิ่ม 23%
https://cas.or.th/content?id=28

งานวิจัยล่าสุดจากศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานวิจัยระบบสุขภาพ (สวรส.) ภายใต้การนำของหัวหน้าโครงการวิจัย รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เผยข้อมูลชัดเจนว่า ความหนาแน่นของร้านขายสุราส่งผลให้พฤติกรรมการดื่มของวัยรุ่นไทยพุ่งสูงขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นหญิงที่มีแนวโน้มดื่มหนักเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 23

งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567 โดยใช้ข้อมูลจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติและข้อมูลใบอนุญาตจากกรมสรรพสามิตระหว่างปี พ.ศ. 2550 ถึง 2566 ครอบคลุมกลุ่มวัยรุ่นไทยอายุ 15 ถึง 19 ปี จำนวนกว่า 10,000 คน

 

 

รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร หัวหน้าทีมวิจัยให้ความคิดเห็นว่า “ความหนาแน่นของร้านขายเหล้าใกล้บ้านเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้วัยรุ่นเข้าถึงแอลกอฮอล์ได้ง่าย ผลลัพธ์ คือ พฤติกรรมการดื่มฯ เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเด็กผู้หญิงที่มีการดื่มหนัก (binge drinking) เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 23 ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจ สำหรับวัยรุ่นชายก็เพิ่มโอกาสในการดื่มฯ สุราในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาเช่นกัน ประมาณร้อยละ 9”

การเข้าถึงแอลกอฮอล์ตั้งแต่วัยเยาว์อาจนำไปสู่ผลกระทบทางสุขภาพในระยะยาว ดังนั้น “ถึงเวลาแล้วที่ภาครัฐต้องพิจารณาควบคุมจำนวนร้านขายสุราอย่างเข้มงวด เพื่อลดการเข้าถึงแอลกอฮอล์ในกลุ่มเยาวชนและปกป้องอนาคตของพวกเขา” รศ.ดร.นพ.พลเทพ กล่าวเสริม

จากการศึกษาพบว่า จำนวนใบอนุญาตขายสุราต่อประชากร 1,000 คน ระหว่างปี พ.ศ. 2550 ถึง 2566 มีค่าเฉลี่ยประมาณ 9 ใบอนุญาตฯ ต่อประชากร 1,000 คน ซึ่งความหนาแน่นระดับนี้ถือว่าสูงเกินธรรมดาเป็นอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ

รศ.ดร.นพ.พลเทพ กล่าวปิดท้ายว่า “ประเทศไทยควรมีการดำเนินการอย่างจริงจังในการลดจำนวนใบอนุญาตจำหน่าย ประเทศไทยควรมีการปรับและพัฒนาแนวทางและกระบวนการออกใบอนุญาตรายใหม่และต่อใบอนุญาตรายเก่าให้เข้มงวดมากขึ้น ควรมีการใช้ข้อมูลต่าง ๆ ในระดับพื้นที่ มาพิจารณาการต่อใบอนุญาต เช่น การละเมิดกฎระเบียบ การมีผลกระทบต่อชุมชน ความคิดเห็นของประชาชนหรือหน่วยงานต่าง ๆ ในชุมชน”


เสียงจากเยาวชน: การเข้าถึงแอลกอฮอล์ง่ายเกินไป เสี่ยงทำร้ายอนาคตเยาวชนไทย

นักศึกษาแพทย์ เขมจิรา เจ๊ะบา นักศึกษาแพทย์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และนักกิจกรรมเยาวชน ให้ความเห็นว่า “ถึงแม้ว่าตามกฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศได้ขีดเส้นไว้ชัดเจนว่า ผู้ที่สามารถซื้อและบริโภคแอลกอฮอล์ได้ต้องมีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ แต่ความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น ในกลุ่มเยาวชนรู้ดีว่า แม้แต่เยาวชนอายุ 15 ปี ก็สามารถเข้าถึงแอลกอฮอล์ได้ เส้นที่รัฐธรรมนูญขีดไว้เป็นเพียงอุดมคติ ในฐานะเยาวชนไทยผู้ซึ่งถูกเรียกว่าอนาคตของชาติ ดิฉันมีความกังวลใจเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับการเพิ่มตัวของร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ขัดกับความหนักแน่นของรัฐธรรมนูญ”นอกจากนั้นแล้ว นักศึกษาแพทย์ เขมจิรา ยังให้ข้อคิดเห็นที่น่าสนใจว่า “เป็นที่ทราบกันดีว่า แอลกอฮอล์นั้นสามารถเป็นต้นเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ และการทำร้ายร่างกาย ดิฉันเชื่อว่า เยาวชนทุกคนมีสิทธิในการอาศัยอยู่ในประเทศนี้อย่างปลอดภัย ปลอดภัยในที่นี้รวมทั้งสุขภาพกาย จิตและการอยู่อาศัย แต่ปัจจุบันสังคมและสื่อกำลังสนับสนุนภาพลักษณ์ของการดื่มแอลกอฮอล์ในทางบวก สร้างความสวยงามและความหรูหราในยาพิษ นั้นเปรียบเสมือนว่าสังคมกำลังค่อยๆ ละเมิดสิทธิของพวกเราที่ต้องการเติบโตขึ้นอย่างปลอดภัย” นักศึกษาแพทย์ เขมจิรา เจ๊ะบา ทิ้งท้ายไว้ว่า “ดิฉันขอเป็นตัวแทนของเยาวชนเพื่อส่งสาสน์ถึงผู้ใหญ่หรือรัฐบาลในการเรียกร้องสิทธิที่พวกเราควรได้รับความปลอดภัยที่เป็นพื้นฐาน สังคมที่ดีและสุขภาพที่มั่นคง”

 

งานวิจัยที่อ้างอิง:
Vichitkunakorn P, Assanangkornchai S, Thaikla K, Buya S, Rungruang S, Talib M, Duangpaen W, Bunyanukul W, Sittisombut M. Alcohol outlet density and adolescent drinking behaviors in Thailand, 2007-2017: A spatiotemporal mixed model analysis. PLoS One. 2024 Oct 31;19(10):e0308184. doi: 10.1371/journal.pone.0308184.

เหล้า รถหรู สำนึก อำนาจ และการให้อภัย
https://cas.or.th/content?id=107

โดย…ดร.วิทย์ วิชัยดิษฐ

กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ในประเทศสารขัณฑ์

มีชายสองคนทำพลาดเหมือนกัน คือเมาแล้วขับรถชนคนตาย

ทั้งสองเหตุการณ์ ชายที่ก่อเหตุเป็นเศรษฐี-มหาเศรษฐี ผู้ที่เสียชีวิตเป็นตำรวจ ต่างกันที่ยศของผู้เสียชีวิต และจำนวนผู้บาดเจ็บ-เสียชีวิตในเหตุการณ์

ทั้งสองเหตุการณ์เป็นข่าวใหญ่ เริ่มแรกสังคมสารขัณฑ์โกรธเศรษฐีผู้ก่อเหตุ และมองว่าเศรษฐีแต่ละคนจะต้องใช้เงิน เส้นสายและอำนาจ ดิ้นให้ตนเองหลุดและไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ แน่ๆ

