คำค้นหา : ด้านสุขภาพ

คำนี้ค้นหามาแล้ว : 161 ครั้ง
“การใช้แอลกอฮอล์เป็นทางออกของความเครียด อาจดูเหมือนช่วยได้ชั่วคราว แต่ระยะยาวกลับทำให้ทั้งการนอน อารมณ์ และสุขภาพจิตแย่ลง”
https://cas.or.th/content?id=1037
Tags : -

“การใช้แอลกอฮอล์เป็นทางออกของความเครียด อาจดูเหมือนช่วยได้ชั่วคราว แต่ระยะยาวกลับทำให้ทั้งการนอน อารมณ์ และสุขภาพจิตแย่ลง”
------------

อ.พญ.ปองขวัญ ยิ้มสอาด
อาจารย์ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ร่วมให้ข้อมูลในเวทีเสวนา “แอลกอฮอล์: ตัวเร่งโรค NCDs และทางออกเพื่อปกป้องสุขภาพคนไทย” เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 ณ โรงแรมเบสเวสเทิร์น จตุจักร กรุงเทพฯ

อ.พญ.ปองขวัญ กล่าวว่า ถ้าพูดถึงเรื่องสุขภาพจิต หลายคนอาจเคยได้ยิน หรืออาจเคยรู้สึกด้วยตัวเองว่า เวลาเครียด เหนื่อย หรือมีปัญหาเรื่องการนอน แอลกอฮอล์ดูเหมือนจะเป็นตัวช่วยที่เข้าถึงง่าย ดื่มแล้วรู้สึกผ่อนคลาย หลับง่ายขึ้น แต่ในมุมมองทางการแพทย์ เราพบว่า แอลกอฮอล์ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาสุขภาพจิตอย่างที่หลายคนเข้าใจ ตรงกันข้าม มันกลับเป็นตัวที่รบกวนระบบการทำงานของสมอง โดยเฉพาะวงจรการนอนและการควบคุมอารมณ์

ในระยะสั้น อาจรู้สึกง่วง หลับเร็วขึ้น แต่การนอนที่เกิดจากแอลกอฮอล์ไม่ใช่การนอนที่มีคุณภาพ สมองไม่ได้พักจริง วงจรการนอนถูกรบกวน ทำให้ตื่นมาไม่สดชื่น และเมื่อสะสมไปเรื่อย ๆ จะส่งผลต่ออารมณ์ ความเครียด ความหงุดหงิด และภาวะซึมเศร้าในระยะยาว

สิ่งที่น่ากังวล คือ คนจำนวนไม่น้อยเริ่มใช้แอลกอฮอล์เป็นเครื่องมือจัดการอารมณ์ โดยไม่รู้ตัว จากดื่มเพื่อผ่อนคลาย กลายเป็นดื่มเพื่อรับมือกับความเครียด ความเศร้า หรือความกดดันในชีวิตประจำวัน และเมื่อดื่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็อาจพัฒนาไปสู่ภาวะติดแอลกอฮอล์ โดยข้อมูลทางการแพทย์และงานวิจัย เราพบความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนระหว่างปัญหาการดื่มแอลกอฮอล์ กับความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะความเสี่ยงในการทำร้ายตนเอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องไกลตัว และไม่ใช่เรื่องของคนกลุ่มเล็ก ๆ ดังนั้น สิ่งสำคัญ คือ เราต้องเปลี่ยนมุมมองต่อแอลกอฮอล์ ไม่มองว่าเป็นทางออกของความเครียดหรือการนอนหลับ แต่ต้องมองว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้ปัญหาสุขภาพจิตรุนแรงขึ้น หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม

สุดท้ายนี้ อยากย้ำว่า หากใครเริ่มรู้สึกว่าการดื่มเริ่มควบคุมยาก หรือส่งผลต่ออารมณ์ การนอน หรือการใช้ชีวิตประจำวัน การขอความช่วยเหลือไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็นก้าวสำคัญของการดูแลสุขภาพ สามารถขอคำปรึกษาได้ที่สายด่วน 1413 หรือที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน

นักวิชาการ เตือนทุก 10 วินาที มีคนตายจากน้ำเมา 1 คน ชี้ “แอลกอฮอล์” ปัจจัยเร่งป่วยโรค NCDs เกินครึ่งป่วยไม่รู้ตัว
https://cas.or.th/content?id=1035

นักวิชาการ เตือนทุก 10 วินาที มีคนตายจากน้ำเมา 1 คน ชี้ “แอลกอฮอล์” ปัจจัยเร่งป่วยโรค NCDs เกินครึ่งป่วยไม่รู้ตัว สร้างความเสี่ยหายทางเศรษฐกิจ 1.65 แสนล้านบาท สสส.-ศวส. หนุนมาตรการป้องกันที่เหมาะสมกับบริบทพื้นที่-บูรณาการทุกภาคส่วน หวังลดผลกระทบจากน้ำเมา

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 11 ธ.ค. 2568 ที่โรงแรมเบสเวสเทิร์น กรุงเทพฯ ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) ร่วมกับ สมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อแห่งประเทศไทย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเวทีสาธารณะ “แอลกอฮอล์ : ตัวเร่งโรค NCDs และทางออกเพื่อปกป้องสุขภาพคนไทย”