แล้วความเหมือนก็สิ้นสุดตรงนั้น

เศรษฐีสารขัณฑ์คนแรก ติดต่อครอบครัวผู้เสียหาย พร้อมชดเชยและเยียวยาทั้งทางการเงินอย่างเต็มที่ แต่ที่สังคมคาดไม่ถึงยิ่งกว่า คือ เศรษฐีกลับติดตามอาการผู้เสียหายทุกวัน บวชขอขมา พร้อมแจ้งว่าตนพร้อมรับความผิดตามกระบวนการศาลยุติธรรมอย่างเต็มที่ เมื่อศาลตัดสินแบบพร้อมลดหย่อนโทษ สิ่งแรกที่เศรษฐีคนนั้นทำคือกราบเท้าครอบครัวผู้เสียหายและสัญญาว่าจะเลิกดื่มตลอดชีวิต

เศรษฐีสารขัณฑ์คนที่สองเป็นลูกมหาคหบดี ร่ำรวยกว่าเศรษฐีคนแรกเป็นร้อยเท่า แต่กลับชดใช้ค่าเสียหายให้ครอบครัวผู้ตายไม่ถึงเสี้ยวหนึ่งของที่เศรษฐีคนแรกช่วยผู้ตายในคดีตน และแทนที่จะยอมขึ้นศาล กลับหนีความผิดไปอยู่ดินแดนอันไกลโพ้น โดยที่เจ้าตัวไม่เคยมาสารภาพหรือยอมรับว่าตนเคยทำผิดพลาดใดๆ ไปทั้งสิ้น นอกจากนั้นก็ยังมีเรื่อง “แปลกๆ” เกิดขึ้นมากมายจนถึงปัจจุบัน

ปฏิกิริยาของสังคมสารขัณฑ์ต่างกันโดยสิ้นเชิง

ผู้คนในสังคมพร้อมให้อภัยเศรษฐีคนแรก ถึงขั้นที่ว่าต่อมามีข่าวว่าเศรษฐีคนนั้นอาจต้องเข้าคุก หลายคนพร้อมจะมาปกป้องเขาด้วยซ้ำ

ในทางกลับกัน ผู้คนในสังคมโกรธเศรษฐีคนที่สองมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเวลาผ่านไปและมีเหตุการณ์ “แปลกๆ” เกิดขึ้น ความแค้นยิ่งทวีคูณ

เศรษฐีคนที่สอง ถึงจะมีเงินหนีไปอยู่ต่างแดนได้ แต่เศรษฐีคนนั้นหนีความจริงไปไม่ได้ เมื่อมีคนอื่นไปพบเห็นหรือจำเขาได้ในต่างแดน และพยายามเรียกชื่อเขาให้เขาเผชิญความจริง สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือหลบหน้าด้วยความอับอาย และย้ายที่พักไปเรื่อยๆ โดยต้องระแวงตลอดเวลาว่าจะมีใครมาเห็นตนหรือไม่

ในขณะที่เศรษฐีคนแรก ไม่ได้หนีไปไหน เผชิญหน้ากับความจริง เขาก็ไม่จำเป็นต้องหลบหน้าหรืออยู่ด้วยความอับอาย และที่สำคัญคือครอบครัวของผู้เสียหายพร้อมที่จะให้อภัยเขา หากได้การอภัยเช่นนี้แล้ว หัวใจเขาคงเป็นอิสระ ไม่ว่าตัวเองจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรก็ตาม

ความสบายใจและเป็นอิสระตรงนี้ ต่อให้เป็นคนรวยขนาดทายาทเศรษฐีหมื่นล้าน ก็หาซื้อไม่ได้ครับ

แต่เศรษฐีคนที่สองมีทางออก

โดยธรรมชาติ มนุษย์เราพร้อมที่จะให้อภัย เพื่อให้ตัวเองก้าวข้ามความโกรธและเริ่มกระบวนการเยียวยาได้

การให้อภัย ไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อได้รับเงินเยียวยา ชดเชยค่าเสียหาย

การชดเชยค่าเสียหายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเยียวยา แต่อาจไม่ใช่ส่วนหลัก

การจ่ายเงินเป็นเรื่องง่าย ไม่ต้องเผชิญหน้าใคร

การยอมรับผิดและการแสดงความรับผิดชอบ เป็นสิ่งที่ยากกว่า เพราะผู้ที่กระทำผิดจะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ตนเองทำโดยตรง ยอมรับว่าตนเองทำไม่ดี และพร้อมรับผลที่ตามมาโดยไม่มีเงื่อนไข

ซึ่งการเผชิญหน้ากับสิ่งไม่ดีที่ตนเองได้ทำไปนี้จะต้องใช้ทั้งความกล้าหาญ ความถ่อมตน และสามัญสำนึก — การแสดงออกถึงคุณลักษณะเหล่านี้จะช่วยให้ผู้เสียหายและครอบครัวพร้อมเปิดใจของตนเองมากขึ้น และเริ่มต้นเยียวยาจิตใจตนเองได้

และนั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่หรือ??

อนึ่ง…………..

ทั้งสอง “เหตุการณ์สมมุติ” นี้ จะไม่เกิดขึ้นเลย หากเศรษฐีในเรื่องนั้นไม่ขับรถหลังดื่มเหล้า ดังนั้นขอแนะนำทุกคนว่า หากเราไปดื่มแล้วอยากเอารถกลับบ้าน ควรให้เพื่อนที่ไม่ดื่มช่วยขับรถพาเรากลับ หรือเรียก Grab หรือแท็กซี่ให้ไปส่งกลับบ้าน แล้ววันรุ่งขึ้นหายเมาแล้วค่อยมารับรถ ค่าจอดรถเกินเวลาไม่กี่บาท แต่อนาคตและชีวิตของเราและผู้อื่น เป็นสิ่งที่ประเมินค่ามิได้

อย่างไรก็ดี เนื่องจากทั้งสอง “เหตุการณ์สมมุติ” นี้ มีแอลกอฮอล์เข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าเราอยากจะทำให้ประเทศสารขัณฑ์มีปัญหาเรื่องอุบัติภัยจราจรลดลง เราน่าจะทำอะไรได้บ้าง

1. “อย่า หา ทำ” — การดื่มสุราทุกระดับมีผลต่อความสามารถในการขับขี่ทั้งสิ้น งานวิจัยในสหรัฐฯ พบว่าอุบัติเหตุเมาแล้วขับและมีคนตาย 15% เกิดขึ้นแม้ว่าผู้ขับจะมีแอลกอฮอล์อยู่ในระดับที่กฏหมายกำหนด [1] หลังดื่มสุราเข้าไป แอลกอฮอล์ในเลือดจะพุ่งสู่ระดับสูงสุดในเวลา 30-90 นาทีหลังดื่ม หลังจากนั้นการขจัดแอลกอฮอล์จะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ (ดื่มหนึ่งแก้ว ต้องใช้เวลาขจัดประมาณหนึ่งชั่วโมง) ดังนั้นคนที่ดื่มหนักตอนกลางคืน แม้กระทั่งเช้าวันต่อมาก็ยังอาจมีระดับแอลกอฮอล์สูงเกินกำหนดอยู่ และเกิดอันตรายขณะขับรถได้ ดังนั้นทางที่ดีที่สุด คือ อย่าดื่มแล้วขับรถกลับบ้านเอง ให้เรียกแท็กซี่หรือ Grab กลับบ้าน หรือให้เพื่อนที่ไม่ได้ดื่มช่วยพากลับบ้าน