โดย ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุน สสส. เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังก้าวสู่ “ภาวะวิกฤต NCDs” จากโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และพฤติกรรมเสี่ยง โดยเฉพาะการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งสร้างภาระทั้งด้านสุขภาพและเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง เฉพาะปี 2564 ไทยสูญเสียทางเศรษฐกิจกว่า 165,450 ล้านบาท และเกือบ 80% ของคนไทย เคยได้รับผลกระทบจากการดื่มของผู้อื่น ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และครอบครัว แอลกอฮอล์ได้ถูกจัดให้เป็นสารก่อมะเร็งกลุ่มที่ 1 เชื่อมโยงกับมะเร็งอย่างน้อย 8 ชนิด ได้แก่ มะเร็งช่องปาก กล่องเสียง คอหอย เต้านม (ในผู้หญิง) หลอดอาหาร ลำไส้ใหญ่/ทวารหนัก ตับ และตับอ่อน

“แต่ที่น่ากังวลจากงานวิจัยของศวส. สำรวจประชาชนไทย 3,924 คน จาก 12 จังหวัดทั่วประเทศ ในปี 2568 พบคนไทยกว่า 90% ไม่รู้ว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อมะเร็งได้ สะท้อนความจำเป็นของการสื่อสารความเสี่ยงที่ถูกต้องและทันต่อสถานการณ์ เพราะปัญหานี้ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นภารกิจร่วมของทั้งสังคม ทุกคนจึงควรช่วยกันสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ภาระโรคจะลดลง และคุณภาพชีวิตของคนไทยจะดีขึ้นอย่างยั่งยืน” ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าว

รศ.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช อาจารย์ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า จากการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย โดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 7 ปี2567-2568 พบว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา จำนวน 17.1 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ ดื่มอย่างหนัก 7.7 ล้านคน หรือ 45% ส่วนอัตราการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยในทุกกลุ่มอายุ แต่เป็นที่น่าสังเกตคือ แนวโน้มการดื่มในกลุ่มวัยรุ่นมีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันระหว่างวัยรุ่นชายและหญิง ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มวัยผู้ใหญ่หรือสูงอายุที่พบว่า เพศชายมักจะมีอัตราการดื่มสูงกว่าเพศหญิง ความแตกต่างของความชุกของการดื่มระหว่างชายและหญิงมีแนวโน้มแคบลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งใกล้เคียงกับสถานการณ์ในประเทศแถบยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งความเชื่อ หรือการมองว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสิ่งช่วยในการเข้าสังคม หรือความเท่าเทียม

“ในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ยังมีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสัดส่วนที่สูง และคนที่ยังดื่มส่วนมากไม่รู้ตัวว่าป่วยเป็นโรคเรื้อรังแล้ว เช่น ผู้ป่วยเบาหวานที่ยังดื่มแอลกอฮอล์1.4 ล้านคน ในจำนวนนี้ ยังไม่รู้ตัวเองว่าป่วยเป็นเบาหวาน 5.9 แสนคน และผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ยังดื่มแอลกอฮอล์ 4.8 ล้านคน ในจำนวนนี้ ยังไม่รู้ตัวเองว่าป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง 3.1 ล้านคน ซึ่งการดื่มแอลกอฮอล์จะส่งผลเสียต่อการควบคุมโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ยังพบว่าคนที่ดื่มแอลกอฮอล์มีระดับค่าเอนไซม์ตับที่ผิดปกติสูงกว่าคนที่ไม่ดื่มโดยเฉลี่ย 3-5 เท่า และมีระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ที่สูงขึ้นโดยเฉลี่ย 1-2 เท่า ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด” รศ.พญ.เริงฤดี กล่าว

ด้าน รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร ผู้อำนวยการ ศวส. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า คนไทยดื่มแอลกอฮอล์สูงเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน และเป็นอันดับ 1 ของประเทศรายได้ปานกลางระดับบน ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 ร่วมกับการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย โดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 7 ชี้ตรงกันว่า ปัญหาการดื่มแอลกอฮอล์ของคนไทยยังคงสูงมาก ปัจจุบันคนไทยเริ่มดื่มเร็วขึ้น มีอายุเฉลี่ยที่ดื่มครั้งแรกอยู่ที่ 19.9 ปี สะท้อนว่า “ผู้หญิงและเยาวชน” กลายเป็นกลุ่มเปราะบาง และเป้าหมายทางการตลาดของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นพื้นที่ที่มีอัตราการดื่มสูงที่สุดเมื่อเทียบกับภาคอื่น ความแตกต่างนี้ชี้ให้เห็นว่ามาตรการควบคุมต้องตอบโจทย์บริบทแต่ละพื้นที่ควบคู่ไปกับนโยบายระดับชาติ

“ทุก 10 วินาที มีคนตายจากแอลกอฮอล์ 1 คน หากยังปล่อยให้การดื่มเป็นเรื่องปกติ ความสูญเสียจะทวีขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ภาระโรคที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ในไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มากกว่า 1 ใน 10 ของการตาย หรือปีสุขภาวะที่สูญเสีย (DALYs) เกิดจากแอลกอฮอล์ ทั้งก่อให้เกิดการบาดเจ็บ และป่วยจากโรค NCDs เช่น โรคหัวใจ-หลอดเลือด โรคตับ และมะเร็งหลายชนิด โดยเฉพาะผู้ชายที่มีอัตราเสียชีวิตสูงกว่าผู้หญิงอย่างชัดเจน ดังนั้น ไทยจำเป็นต้องมีมาตรการควบคุมแอลกอฮอล์ที่เข้มแข็งขึ้น พร้อมบูรณาการการทำงานทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ นักวิชาการ แพทย์ ภาคประชาชน และชุมชน เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนในระยะยาว และลดภาระ NCDs ที่กำลังทวีความรุนแรง” ผู้อำนวยการ ศวส. กล่าว