2. หากผู้ใดใช้แอลกอฮอล์ร่วมกับสารเสพติดกระตุ้นประสาท (เช่น โคเคน) ห้ามขับรถเด็ดขาด!! ไม่ว่าจะดื่มน้อยแค่ไหน หรือใช้สารดังกล่าวน้อยแค่ไหนก็ตาม — เมื่อใช้แอลกอฮอล์ร่วมกับโคเคน แอลกอฮอล์จะทำให้ระดับโคเคนในเลือดพุ่งสูงขึ้น และร่างกายจะสร้างสารโคคาเอทิลีน (cocaethylene) ขึ้นมา ซึ่งส่งผลต่อความนึกคิดและระบบประสาท [2,3] ทำให้ผู้เสพมีพฤติกรรมก้าวร้าวมากขึ้น เป็นอันตรายมากต่อตนเอง ผู้โดยสาร และผู้สัญจรทุกคนบนถนน ดังนั้นจึงไม่ควรขับรถเด็ดขาด ไม่ว่าในกรณีใดๆ

3. ควรจะพิจารณาลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่ตามกฎหมายลงจากเดิม 0.5 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์เป็น 0.2 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ — หากผู้ขับขี่ใช้แอลกอฮอล์ร่วมกับสารอื่น เช่น โคเคน ยาบ้า ยาไอซ์ อัลปราโซแลม หรือกัญชาทางการแพทย์ สารนั้นสามารถที่จะมีทำปฏิกิริยากับแอลกอฮอล์ได้ (แม้ในจำนวนน้อยนิด) ส่งผลให้สมรรถนะการขับขี่ด้อยลงจนเป็นอันตรายแก่ผู้อื่นได้ [2,3]

4. ควรจะจัดให้มีจุดสุ่มตรวจแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่ทั่วประเทศ ให้ประชาชนที่ขับขี่ยานพาหนะโดยทั่วไปตระหนักว่าทุกคนสามารถถูกสุ่มตรวจได้เสมอ โดยมีโอกาสถูกสุ่มตรวจอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง และดำเนินการจับกุมและลงโทษผู้ละเมิดกฏหมายอย่างจริงจัง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่ดื่มไม่ขับรถ และผู้ที่ขับรถไม่ดื่ม เพิ่มความปลอดภัยทั้งกับตนเองและผู้อื่นได้

5. หากเกิดอุบัติเหตุทางถนน ควรตรวจระดับแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่ทุกคน ไม่ว่าจะมีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตหรือไม่ และควรตรวจระดับสารเสพติด เช่น กัญชา ยาบ้า โคเคน ยากล่อมประสาทและยานอนหลับด้วย หากพบว่ามีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสูงเกินกำหนด หรือมีสารเสพติด ให้ดำเนินคดีกับผู้ขับขี่ตามกฏหมาย รวมทั้งส่งต่อให้ได้รับการดูแลบำบัดรักษาตามความเหมาะสม

หากทำเช่นนี้แล้ว ชาวสารขัณฑ์ทุกคน ไม่ว่าจะดื่มสุราหรือไม่ คนที่มีรถขับ คนที่โดยสารยานพาหนะ หรือแม้แต่คนเดินถนน ต่างก็จะมีความปลอดภัยในชีวิตมากขึ้น หากอุบัติเหตุทางถนนที่เกี่ยวข้องกับการดื่มสุราและการใช้สารเสพติดลดลง และเป็นการลดภาระการทำงานของตำรวจ อัยการ และผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดด้วย

หมายเหตุ: เรื่องทั้งหมดที่เล่ามาเป็นเรื่องสมมุติ หากมีเนื้อหาใกล้เคียงกับผู้ใด ถือเป็นเหตุบังเอิญทั้งสิ้น

อ้างอิง

1. https://www.ajpmonline.org/article/S0749-3797(20)30040-4/fulltext

2. https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/30195242/

3. https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/30007323/

วันยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี
https://cas.or.th/content?id=164

วันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปีวันยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรีสากล

_________
งด ลด ดื่มแอลกอฮอล์ = ยุติความรุนแรง

“ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรีสากลด้วยการไม่ดื่มแอลกอฮอล์”

นอกจากแอลกอฮอล์จะจัดเป็นอุปสรรคสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืนแห่งปี 2030 ในเป้าหมายที่ 3 สุขภาพและชีวิตความเป็นอยู่แล้วนั้น ยังนับเป็นอุปสรรคต่อเป้าหมายที่ 16 สันติภาพและความยุติธรรม โดยเฉพาะในเป้าหมายที่ 16.1 ลดการใช้ความรุนแรง และการเสียชีวิตจากความรุนแรงทุกรูปแบบ และทุกหนแห่งอีกด้วย ซึ่งสามารถยืนยันได้จากงานวิจัย ดังนี้

  • จากข้อมูลโครงการสำรวจการได้รับผลกระทบจากการดื่มแอลกอฮอล์ของผู้อื่นในประเทศไทย1 โดยกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ใหญ่ที่มีเด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีอยู่ในความดูแล จำนวน 937 คน พบว่า ร้อยละ 24.6 เด็กที่ตนดูแลอยู่ได้รับผลกระทบจากการดื่มของคนอื่น โดยเป็นผลกระทบจากการถูกตีหรือทำร้ายร่างกายร้อยละ 1.7

  • จากการศึกษาลักษณะและผลกระทบของภัยเหล้ามือสองต่อสมาชิกครอบครัวในชนเผ่าลาหู่ในจังหวัดเชียงราย2 พบว่า ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 1,031 คน มีผู้หญิงและกลุ่มอายุน้อยกว่าและเท่ากับ 15 ปี เคยถูกลวนลามทางเพศร้อยละ 6.0 และร้อยละ 4.5 ตามลำดับ

  • ผลการศึกษาประสบการณ์ (ปัญหา) ของผู้หญิงจากผลกระทบจากการดื่มสุราของสมาชิกใน ครอบครัว3 พบว่า ผู้หญิงได้รับผลกระทบด้านคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ การเงินของครอบครัว และผู้ดื่มสุรายังสร้างความรุนแรงต่อกลุ่มเปราะบางอื่น ๆ ในบ้านทั้งเด็ก เยาวชน คนชราและผู้พิการ

  • ผลกระทบจากการดื่มสุราที่มีต่อเด็ก ร้อยละ 16 ของประเทศ เคยได้รับผลกระทบจากการดื่มสุราของคนรอบข้าง โดยปัญหาที่พบมากที่สุด คือ ความรุนแรงในครอบครัวร้อยละ 7.5 ซึ่งความรุนแรงดังกล่าวประมาณร้อยละ 30 – 35 เกิดจากพ่อและแม่ของเด็กที่ดื่มสุราเอง และถ้าคนรอบข้างดื่มหนัก (Binge Drinking) หรือดื่มบ่อย (Regular Drinking) เด็กจะมีโอกาสเกิดผลกระทบเพิ่มสูงขึ้นถึง 4.8 และ 1.9 เท่า ตามลำดับ เมื่อเทียบกับการไม่มีคนรอบข้างดื่มสุรา4

  • จากผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของสามีกับความรุนแรงจากคู่สมรสในผู้หญิงหลังคลอด จำนวน 1,207 คน ในโรงพยาบาลของรัฐ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ในจังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดเลย และจังหวัดชัยภูมิ พ.ศ. 25665 พบว่า หญิงตั้งครรภ์ร้อยละ 4.7 เคยถูกสามีกระทำความรุนแรงขณะตั้งครรภ์ โดยร้อยละ 4.1 เคยถูกกระทำความรุนแรงทางวาจา ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากที่สุด รองลงมาเป็นการถูกกระทำความรุนแรงทางร่างกายร้อยละ 1.1 และการถูกกระทำความรุนแรงทางเพศร้อยละ 0.9 โดยสามีที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นบางครั้งและดื่มหนัก และสามีที่ดื่มประจำและดื่มหนัก จะเพิ่มความเสี่ยงที่ทำให้เกิดความรุนแรงต่อภรรยาที่ตั้งครรภ์ถึง 16.9 เท่า และ 12.8 เท่า ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบกับสามีที่ไม่ดื่มเลย