------------------------------
เวทีสาธารณะ “แอลกอฮอล์: ตัวเร่งโรค NCDs และทางออกเพื่อปกป้องสุขภาพคนไทย”
เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 ณ โรงแรมเบสเวสเทิร์น จตุจักร กรุงเทพฯ

 

การขยายเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น และขัดกับความเห็นประชาชนส่วนใหญ่
https://cas.or.th/content?id=1030

การขยายเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น และขัดกับความเห็นประชาชนส่วนใหญ่

ในช่วงที่มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการปรับเวลาในการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ข้อมูลจากหลายแหล่งชี้ให้เห็นภาพที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณานโยบายอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะข้อมูลที่สะท้อน “ความเห็นของประชาชน” และ “ผลกระทบด้านสุขภาพ–ความปลอดภัย” ซึ่งเป็นฐานสำคัญของการกำหนดมาตรการสาธารณสุข

ผลสำรวจประชาชนจาก 12 จังหวัดทั่วประเทศ พบว่า 82.8% ไม่เห็นด้วยกับการขยายเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เหตุผลหลักเกี่ยวข้องกับความกังวลด้านความปลอดภัยบนท้องถนน การเข้าถึงของเยาวชน และผลกระทบทางสังคมที่อาจเพิ่มขึ้น หากมีการขยายชั่วโมงการจำหน่าย

ข้อมูลด้านการท่องเที่ยวก็มีประเด็นที่น่าสนใจเช่นกัน งานศึกษาหลายฉบับระบุว่า นักท่องเที่ยวไม่ได้เลือกประเทศไทยจากเวลาเปิด–ปิดของการจำหน่ายแอลกอฮอล์ แต่ให้ความสำคัญกับอาหาร วัฒนธรรม วิถีชีวิต และประสบการณ์ในท้องถิ่นเป็นหลัก ข้อมูลนี้ช่วยยืนยันว่า “เวลาเปิดขาย” อาจไม่ได้เป็นปัจจัยชี้ขาดด้านเศรษฐกิจการท่องเที่ยวตามที่เข้าใจกัน

ด้านความปลอดภัย ข้อมูลจากพื้นที่ที่เคยมีการผ่อนปรนเวลาอย่างน้อยช่วงหนึ่ง พบว่า การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุช่วงกลางคืนเพิ่มขึ้น 13.4% คดีเมาแล้วขับเพิ่มขึ้นกว่า 117% ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงความจำเป็นของมาตรการกำกับดูแล

ในขณะเดียวกัน กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศว่าจะมี การติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่องในช่วง 6 เดือนข้างหน้า เพื่อประเมินผลกระทบจากการปรับนโยบาย และนำไปใช้ประกอบการพิจารณาเชิงนโยบายอย่างรอบด้าน

แนวทางนี้ถือเป็นกลไกสำคัญของ “การกำกับนโยบายแบบอิงหลักฐาน (evidence-informed policy)” ที่ช่วยให้ประเทศสามารถประเมินผลกระทบจริงได้อย่างเป็นระบบ

แม้ในสังคมจะมีมุมมองที่แตกต่างกัน แต่ข้อมูลเชิงประจักษ์เหล่านี้ช่วยให้เรามองภาพรวมของผลกระทบได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และช่วยย้ำว่า "การตัดสินใจเชิงนโยบายควรตั้งอยู่บนฐานข้อมูลและความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ"

ด้วยข้อมูลที่กำลังถูกรวบรวมอย่างต่อเนื่องในช่วง 6 เดือนข้างหน้า เราทุกฝ่ายจะมีโอกาสประเมินร่วมกันว่า แนวทางใดสามารถรักษาสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพของประชาชนได้ดีที่สุด

ประชุมเชิงปฏิบัติการ การจัดกระบวนการสื่อสารนโยบายและเวทีสนทนาสาธารณะ (Policy Dialogue) เพื่อขับเคลื่อนนโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สู่การปฏิบัติจริง
https://cas.or.th/content?id=1039
Tags : -

ประชุมเชิงปฏิบัติการ การจัดกระบวนการสื่อสารนโยบายและเวทีสนทนาสาธารณะ (Policy Dialogue) เพื่อขับเคลื่อนนโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สู่การปฏิบัติจริง 

 

 

วันที่ 31 กรกฎาคม – 1 สิงหาคม พ.ศ. 2568
ณ ห้องประชุมฮิลล์เครส ชั้น 5 โรงแรมเดอะควอเตอร์ ลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร

การประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมจากหลากหลายภาคส่วน อาทิ หน่วยงานรัฐด้านสุขภาพและนโยบาย นักวิชาการ ภาคประชาสังคม และเครือข่ายที่ทำงานด้านการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และฝึกปฏิบัติอย่างเข้มข้น

การประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจของผู้เข้าร่วมเกี่ยวกับกระบวนการนโยบาย การสื่อสารเชิงนโยบาย และบทบาทของเวทีสนทนาสาธารณะ (Policy Dialogue) ในการผลักดันนโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากระดับแนวคิดไปสู่การปฏิบัติจริง โดยผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้บทเรียนความสำเร็จจากการขับเคลื่อนนโยบายควบคุมยาสูบ ซึ่งสะท้อนให้เห็นความสำคัญของการใช้ข้อมูลและหลักฐานทางวิชาการควบคู่กับการสร้างกระแสและการยอมรับทางสังคม

นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกันวิเคราะห์ช่องว่างและความท้าทายของการบังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในบริบทปัจจุบัน ตลอดจนฝึกปฏิบัติการจัดทำเอกสารเชิงนโยบาย (Policy Brief) และการออกแบบกระบวนการ Policy Dialogue เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายในระดับต่าง ๆ การประชุมยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างเครือข่ายและแนวร่วมของผู้ทำงานด้านนโยบายและสุขภาพ เพื่อร่วมกันมุ่งลดผลกระทบจากแอลกอฮอล์ต่อสุขภาพและสังคมไทยอย่างยั่งยืน

ศวส. ขอขอบคุณวิทยากร ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้เข้าร่วมทุกท่าน ที่ร่วมกันแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ เพื่อผลักดันนโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

28 กรกฎาคม – วันมะเร็งศีรษะและลำคอโลก
https://cas.or.th/content?id=981
Tags : -

28 กรกฎาคม – วันมะเร็งศีรษะและลำคอโลก

        รู้หรือไม่? แอลกอฮอล์ไม่ได้แค่ทำลายตับ แต่มันคือ “สารก่อมะเร็งระดับ 1” ที่เพิ่มความเสี่ยง มะเร็งศีรษะและลำคออย่างมีนัยสำคัญ

        รศ.นพ.ธนเดช และ รศ.พญ.อรุณี เดชาพันธุ์กุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งศีรษะและลำคอ และมะเร็งวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ระบุว่า 75% ของผู้ป่วยมะเร็งศีรษะและลำคอ เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่

        แต่… คนไทยกว่า 90% ยังไม่รู้เลยว่า “เหล้า” ก็เป็นสาเหตุของมะเร็งชนิดนี้! แอลกอฮอล์ (เอทานอล) เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนเป็น อะเซทัลดีไฮด์ (Acetaldehyde) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่ทำให้เกิดการทำลายดีเอ็นเอในเซลล์เยื่อบุช่องปาก กล่องเสียง และคอหอย

        นอกจากนี้แอลกอฮอล์ยัง ทำลายเยื่อบุผิวทางเดินอาหารส่วนต้น ทำให้เซลล์ซ่อมแซมตัวเองได้น้อยลง และเพิ่มการดูดซึมสารพิษจากบุหรี่หรือมลภาวะอื่นเข้าสู่ร่างกายมากขึ้น ดื่มบ่อย + สูบร่วมกัน = ความเสี่ยง “ทวีคูณ”

        ทางออกเชิงนโยบาย: ผู้เชี่ยวชาญเสนอว่า ประเทศไทยควรเร่งออก “คำเตือนสุขภาพบนฉลากแอลกอฮอล์” เพื่อเพิ่มการรับรู้ ลดความเสี่ยง ป้องกันมะเร็งตั้งแต่ต้นทาง

ข้อมูลจาก: การศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพในประเด็นเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และนโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประชาชนไทย : กรณีศึกษาประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไปใน 12 จังหวัดทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ

คนไทยส่วนใหญ่เกือบ 90% เห็นด้วยกับการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันพระใหญ่!
https://cas.or.th/content?id=926

คนไทยส่วนใหญ่เกือบ 90% เห็นด้วยกับการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันพระใหญ่!

ผลสำรวจความคิดเห็นจากประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ระหว่างวันที่ 7 – 21 มีนาคม พ.ศ. 2568 พบว่า 88.8% เห็นว่า... ไทยควรคงการห้ามขายแอลกอฮอล์ในวันพระใหญ่ (9.0% ไม่เห็นด้วยให้คงการห้าม, 2.2% ไม่ออกความเห็น)

ข้อมูลนี้มาจากการศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพในประเด็นเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และนโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประชาชนไทย : กรณีศึกษาประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไปใน 12 จังหวัดทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 7 - 21 มีนาคม พ.ศ. 2568 จำนวน 3,924 ตัวอย่าง โดยศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ (SAB) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึง “เสียงส่วนใหญ่” ของประชาชนที่ให้ความสำคัญกับคุณค่าทางศีลธรรมและสุขภาวะทางสังคมในวันสำคัญทางศาสนา

เสียงจากประชาชนคือพลังขับเคลื่อนนโยบายที่ยั่งยืน มาร่วมกันสนับสนุนสังคมสุขภาวะ ปลอดแอลกอฮอล์ในวันสำคัญ เพื่ออนาคตที่ดีของเราทุกคน

แจกเงิน 10,000 บาท แต่เปิดช่องให้ซื้อเหล้า? เสี่ยงสุขภาพเยาวชนหรือไม่?
https://cas.or.th/content?id=899

เสียงเตือนจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ

การประกาศแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทให้ประชาชนอายุ 16-20 ปี ถือเป็นมาตรการที่รัฐบาลคาดหวังว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือเยาวชนในการใช้จ่ายเพื่อการศึกษาและพัฒนาตนเอง แต่เมื่อมีข่าวว่า รัฐบาลไม่ได้กำหนด Negative List หรือข้อห้ามในการใช้เงิน แต่จะกำกับดูแลการลงทะเบียนของร้านค้าแทนด้วยการกำหนดข้อห้ามว่าร้านค้าที่ไม่ให้เข้าร่วมจะเป็นลักษณะใด เช่น ร้านทอง ร้านที่ขายเหล้าโดยเฉพาะ แต่ไม่ได้ห้ามตรวจสินค้า ยกตัวอย่าง หากนำไปใช้ในร้านโชห่วยที่มีสินค้าหลากหลาย ก็สามารถซื้อได้ทุกประเภท ทำให้เกิดข้อถกเถียงในวงกว้างว่า เงินจำนวนนี้สามารถนำไปซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้หรือไม่? ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพและพฤติกรรมของเยาวชนไทยในระยะยาว

ทำไมต้องควบคุมการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยใช้ผู้มีชื่อเสียง?
https://cas.or.th/content?id=885

การควบคุมการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผ่านผู้มีชื่อเสียง เป็นมาตรการสำคัญในการลดผลกระทบด้านสุขภาพและสังคมที่เกิดจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การที่ผู้กำหนดนโยบายให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและลดโอกาสที่เยาวชนจะเข้าสู่พฤติกรรมเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แอลกอฮอล์เสี่ยงมะเร็ง: หมอสหรัฐเผยข้อมูลประชาชนและหนุนฉลากคำเตือน หมอไทยชี้ต้องปรับด่วน
https://cas.or.th/content?id=22

แอลกอฮอล์เสี่ยงมะเร็ง: หมอสหรัฐเผยข้อมูลประชาชนและหนุนฉลากคำเตือน หมอไทยชี้ต้องปรับด่วน

ข่าวใหญ่ในวงการแพทย์สหรัฐล่าสุดเลย คือการออกมาเรียกร้องของ Dr. Vivek Murthy ประธานองค์กรสาธารณสุขระดับสูงสุดของอเมริกา (US Surgeon General) ให้มีการติดฉลากคำเตือนบนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ Dr.Vivek กล่าวถึงความสำคัญของปัญหานี้ว่า “แอลกอฮอล์คือปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อมะเร็ง แต่สังคมไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้สักเท่าไหร่ บางทีเราต้องปรับปรุงฉลากบนผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น” ซึ่งคำสัมภาษณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับข้อมูลวิจัยปัจจุบัน ที่พบว่า แอลกอฮอล์เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็ง 7 ชนิด ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งช่องปาก มะเร็งคอหอย และมะเร็งกล่องเสียง

ที่คิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ในประเทศสหรัฐอเมริกา อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใหญ่มาก market cap ของตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีมูลค่าประมาณปีละ 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 10 ล้านล้านบาท (มากกว่างบแผ่นดินของไทย 2.5 เท่า) เป็นรองแค่ตลาดในประเทศจีนที่มีมูลค่าประมาณ 320,000 ล้านเหรียญเท่านั้น แต่อย่าลืมว่า ประชากรของสหรัฐน้อยกว่าจีนหลายเท่า (340 ล้านคน vs 1,400 ล้านคน) การที่ผู้บริหารสูงสุดขององค์กรสาธารณสุขที่มีอิทธิพลมากที่สุดองค์กรหนึ่ง พูดถึงเรื่องคำแนะนำที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการกำหนดกฎหมายใหม่ในเรื่องฉลากบนเครื่องดื่ม และจะส่งผลต่อยอดขายของอุตสาหกรรมที่ใหญ่มากอย่างแอลกอฮอล์ หากไม่ยืนอยู่บนหลักฐานที่แม่นยำ มีน้ำหนัก และยืนอยู่บนหลักประโยชน์ทางสุขภาพต่อประชาชนและประโยชน์ต่อระบบสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกา รับรองว่า คำแนะนำที่เป็น hard line suggestion เช่นนี้จะถูกอัดกลับมาอย่างหนักแน่นอน หากความเห็นนี้สามารถแปลงไปเป็นกฎหมายระดับประเทศได้ (ซึ่งมีโอกาสสูง) จะทำให้ประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกมีบรรทัดฐานในการออกแบบกฎหมายเพื่อดูแลสวัสดิภาพและความปลอดภัยของประชาชนจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

▶️ ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำในประเทศไทย
รศ.นพ.รังสรรค์ ภูรยานนทชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการดูแลประชากรใน 14 จังหวัดภาคใต้ กล่าวว่า “โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ มีภารกิจสำคัญทั้งในด้านการรักษาและป้องกันโรคในประชากรภาคใต้ การที่แอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อมะเร็ง ไม่เพียงเพิ่มภาระให้กับระบบสาธารณสุข แต่ยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวมอีกด้วย ดังนั้น ในฐานะผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ผมขอสนับสนุนข้อเสนอของ Dr. Vivek Murthy ประธานองค์กรสาธารณสุขระดับสูงสุดของสหรัฐอเมริกา (US Surgeon General) ในการให้มีการติดฉลากคำเตือนบนผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์อย่างชัดเจนและทันสมัยมากขึ้น เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพจากการบริโภคแอลกอฮอล์อย่างแท้จริง มาตรการนี้จะช่วยส่งเสริมสุขภาพประชาชน ลดอัตราการเกิดโรคมะเร็ง และส่งเสริมความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโทษของแอลกอฮอล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์มีความมุ่งมั่นที่จะเผยแพร่ความรู้ทางการแพทย์และส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพที่ดีในสังคม เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายแรงและสร้างชุมชนสุขภาพดีอย่างยั่งยืน”