จากข้อมูลข้างต้น สะท้อนให้เห็นผลกระทบในมิติของความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับเด็กและสตรีจากการดื่มแอลกอฮอล์ของบุคคลในครอบครัวและบุคคลรอบข้าง โดยแอลกอฮอล์มีความสัมพันธ์ที่ทำให้ผู้ดื่มขาดการยับยั่งชั่งใจ ควบคุมตัวเองไม่ได้ รวมทั้งกระตุ้นให้เกิดการทำร้ายร่างกายและการคุมคามทางเพศนั่นเอง ดังนั้น การงด ลด การดื่มแอลกอฮอล์ จึงเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดและยุติความเสี่ยงในการเกิดความรุนแรงต่อคนที่คุณรัก ครอบครัว และสังคม

 

________
เอกสารอ้างอิง

[1] อรทัย วลีวงศ์ และคณะ. (2558). รายงานโครงการศึกษาวิจัย การศึกษาผลกระทบของการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อบุคคลรอบข้างผู้ดื่ม ในประเทศไทย (ระยะที่ 1). ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา.

[2] ธวัชชัย อภิเดชกุล และคณะ. (2561). ลักษณะและผลกระทบของภัยเหล้ามือสองต่อสมาชิกครอบครัวในชนเผ่าลาหู่. ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา.

[3] ไมซาเร๊าะ ขุนรักษ์ หมานระเด็น และคณะ. (2564). พื้นที่ชีวิตของผู้หญิง (Living Space of Women) : ประสบการณ์การเผชิญสถานการณ์ (ปัญหา) ของผู้หญิงกับบุคคลในครอบครัวที่ดื่มสุรา. ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา.

[4] พลเทพ วิจิตรคุณากร และคณะ. (2564). การสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อบุคคลรอบข้างผู้ดื่มในประเทศไทย. ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา.

[5] ไพฑูรย์ สอนทน และคณะ. (2566). ความสัมพันธ์ระหว่างการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของสามีกับความรุนแรงจากคู่สมรสในผู้หญิงหลังคลอดในโรงพยาบาลของรัฐ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข. ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา.

ผู้ดื่มสุราควรงดดื่มอย่างน้อย 48-72 ชั่วโมงก่อนและหลังการฉีดวัคซีนโควิด-19
https://cas.or.th/content?id=503

การดื่มสุราอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 และเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ผู้ดื่มสุราควรงดดื่มอย่างน้อย 48-72 ชั่วโมงก่อนและหลังการฉีดวัคซีนโควิด-19

การดื่มสุราอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 และเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง การดื่มสุรา (โดยเฉพาะการดื่มหนัก) สามารถกดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน และยังเพิ่มโอกาสเกิดโรคทางเดินหายใจรุนแรงได้

การดื่มสุราเพิ่มการแพร่เชื้อโควิด-19 โดยลดความยับยั้งชั่งใจทางสังคมแม้ดื่มเพียงเล็กน้อยก็ตาม และเป็นเหตุทำให้ความเจ็บป่วยรุนแรงเมื่อดื่มปริมาณมากขึ้น จากการไม่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันต่าง ๆ เช่น การเว้นระยะห่างทางสังคม และการล้างมือ เป็นต้น

ผู้ที่ดื่มสุราอย่างหนัก และผู้ดื่มประจำควรจะลดหรือหยุดดื่มสุราลงในช่วงนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 อย่างรุนแรงมากในประเทศไทย

ผู้ดื่มสุราที่ยังไม่สามารถเลิกดื่มได้ ก็ควรจะงดดื่มอย่างน้อย 48-72 ชั่วโมงก่อนและหลังการฉีดวัคซีนโควิด-19  เพื่อที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะได้อยู่ในสภาพที่พร้อมเต็มที่ในการตอบสนองต่อวัคซีน และเนื่องจากผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนบางคนอาจจะมีอาการข้างเคียงจากวัคซีน เช่น ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย หรืออาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ หากร่างกายอ่อนแอจากการดื่มสุรา ก็อาจทำให้อาการเหล่านี้รุนแรงมากขึ้น หรือทนต่ออาการเหล่านี้ไม่ค่อยได้ นอกจากนี้ หากดื่มจนเมาหรือดื่มหนักมากในคืนก่อนฉีด ผู้ดื่มก็อาจจะมีอาการถอนสุรา เช่น อาการเหงื่อออก คลื่นไส้ หรือ อาเจียน หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง กระวนกระวายกระสับกระส่าย และปวดศีรษะ ในวันที่ได้รับการฉีดวัคซีน ซึ่งอาจจะแยกได้ยากว่า เป็นอาการข้างเคียงที่เกิดจากการได้รับวัคซีนเข้าไปหรืออาการถอนสุรา และเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงอย่างอื่นตามมาอีกด้วย

แอลกอฮอล์ฆ่าคนได้ ถ้าดื่มไม่ระวัง
https://cas.or.th/content?id=520

โดย นพ.มูฮัมมัดฟาห์มี ตาเละ

หลังจากผลการชันสูตรศพของพริตตี้สาวที่เสียชีวิตหลังจากรับงานเอนเตอร์เทนในปาร์ตี้แห่งหนึ่ง ซึ่งพบว่าพริตตี้รายดังกล่าวเสียชีวิตจากภาวะแอลกอฮอล์เกินขนาด โดยพบว่ามีค่าแอลกอฮอล์ในเลือดสูงถึง 418 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์

เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้ เราเพิ่งได้รับข่าวสลดใจเรื่องวิศวกรหนุ่มรายหนึ่งที่ไปร่วมงานฉลอง และมีการดื่มเบียร์แข่งขันกันบนเวที กติกาคือใครซดเบียร์หมดเหยือกก่อนคนนั้นชนะ น่าเศร้ามากครับที่กิจกรรมที่หวังจะสร้างความสนุกกลับกลายเป็นกิจกรรมที่คร่าชีวิตคน พรากเอาชีวิตหนุ่มอนาคตไกลไปจากคนรัก

หลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ก็มีการเผยแพร่ความรู้ ประชาสัมพันธ์ทั้งจากแพทย์ จากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพหลายท่าน จากภัยอันตรายของการรับแอลกอฮอล์เข้าร่างกายปริมาณมากในครั้งเดียว ว่าสามารถทำให้เสียชีวิตได้ เหตุการณ์เพิ่งผ่านไปข่าวยังไม่ทันซา ก็เกิดการเสียชีวิตจากเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง

            แอลกอฮอล์เป็นสินค้าไม่ปกติ ต้องควบคุม

            ข้อความที่อยากจะเตือนสตินักท่องปาร์ตี้ วัยรุ่นหนุ่มสาว และนักดื่มทั้งหลายอีกครั้งคือ แอลกอฮอล์ไม่เคยเป็นสินค้าปกติ ที่ไม่ต้องการการควบคุมการบริโภค ไม่ว่าจะพิจารณาจากบรรทัดฐานของสังคมใดก็ตาม ในทางวิทยาศาสตร์มีข้อสนับสนุนทางทฤษฎีมากมายว่าแอลกอฮอล์เป็นพิษต่อร่างกายทั้งในระยะสั้น และ ระยะยาว พฤตกิรรมการดื่มหนักในเวลาสั้น ๆ แบบที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตในกรณีพริตตี้หรือหนุ่มวิศวะ มีศัพท์เฉพาะที่เรียกว่า Binge drinking ภาวะดังกล่าวนี้นิยามคือการดื่มที่มากกว่า 5 ดื่มมาตรฐานในเพศชาย และ 4 ดื่มมาตรฐานเพศหญิง ภายในเวลาน้อยกว่า 2 ชั่วโมง (1 หน่วยเท่ากับ เบียร์ 1 กระป๋อง ไวน์ 1 แก้ว เหล้า 1 แก้ว)

การดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากในช่วงเวลาสั้น ๆ จะยิ่งเพิ่มอันตรายมากขึ้น ในกรณีดังต่อไปนี้

  • เมื่อดื่มในขณะท้องว่าง เนื่องจากหากมีอาหารอยู่จะช่วยลดการดูดซึมแอลกอฮอล์เข้าสู่กระแสเลือดได้
  • ผู้ดื่มเป็นเพศหญิง เนื่องจากแอลกอฮอล์เป็นสารที่ละลายได้ดีในน้ำ (ส่วนของร่างกายที่มีน้ำมากเช่น กล้ามเนื้อ) ซึ่งหากแอลกอฮอล์ละลายไปยังเนื้อเยื่อแล้ว มันจะอยู่ในเลือดน้อยลง ซึ่งจะทำให้เมาได้ช้ากว่าหรือเมาน้อยกว่า ถ้าร่างกายมีสัดส่วนของน้ำมาก แต่เพศหญิงมีสรีระที่มีไขมันเป็นสัดส่วนมากกว่าผู้ชาย แอลกอฮอล์จึงละลายได้ช้า ทำให้แอลกอฮอล์อยู่ในเลือดมาก ทำให้เมาง่ายกว่า และเกิดอันตรายได้มากกว่าหากดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณเท่ากับผู้ชาย
  • เป็นคนรูปร่างอ้วน ดังที่กล่าวมาในข้อก่อนหน้า ว่าเมื่อมีสัดส่วนไขมันมากขึ้น แอลกอฮอล์จะอยู่ในเลือดมากขึ้น   
  • การใช้แอลกอฮอล์ร่วมกับยาอื่น ๆ โดยเฉพาะยาที่มีฤทธิ์กดประสาท เช่น ยาจิตเวช เฮโรอีน มอร์ฟีน ยานอนหลับ

เมื่อแอลกอฮอล์เข้าไปในเลือดมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะแสดงอาการเป็นพิษออกมาตามระดับแอลกอฮอล์ที่อยู่ในเลือด โดยเริ่มตั้งแต่ การเมา เรื่อยไปจนถึงอาการคลื่นไส้อาเจียน อารมณ์เปลี่ยนแปลง หายใจลำบาก หัวใจเต้นผิดปกติ ไปจนถึงการเสียชีวิต

แอลกอฮอล์จะมือหนึ่งมือสองก็ล้วนอันตราย และสร้างหายนะต่อสังคม

เนื่องจากผมเคยถูกเชิญเป็นวิทยากรบรรยายเรื่องยาเสพติดหลายเวที ซึ่งผู้ฟังมักเป็นผู้มีประสบการณ์ในการทำงานด้านยาเสพติดมานาน แต่มีคำถามหนึ่งที่ผมถามแล้วไม่ค่อยได้รับคำตอบที่ถูกต้องนักจากผู้ถูกถาม คำถามนั้นคือ ยาเสพติดชนิดใดที่สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินมากที่สุด (วัดจากทั่วโลก) ผมมักได้รับคำตอบว่าเป็นเฮโรอีนบ้าง แอมเฟตามีนบ้าง หรือโคเคน ซึ่งคำตอบดังกล่าวมาจากการรับรู้ว่า ใครก็ตามที่เข้าไปในวังวนของเฮโรอีน ยาบ้า หรือ โคเคนแล้ว ยากมากที่จะเอาชีวิตหลุดจากวงจรนี้ เกือบทั้งหมดต้องใช้ชีวิตในฐานะทาสยาเสพติด และมีหลายครั้งที่กลุ่มคนเหล่านี้จบชีวิตด้วยการใช้ยาเสพติดเกินขนาด แต่ในความเป็นจริง ยาเสพติดที่อันตรายที่สุดกลับเป็นยาเสพติดที่หาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป นั่นคือแอลกอฮอล์ คำตอบที่ได้ในเรื่องนี้ค่อนข้างเป็นเรื่องน่าประหลาดใจ แต่การวิเคราะห์ดังกล่าวเกิดขึ้นจากการรวบรวมข้อมูลขนาดใหญ่ทั่วโลก ถึงผลกระทบของยาเสพติดแต่ละชนิด ต่อตัวผู้ใช้ (ผลกระทบด้านร่างกาย จิตใจ ที่สูญเสียจากการติดยาเสพติดนั้น ๆ อัตราการตายจากยาเสพติดนั้น ๆ และการสูญเสียสัมพันธ์ภาพและทรัพย์สิน) และ ผู้อื่นที่ไม่ได้ใช้ (ผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม อาชญากรรม และ ครอบครัว) แม้ว่าแอลกอฮอล์จะไม่ใช่ยาเสพติดอันดับหนึ่งที่ฆ่าชีวิตผู้ใช้โดยตรงจากการใช้เกิดขนาด แต่เมื่อรวมผลกระทบทั้งหมดที่มันสร้างขึ้น แอลกอฮอล์คือมหันตภัยอันดับหนึ่งจากยาเสพติดทุกชนิดในโลก ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะแอลกอฮอล์เป็นยาเสพติดที่เข้าถึงง่าย มีจำนวนผู้บริโภคมาก จึงสร้างผลกระทบได้มาก แม้จะมีผลกระทบต่อผู้ดื่มในระยะสั้นไม่มากเท่ายาเสพติดชนิดอื่น แต่ผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ดื่มในระยะยาวมากกว่ายาเสพติดชนิดอื่น ๆ

ในประเด็นเรื่องการเสียชีวิตของพริตตี้สาวที่เกิดจากการดื่มหนักดื่มเร็ว จนทำให้แอลกอฮอล์ในเลือดเกินขนาด อันตรายจากแอลกอฮอล์เป็นพิษไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก เนื่องจากในประเทศไทยเรายังไม่มีระบบการเก็บสถิติในเรื่องดังกล่าว จึงเปรียบให้เห็นได้ยากว่าขนาดของปัญหานี้ใหญ่ขนาดไหน แต่จากการเก็บสถิติการเสียชีวิตด้วยภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษในสหรัฐอเมริกา พบว่า โดยเฉลี่ยแล้วทุก ๆ วัน จะมีผู้เสียชีวิตจากการดื่มแอลกอฮอล์เกินขนาดในประเทศสหรัฐอเมริกา 6 คน หรือปีละ 2,400 คน ซึ่งไม่ใช่น้อย ๆ เลยสำหรับประเทศที่พัฒนาแล้ว การแพทย์เป็นอันดับหนึ่งของโลก มีระบบเฝ้าระวังมากมาย ถ้าลองย้อนกลับมาดูประเทศไทย ที่มีพฤติกรรมการดื่มที่อันตรายมากถึง 3.4% ของประชากร ก็ไม่แน่ว่าเราน่าจะมีการเสียชีวิตจากเหตุดังกล่าวทุก ๆ วัน และมีเพียงบางกรณีเท่านั้นที่ปรากฎในข่าวกระแสหลัก