นอกจากนั้นแล้ว ในฐานะอายุรแพทย์เวชบำบัดวิกฤต ที่ทำงานกับผู้ป่วยในสภาวะวิกฤตในห้อง ICU นพ.รังสรรค์ ยังให้ข้อคิดเห็นว่า “ผลกระทบของการดื่มสุราไม่เพียงแต่ทำให้เมา ขาดสติ ก่อการทะเลาะวิวาท หรืออุบัติเหตุในระยะสั้น แต่ยังส่งผลต่อระบบอวัยวะสำคัญ เช่น ตับและหัวใจในระยะยาว ซึ่งเป็นปัจจัยที่อาจทำให้ผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะวิกฤตได้ง่ายขึ้น”

ศ.นพ.วรวิทย์ จิตติถาวร หัวหน้าสาขาวิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้แสดงความคิดเห็นว่า “ในฐานะศัลยแพทย์ เราพบผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากการดื่มสุราในหลายมิติ โดยเฉพาะมะเร็งที่เกี่ยวข้อง เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ ซึ่งมักมาพบแพทย์ในระยะลุกลามจนยากต่อการรักษา ประชากรในภาคใต้รวมทั้งในภาคอื่นๆ ของประเทศไทยยังขาดความเข้าใจในความเสี่ยงนี้ “

รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้เน้นย้ำถึงบทบาทของการวิจัยและการปรับปรุงนโยบาย “ปัจจุบันฉลากคำเตือนบนผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ในประเทศไทยมีข้อจำกัดในด้านความชัดเจน ข้อความเตือนส่วนใหญ่ยังเน้นที่ผลกระทบต่อการขับขี่หรือการตั้งครรภ์ แต่ไม่ได้ให้ข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านมะเร็ง การปรับปรุงฉลากให้ระบุข้อมูลเชิงลึก เช่น ‘การบริโภคแอลกอฮอล์เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมและลำคอ’ รวมถึงการใช้กราฟิกที่ชัดเจน จะช่วยเพิ่มการรับรู้ในหมู่ประชาชนได้อย่างมาก”

นพ.พลเทพ ยังให้ข้อแนะนำเพิ่มเติมว่า “การกำหนดให้ฉลากมีขนาดใหญ่ขึ้น และวางในตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจนบนบรรจุภัณฑ์ เช่นเดียวกับที่ประเทศไอร์แลนด์เริ่มดำเนินการ จะเป็นแนวทางที่ประเทศไทยควรพิจารณาเพื่อลดผลกระทบของแอลกอฮอล์ต่อสุขภาพ”

▶️ ไอร์แลนด์: ก้าวนำด้านฉลากคำเตือนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ไอร์แลนด์ถือเป็นประเทศแรกในยุโรปที่บังคับใช้ฉลากคำเตือนสุขภาพเกี่ยวกับมะเร็งบนผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ ซึ่งระบุข้อความเตือนอย่างเด่นชัดว่า การดื่มแอลกอฮอล์เสี่ยงต่อโรคมะเร็ง กฎหมายดังกล่าวยังรวมถึงข้อกำหนดเพิ่มเติม เช่น การระบุปริมาณแอลกอฮอล์เป็นหน่วยมาตรฐาน เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถประเมินความเสี่ยงจากการบริโภคได้ง่ายขึ้น การบังคับให้ฉลากมีตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจน เช่น ขนาดข้อความใหญ่ขึ้นและมีการใช้ภาพประกอบ และการแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด

▶️ แนวทางที่ประเทศไทยสามารถนำไปปรับใช้
การออกมาเตือนจากประธานองค์กรสาธารณสุขระดับสูงของสหรัฐอเมริกา (US Surgeon General) และมาตรการที่ไอร์แลนด์ได้ดำเนินการ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การปรับปรุงฉลากคำเตือนบนผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์สามารถสร้างความตระหนักรู้และลดผลกระทบด้านสุขภาพได้อย่างมีนัยสำคัญ ประเทศไทยควรนำบทเรียนเหล่านี้มาปรับใช้ โดยการปรับปรุงฉลากคำเตือนให้ครอบคลุมความเสี่ยงด้านมะเร็งและผลกระทบต่อสุขภาพอื่น ๆ พร้อมใช้ข้อความและกราฟิกที่ชัดเจนในตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจนบนบรรจุภัณฑ์

ในขณะเดียวกัน ควรสนับสนุนการวิจัยเชิงนโยบายเกี่ยวกับผลกระทบของแอลกอฮอล์ เพื่อให้ข้อมูลที่ชัดเจนในการสนับสนุนการออกกฎหมายใหม่ และจัดกิจกรรมให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับความเสี่ยงที่แท้จริงของการบริโภคแอลกอฮอล์

นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่ทุกภาคส่วนในสังคมจะต้องร่วมมือกัน ไม่ว่าจะเป็นภาควิชาการ ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อขับเคลื่อนนโยบายที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างสังคมที่มีสุขภาพดีขึ้น และลดผลกระทบในระยะยาวจากแอลกอฮอล์อย่างยั่งยืน