“ดื่มหนัก-เร็ว แข่งดื่ม บังคับดื่ม อันตรายถึงชีวิต”
https://cas.or.th/content?id=557

โดยทั่วไป นักดื่มมักจะค่อยๆดื่ม ดื่มไปคุยกับเพื่อนไปกินกับแกล้มและเติมเบียร์ไป ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ร่างกายได้ค่อยๆทำลายและขับแอลกอฮอล์ออกจากกระแสเลือดซึ่งนั่นจะทำให้แอลกอฮอล์ไม่คั่งอยู่ในร่างกายของผู้ที่ดื่มมากนัก แต่ในกรณีแข่งดื่มเบียร์เป็นเหยือกๆในเวลาจำกัดนี้ จะมีลักษณะเหมือนเทแอลกอฮอล์พรวดเข้าไปในกระแสเลือดโดยไม่เว้นช่วงเวลาให้ร่างกายขับแอลกอฮอล์ออก จึงเกิดภาวะที่เรียกว่าแอลกอฮอล์เป็นพิษ (alcohol intoxication) ต่อร่างกาย และปริมาณน้ำในร่างกายที่เพิ่มขึ้นขึ้นมามากก็อาจส่งผลให้เกิดภาวะ water intoxication ซึ่งส่งผลให้เกิดสมองบวมและระดับเกลือแร่ในเลือดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วซึ่งเป็นอันตรายได้เช่นกัน

ในส่วนของพิษจากแอลกอฮอล์ หากดูตารางระดับของแอลกอฮอล์ในเลือดที่ส่งผลต่ออาการหรือความผิดปกติต่างๆจะพบว่า ที่ระดับแอลกอฮอล์ขนาดสูงอาจทำให้ผู้ดื่มหมดสติ ชีพจรช้าลง การหายใจแย่ลง จนถึงหยุดหายใจได้ ทั้งนี้เนื่องจากแอลกอฮอล์ออกฤทธิ์เป็นสารกดประสาท และในขนาดที่สูงระดับนี้ มันสามารถกดสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการหายใจและการรู้สึกตัวของผู้ที่ดื่มได้ ดังนั้น การดื่มเบียร์ เหล้า หรือไวน์ปริมาณมากในระยะเวลาอันสั้นจึงอาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้

ภาระโรคที่เกิดจากมะเร็งที่สัมพันธ์กับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั่วโลกในปี 2563
https://cas.or.th/content?id=86

ภาระโรคที่เกิดจากมะเร็งที่สัมพันธ์กับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั่วโลกในปี 2563

“ดื่มน้อย ดื่มปานกลาง ก็ยังทำให้เกิดมะเร็งได้”

องค์กรนานาชาติเพื่อการวิจัยด้านมะเร็ง (International Agency for Research on Cancer (IARC)) เปิดเผยผลการศึกษาล่าสุด ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติ The Lancet Oncology ซึ่งพบว่า ผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ประมาณ 741,000 คนทั่วโลก ในปี 2563 มีสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับการดื่มสุรา สามในสี่รายเป็นผู้ชาย ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่า ถึงแม้ว่าการดื่มแบบเสี่ยง และการดื่มหนัก (มากกว่าสองหน่วยดื่มมาตรฐานต่อวัน) จะเป็นสัดส่วนหลักที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็ง (ร้อยละ 86 ของจำนวนผู้ป่วยมะเร็งที่มีสาเหตุเกี่ยวข้องกับการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์) การดื่มปริมาณน้อยถึงปานกลาง (ไม่เกินสองหน่วยดื่มมาตรฐานต่อวัน) ก็เป็นสาเหตุสำคัญของโรคมะเร็งที่มีสาเหตุเกี่ยวข้องกับการดื่มสุราเช่นกัน นั่นคือ ประมาณหนึ่งในเจ็ดของผู้ป่วยมะเร็งที่มีสาเหตุเกี่ยวข้องกับการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นผู้ดื่มปริมาณน้อยหรือปานกลาง ซึ่งคิดเป็นจำนวนผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ประมาณมากกว่า 100,000 รายต่อปี

ในจำนวนผู้ป่วยมะเร็ง 741,000 คนทั่วโลก ในปี 2563 นี้ ร้อยละ 26 เป็นมะเร็งหลอดอาหาร ร้อยละ 21 เป็นมะเร็งตับ และร้อยละ 13 เป็นมะเร็งเต้านม ส่วนที่เหลือเป็นมะเร็งลำไส้ ช่องปาก ทวารหนัก คอหอย และกล่องเสียง ร้อยละ 12, ร้อยละ 10, ร้อยละ 9, ร้อยละ 5 และร้อยละ 4 ตามลำดับ

(ปริมาณการดื่ม 2 หน่วยดื่มมาตรฐาน เทียบได้เท่ากับ ไวน์ที่มีดีกรีแอลกอฮอล์ 12-13% ประมาณ 2 แก้ว ๆ ละ 100 มล. เบียร์ที่มีดีกรีแอลกอฮอล์ 4.5-5% ประมาณ 2 กระป๋องหรือหนึ่งขวดใหญ่ เหล้าสี/เหล้าขาวที่มีดีกรีแอลกอฮอล์ 35-40 % ประมาณ 2 เป็ก ๆ ละ 30 มล.)

______

ที่มา: องค์กรนานาชาติเพื่อการวิจัยด้านมะเร็ง (International Agency for Research on Cancer (IARC) https://www.iarc.who.int/infographics/latest-global-data-on-cancer-burden-and-alcohol-consumption/?fbclid=IwAR0L49zmNpW5awIF60S9mC4-1oVd2jWCGNNqcADYtG1K8nwzo916x5c3D_g

- Download -

ปรึกษาหมอสักนิด ก่อนคิดงดเหล้า (เข้าพรรษา)
https://cas.or.th/content?id=607

ถึงแม้ช่วงงดเหล้าเข้าพรรษาจะเป็นโอกาสที่ดีในการลดละเลิกการดื่มให้ร่างกายได้พัก แต่รู้หรือไม่ว่าไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเลิกดื่มแอลกอฮอล์ได้อย่างปลอดภัยด้วยตนเอง

การดื่มแอลกอฮอล์ทางการแพทย์แบ่งไว้เป็นหลายระดับ มีตั้งแต่ดื่มแบบเสี่ยงต่ำ (low-risk use) คือ ดื่มในระดับภายใต้ขนาดดื่มมาตรฐาน และยังไม่เกิดปัญหาจากการดื่ม จนไปถึงดื่มแบบเสี่ยงสูงและดื่มแบบอันตราย (hazardous use/harmful use) นั่นคือ ดื่มเกินกว่าขนาดมาตรฐานหรือดื่มจนเกิดปัญหาในด้านต่างๆ ซึ่งอาจสามารถหยุดดื่มได้ด้วยตนเอง และกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มที่มีภาวะติดแอลกอฮอล์ (alcohol dependence) ซึ่งควบคุมการดื่มของตนเองไม่ได้แม้จะเกิดผลเสียจากการดื่มตามมามากมายแล้วก็ตาม ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่หากทำการงดเหล้าเข้าพรรษาด้วยตนเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์แล้วอาจเกิดอันตรายได้

ผู้ที่มีภาวะติดแอลกอฮอล์นั้น มักจะเป็นผู้ที่ดื่มเป็นประจำทุกวัน ดื่มหนัก และดื่มนานเป็นปีๆ ซึ่งอาการอย่างหนึ่งที่มักเกิดขึ้นก็คือ การติดสารทางกาย ได้แก่ การที่ต้องเพิ่มปริมาณการดื่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ได้ฤทธิ์เมาเท่าเดิม (tolerance) และเมื่อหยุดดื่มกระทันหันก็จะเกิดอาการถอนแอลกอฮอล์ (withdrawal) ขึ้น ซึ่งอาการถอนแอลกอฮอล์นี้มักจะเริ่มมีอาการตั้งแต่วันแรกของการหยุดดื่ม ได้แก่ มือสั่น ใจสั่น เหงื่อออก รู้สึกร้อนวูบวาบ ปวดศีรษะ และคลื่นไส้อาเจียน โดยในวันที่สอง บางรายอาจมีอาการชักเกร็งกระตุกและหมดสติได้ ซึ่งหากอาการเป็นมากโดยไม่ได้รับการรักษาอาจมีภาวะสับสนร่วมกับอาการถอนแอลกอฮอล์ (delirium tremens, alcohol withdrawal delirium) ซึ่งสัมพันธ์กับการเกิดภาวะแทรกซ้อนทางร่างกายที่อันตรายมากมาย

โดยทั่วไป ผู้ที่มีภาวะติดแอลกอฮอล์แล้วต้องการหยุดดื่ม แพทย์มักจะให้ยาช่วยลดอาการถอน เช่น ยากลุ่ม benzodiazepines เพื่อลดอาการ withdrawal ให้น้อยที่สุดและเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการหยุดแอลกอฮอล์กระทันหัน ดังนั้น หากท่านมีภาวะติดแอลกอฮอล์และตั้งใจหยุดดื่มในช่วงเทศกาลนี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการหยุดดื่มกระทันหัน และสามารถหยุดดื่มได้อย่างปลอดภัยตลอดช่วงเทศกาลและตลอดไป

นักวิชาการชี้ โฆษณาเหล้าเบียร์มีผลให้คนเริ่มดื่มหรือดื่มมากขึ้น
https://cas.or.th/content?id=628


นักวิชาการชี้ โฆษณาเหล้าเบียร์มีผลให้คนเริ่มดื่มหรือดื่มมากขึ้น แนะการควบคุมโฆษณาแบบเบ็ดเสร็จมีประสิทธิภาพมากที่สุด การห้ามโฆษณาเพียงบางส่วนหรือการควคุมตนเองภาคสมัครใจของธุรกิจสุราไม่สามารถป้องกันการสัมผัสโฆษณาในเยาวชนได้

รศ.ดร.วิทย์ วิชัยดิษฐ นักวิชาการ ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) และอาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า ปัจจุบัน เด็กและเยาวชนทั่วโลกได้รับสื่อโฆษณาและกิจกรรมการตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่องในระดับสูงและเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ อุตสาหกรรมแอลกอฮอล์มีการขยายฐานลูกค้ามุ่งเป้าไปกลุ่มเยาวชน และกลุ่มผู้หญิง โดยพยายามจะเน้นไปที่ความสำคัญของการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในการสร้างบุคลิกลักษณะความเป็นตัวตนหรืออัตลักษณ์ของเยาวชน เนื้อหาการโฆษณาจึงได้รับการออกแบบเพื่อนำเสนอความตลกขบขัน ความคิดที่น่าสนใจ ภาพลักษณ์ สำนวน ถ้อยคำและสิ่งอื่นๆ ที่ใช้ได้ในการพูดคุยสื่อสารระหว่างเพื่อน เพื่อให้เยาวชนใช้สร้างอัตลักษณ์ที่สอดคล้องกัน หลักฐานทางวิชาการในปัจจุบันบ่งชี้อย่างชัดเจนว่า โฆษณาหรือกิจกรรมการตลาดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลต่อการดื่ม มีการสรุปข้อมูลจากการทดลองในนักศึกษา ที่ให้ดูโฆษณาแอลกอฮอล์เทียบกับโฆษณาอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งพบว่า การดูโฆษณาแอลกอฮอล์มีผลเพิ่มเจตนาและพฤติกรรมการดื่มชัดเจน การเก็บข้อมูลระยะยาวในประชาชนทั่วไปก็ชี้ว่า การโฆษณามีผลทบต้น ยิ่งได้รับโฆษณาซ้ำๆ กันมากเท่าไหร่ ยิ่งมีพฤติกรรมการดื่มมากขึ้นเท่านั้น ในเยาวชนและคนหนุ่มสาว การได้รับโฆษณามีผลต่อการเริ่มดื่มในผู้ที่ไม่เคยดื่ม และการดื่มหนักในผู้ที่ดื่มอยู่แล้ว

ดร.วิทย์ กล่าวเสริมอีกว่า ในตลาดที่กำลังเติบโต การพยายามเปลี่ยนให้ผู้ที่ไม่ดื่มกลายเป็นนักดื่ม ถือเป็นหน้าที่สำคัญของการตลาดของธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เลยทีเดียว และการตลาดแนวนี้จะพยายามสร้างการยอมรับการดื่มให้กลายเป็นบรรทัดฐานสังคมในหลายวาระโอกาส ถ้าอิงตามทฤษฎีกระบวนการตีความสาร จะเห็นว่า การได้รับสารจากการตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซ้ำๆ สารที่ผู้นั้นรับรู้ว่าเชื่อมโยงกับตนเอง จะค่อย ๆ ซึมลึกลงไปสู่ความรู้สึกนึกคิดของผู้รับสาร ทำให้มันพร้อมที่จะโผล่ออกมาในความนึกคิดได้ง่ายขึ้น หากอยู่ในภาวะที่ต้องตัดสินใจ กระบวนการนี้ คือกระบวนการสร้างบรรทัดฐาน หรือทำให้คนมองว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีอยู่อย่างแพร่หลายเป็นเรื่องธรรมดา (normalization) และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตปกติ ซึ่งเป็นการรับรู้ที่น่ากลัว และมีผลต่อพฤติกรรมของประชาชนในอนาคต ซึ่งกระบวนการเหล่านี้เกิดขึ้นช้า ๆ และค่อยๆ สะสมมาเรื่อย ๆ จนผู้ที่ได้รับสื่อโฆษณาแทบจะไม่รู้ตัวว่า โฆษณามีผลต่อความรู้สึกนึกคิดของตนเพียงไร

ในด้านการควบคุมโฆษณาการตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ร.ศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ แซ่โง้ว นักวิชาการ ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) และอาจารย์ประจำสำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กล่าวว่า ในยุคปัจจุบันที่มีการใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียอย่างแพร่หลาย ทำให้เป็นการยากที่จะควบคุมการเข้าถึงโฆษณาของกลุ่มเยาวชนได้หากไม่ได้รับความร่วมมือจากแพล็ตฟอร์มผู้ให้บริการโซเชียลมีเดียเอง การทบทวนงานวิจัยเกี่ยวกับการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทางโซเชียลมีเดีย พบว่า การกดไลค์ กดแชร์ การคลิกดูโฆษณา หรือการเข้าชมเว็บไซต์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น มีความสัมพันธ์ชัดเจนกับการเพิ่มการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่น่าเป็นห่วง คือ การครอบครองสินค้า ของใช้ ของที่ระลึกที่มีตราสัญลักษณ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นที่นิยมในประเทศไทยในช่วงหลายปีมานี้จากการเข้าเป็นผู้สนับสนุนของทีมกีฬาโดยเฉพาะกีฬาฟุตบอลของธุรกิจแอลกอฮอล์ การศึกษาในประชาชนในประเทศไทยเองก็พบว่า ประชาชนที่ใช้สินค้าที่มีตราผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์มีโอกาสดื่มหนักมากกว่าประชาชนที่ไม่ใช้สินค้ามีตราดังกล่าว นอกจากนี้ การศึกษาวิจัยของทีมวิจัยเราเองซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลกลุ่มตัวอย่าง 89,154 คน จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติก็พบความสัมพันธ์เช่นเดียวกันกับการศึกษาในต่างประเทศ คือ ผู้ที่พบเห็นการโฆษณาแอลกอฮอล์มีโอกาสเป็นผู้ดื่มเพิ่มขึ้น 16% และมีโอกาสเป็นผู้ดื่มหนักเพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้พบเห็นการโฆษณา และในกลุ่มคนที่เป็นนักดื่มอยู่แล้วการพบเห็นโฆษณาจะเพิ่มโอกาสในการดื่มหนักขึ้นถึง 51%