เอกสารอ้างอิง:
1) U.S. Department of Health and Human Services. Alcohol and cancer risk [Internet]. Washington, D.C.; [cited 2025 Jan 8]. Available from: https://www.hhs.gov/surgeongeneral/priorities/alcohol-cancer/index.html
2) CNN. Vivek Murthy discusses alcohol consumption and cancer risk [Internet]. Atlanta: CNN; 2025 Jan 3 [cited 2025 Jan 8]. Available from: https://edition.cnn.com/2025/01/03/health/video/vivek-murthy-alcohol-consumption-cancer-sitroom-digvid

แอลกอฮอล์เสี่ยงมะเร็ง: หมอสหรัฐเผยข้อมูลประชาชนและหนุนฉลากคำเตือน หมอไทยชี้ต้องปรับด่วน
https://cas.or.th/content?id=509

แอลกอฮอล์เสี่ยงมะเร็ง: หมอสหรัฐเผยข้อมูลประชาชนและหนุนฉลากคำเตือน หมอไทยชี้ต้องปรับด่วน

ข่าวใหญ่ในวงการแพทย์สหรัฐล่าสุดเลย คือการออกมาเรียกร้องของ Dr. Vivek Murthy ประธานองค์กรสาธารณสุขระดับสูงสุดของอเมริกา (US Surgeon General) ให้มีการติดฉลากคำเตือนบนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ Dr.Vivek กล่าวถึงความสำคัญของปัญหานี้ว่า “แอลกอฮอล์คือปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อมะเร็ง แต่สังคมไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้สักเท่าไหร่ บางทีเราต้องปรับปรุงฉลากบนผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น” ซึ่งคำสัมภาษณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับข้อมูลวิจัยปัจจุบัน ที่พบว่า แอลกอฮอล์เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็ง 7 ชนิด ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งช่องปาก มะเร็งคอหอย และมะเร็งกล่องเสียง

ที่คิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ในประเทศสหรัฐอเมริกา อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใหญ่มาก market cap ของตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีมูลค่าประมาณปีละ 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 10 ล้านล้านบาท (มากกว่างบแผ่นดินของไทย 2.5 เท่า) เป็นรองแค่ตลาดในประเทศจีนที่มีมูลค่าประมาณ 320,000 ล้านเหรียญเท่านั้น แต่อย่าลืมว่า ประชากรของสหรัฐน้อยกว่าจีนหลายเท่า (340 ล้านคน vs 1,400 ล้านคน) การที่ผู้บริหารสูงสุดขององค์กรสาธารณสุขที่มีอิทธิพลมากที่สุดองค์กรหนึ่ง พูดถึงเรื่องคำแนะนำที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการกำหนดกฎหมายใหม่ในเรื่องฉลากบนเครื่องดื่ม และจะส่งผลต่อยอดขายของอุตสาหกรรมที่ใหญ่มากอย่างแอลกอฮอล์ หากไม่ยืนอยู่บนหลักฐานที่แม่นยำ มีน้ำหนัก และยืนอยู่บนหลักประโยชน์ทางสุขภาพต่อประชาชนและประโยชน์ต่อระบบสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกา รับรองว่า คำแนะนำที่เป็น hard line suggestion เช่นนี้จะถูกอัดกลับมาอย่างหนักแน่นอน หากความเห็นนี้สามารถแปลงไปเป็นกฎหมายระดับประเทศได้ (ซึ่งมีโอกาสสูง) จะทำให้ประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกมีบรรทัดฐานในการออกแบบกฎหมายเพื่อดูแลสวัสดิภาพและความปลอดภัยของประชาชนจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

▶️ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำในประเทศไทย
รศ.นพ.รังสรรค์ ภูรยานนทชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการดูแลประชากรใน 14 จังหวัดภาคใต้ กล่าวว่า “โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ มีภารกิจสำคัญทั้งในด้านการรักษาและป้องกันโรคในประชากรภาคใต้ การที่แอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อมะเร็ง ไม่เพียงเพิ่มภาระให้กับระบบสาธารณสุข แต่ยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวมอีกด้วย ดังนั้น ในฐานะผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ผมขอสนับสนุนข้อเสนอของ Dr. Vivek Murthy ประธานองค์กรสาธารณสุขระดับสูงสุดของสหรัฐอเมริกา (US Surgeon General) ในการให้มีการติดฉลากคำเตือนบนผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์อย่างชัดเจนและทันสมัยมากขึ้น เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพจากการบริโภคแอลกอฮอล์อย่างแท้จริง มาตรการนี้จะช่วยส่งเสริมสุขภาพประชาชน ลดอัตราการเกิดโรคมะเร็ง และส่งเสริมความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโทษของแอลกอฮอล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์มีความมุ่งมั่นที่จะเผยแพร่ความรู้ทางการแพทย์และส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพที่ดีในสังคม เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายแรงและสร้างชุมชนสุขภาพดีอย่างยั่งยืน”

นอกจากนั้นแล้ว ในฐานะอายุรแพทย์เวชบำบัดวิกฤต ที่ทำงานกับผู้ป่วยในสภาวะวิกฤตในห้อง ICU นพ.รังสรรค์ ยังให้ข้อคิดเห็นว่า “ผลกระทบของการดื่มสุราไม่เพียงแต่ทำให้เมา ขาดสติ ก่อการทะเลาะวิวาท หรืออุบัติเหตุในระยะสั้น แต่ยังส่งผลต่อระบบอวัยวะสำคัญ เช่น ตับและหัวใจในระยะยาว ซึ่งเป็นปัจจัยที่อาจทำให้ผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะวิกฤตได้ง่ายขึ้น”