นพ.อุดมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ข้อมูลจากการศึกษาวิจัยที่ยกมาเป็นตัวอย่างนี้มีข้อมูลทั้งจากของต่างประเทศและประเทศไทยเอง จึงย้ำให้เห็นได้ชัดว่า การทำการโฆษณาการตลาดซึ่งมีเทคนิคหลากหลายส่งผลต่อการกระตุ้นการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งสิ้น ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารแพร่ผ่านกันได้ทางออนไลน์ การควบคุมการเข้าถึงโฆษณาหรือกิจกรรมการตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เฉพาะกลุ่มประชากร รวมทั้งการควบคุมเฉพาะเนื้อหานั้นทำได้ยาก หรือในทางปฏิบัติอาจจะทำไม่ได้เลย การศึกษาในต่างประเทศในเรื่องด่านตรวจอายุในแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างเช่น ยูทูป ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม ก็ยังพบว่า เทคโนโลยีในการระบุอายุของผู้เข้าชมไร้ประสิทธิภาพ หากต้องการปกป้องเยาวชนจากการถูกจูงใจให้บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การยังคงการควบคุมโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบครบวงจรหรือการควบคุมแบบเบ็ดเสร็จจะส่งผลต่อการปกป้องเยาวชนได้ดีกว่าการควบคุมบางส่วน หรือการควบคุมภาคสมัครใจโดยภาคธุรกิจควบคุมกันเอง

ถาม-ตอบ ประเด็นร้อน จะเกิดอะไรขึ้น? หากมีการลดภาษีไวน์และสุราชุมชน กับ รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร
https://cas.or.th/content?id=118

ถาม-ตอบ ประเด็นร้อน จะเกิดอะไรขึ้น? หากมีการลดภาษีไวน์และสุราชุมชน

โดย รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร
รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา
อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
______


Q1: การลดราคาหรือภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีผลต่อการดื่มของเยาวชนหรือผู้ใหญ่มากกว่ากัน?
A1: การลดราคาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีผลกระทบที่แตกต่างกันระหว่างเยาวชนและผู้ใหญ่ ตามการวิจัยของต่างประเทศในปี 2007 พบว่า การลดราคามีผลต่อเยาวชนมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากความยืดหยุ่นในการบริโภคของเยาวชน (-0.39) ต่ำกว่าในกลุ่มผู้ใหญ่ (-0.56) นั่นหมายความว่า เยาวชนมีแนวโน้มที่จะเพิ่มการบริโภคแอลกอฮอล์มากกว่าเมื่อราคาลดลง ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาด้านสุขภาพและสังคม ดังนั้น หากรัฐบาลจะพิจารณาลดราคา ก็ควรคำนึงถึงผลกระทบเหล่านี้ต่อเยาวชนในสังคมไทยด้วยเช่นกัน

Q2: ราคาแอลกอฮอล์ลดลง ทำให้ชีวิตเยาวชนไทยเสี่ยงตายเพิ่ม?
A2: การศึกษาในสหรัฐอเมริกา พบว่าราคาไม่ใช่แค่ตัวเลข เนื่องจากราคาแอลกอฮอล์ที่สูงขึ้นช่วยลดอัตราการฆ่าตัวตายในเยาวชน ดังนั้นในทางกลับกัน การลดราคาอาจทำให้วัยรุ่นไทยเผชิญกับความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายที่เพิ่มขึ้นได้

Q3: แอลกอฮอล์ถูกลง ทำให้ความเสี่ยงบนท้องถนนสูงขึ้น?
A3: แอลกอฮอล์ถูกลง ทำให้ความเสี่ยงต่อความปลอดภัยบนท้องถนนสูงขึ้นจริง เนื่องจากงานวิจัยในอเมริกาและแคนนาดา ชี้ให้เห็นว่า “การเพิ่มราคาแอลกอฮอล์ช่วยลดอุบัติเหตุทางถนน” ดังนั้น “การลดราคาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาจทำให้เยาวชนไทยเสี่ยงต่ออุบัติเหตุทางถนนมากขึ้น!”

Q4: แอลกอฮอล์ราคาถูกลง จะทำให้ปัญหาสุขภาพทางเพศเพิ่มขึ้น?
A4: แอลกอฮอล์ถูกลง จะทำให้ปัญหาสุขภาพทางเพศเพิ่มขึ้นจริง เนื่องจากงานวิจัยในสหรัฐอเมริกาเผยว่า “การเพิ่มราคาแอลกอฮอล์ลดความเสี่ยงด้านสุขภาพเหล่านี้”ดังนั้น “การลดราคาอาจนำไปสู่พฤติกรรมเสี่ยงและปัญหาสุขภาพเพิ่มเติมในหมู่เยาวชนไทย!”

Q5: ราคาแอลกอฮอล์ลดลง ทำให้ความปลอดภัยบนท้องถนนลดลง?
A5: การลดราคาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาจทำให้การดื่มหนัก (heavy episodic drinking) เกิดง่ายขึ้น ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการขับรถในสภาพเมา ทำให้อุบัติเหตุทางถนนเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าหากราคาแอลกอฮอล์ถูกลงอาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่สูงขึ้นบนท้องถนน!

Q6: การลดราคาแอลกอฮอล์จะมีผลอย่างไรต่อพฤติกรรมการดื่มและความปลอดภัยสุขภาพของเรา?
A6: ราคาที่ถูกลงอาจส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรมการดื่มหนักมากขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่เพิ่มความเสี่ยงทางถนนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่น โรคตับ และปัญหาสังคม เช่น ความรุนแรงในครอบครัวและการทะเลาะวิวาท

Q7: ลดราคาแอลกอฮอล์ ส่งผลต่อเยาวชนไทยอย่างไร?
A7: การลดราคาแอลกอฮอล์อาจทำให้เยาวชนเข้าถึงแอลกอฮอล์ได้ง่ายขึ้น นำไปสู่การเริ่มต้นในการดื่มในวัยที่น้อยลง และอาจส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองและการเรียนรู้ ซึ่งเป็นปัญหาที่สังคมต้องให้ความสำคัญ

ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.)

Centre for Alcohol Studies (CAS)

สาขาวิชาระบาดวิทยา ชั้น 6 อาคารบริหารคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เลขที่ 15 ถนนกาญจนวนิช ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 90110

083-5775533

https://www.facebook.com/cas.org.th

เข้าชมแล้ว 0 ครั้ง
Copyright © 2025 CAS All rights reserved.