ศ.นพ.วรวิทย์ จิตติถาวร หัวหน้าสาขาวิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้แสดงความคิดเห็นว่า “ในฐานะศัลยแพทย์ เราพบผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากการดื่มสุราในหลายมิติ โดยเฉพาะมะเร็งที่เกี่ยวข้อง เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ ซึ่งมักมาพบแพทย์ในระยะลุกลามจนยากต่อการรักษา ประชากรในภาคใต้รวมทั้งในภาคอื่นๆ ของประเทศไทยยังขาดความเข้าใจในความเสี่ยงนี้ “

รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้เน้นย้ำถึงบทบาทของการวิจัยและการปรับปรุงนโยบาย “ปัจจุบันฉลากคำเตือนบนผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ในประเทศไทยมีข้อจำกัดในด้านความชัดเจน ข้อความเตือนส่วนใหญ่ยังเน้นที่ผลกระทบต่อการขับขี่หรือการตั้งครรภ์ แต่ไม่ได้ให้ข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านมะเร็ง การปรับปรุงฉลากให้ระบุข้อมูลเชิงลึก เช่น ‘การบริโภคแอลกอฮอล์เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมและลำคอ’ รวมถึงการใช้กราฟิกที่ชัดเจน จะช่วยเพิ่มการรับรู้ในหมู่ประชาชนได้อย่างมาก”

นพ.พลเทพ ยังให้ข้อแนะนำเพิ่มเติมว่า “การกำหนดให้ฉลากมีขนาดใหญ่ขึ้น และวางในตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจนบนบรรจุภัณฑ์ เช่นเดียวกับที่ประเทศไอร์แลนด์เริ่มดำเนินการ จะเป็นแนวทางที่ประเทศไทยควรพิจารณาเพื่อลดผลกระทบของแอลกอฮอล์ต่อสุขภาพ”

▶️ไอร์แลนด์: ก้าวนำด้านฉลากคำเตือนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ไอร์แลนด์ถือเป็นประเทศแรกในยุโรปที่บังคับใช้ฉลากคำเตือนสุขภาพเกี่ยวกับมะเร็งบนผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ ซึ่งระบุข้อความเตือนอย่างเด่นชัดว่า การดื่มแอลกอฮอล์เสี่ยงต่อโรคมะเร็ง กฎหมายดังกล่าวยังรวมถึงข้อกำหนดเพิ่มเติม เช่น การระบุปริมาณแอลกอฮอล์เป็นหน่วยมาตรฐาน เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถประเมินความเสี่ยงจากการบริโภคได้ง่ายขึ้น การบังคับให้ฉลากมีตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจน เช่น ขนาดข้อความใหญ่ขึ้นและมีการใช้ภาพประกอบ และการแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด

▶️แนวทางที่ประเทศไทยสามารถนำไปปรับใช้
การออกมาเตือนจากประธานองค์กรสาธารณสุขระดับสูงของสหรัฐอเมริกา (US Surgeon General) และมาตรการที่ไอร์แลนด์ได้ดำเนินการ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การปรับปรุงฉลากคำเตือนบนผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์สามารถสร้างความตระหนักรู้และลดผลกระทบด้านสุขภาพได้อย่างมีนัยสำคัญ ประเทศไทยควรนำบทเรียนเหล่านี้มาปรับใช้ โดยการปรับปรุงฉลากคำเตือนให้ครอบคลุมความเสี่ยงด้านมะเร็งและผลกระทบต่อสุขภาพอื่น ๆ พร้อมใช้ข้อความและกราฟิกที่ชัดเจนในตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจนบนบรรจุภัณฑ์

ในขณะเดียวกัน ควรสนับสนุนการวิจัยเชิงนโยบายเกี่ยวกับผลกระทบของแอลกอฮอล์ เพื่อให้ข้อมูลที่ชัดเจนในการสนับสนุนการออกกฎหมายใหม่ และจัดกิจกรรมให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับความเสี่ยงที่แท้จริงของการบริโภคแอลกอฮอล์

นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่ทุกภาคส่วนในสังคมจะต้องร่วมมือกัน ไม่ว่าจะเป็นภาควิชาการ ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อขับเคลื่อนนโยบายที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างสังคมที่มีสุขภาพดีขึ้น และลดผลกระทบในระยะยาวจากแอลกอฮอล์อย่างยั่งยืน

เอกสารอ้างอิง:
1) U.S. Department of Health and Human Services. Alcohol and cancer risk [Internet]. Washington, D.C.; [cited 2025 Jan 8]. Available from: https://www.hhs.gov/surgeongeneral/priorities/alcohol-cancer/index.html
2) CNN. Vivek Murthy discusses alcohol consumption and cancer risk [Internet]. Atlanta: CNN; 2025 Jan 3 [cited 2025 Jan 8]. Available from: https://edition.cnn.com/2025/01/03/health/video/vivek-murthy-alcohol-consumption-cancer-sitroom-digvid

ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.)

Centre for Alcohol Studies (CAS)

สาขาวิชาเวชศาสตร์ครอบครัวและเวชศาสตร์ป้องกัน อาคารศรีเวชวัฒน์ ชั้น 11 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เลขที่ 15 ถนนกาญจนวนิช ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 90110

083-5775533

https://www.facebook.com/cas.org.th

เข้าชมแล้ว 0 ครั้ง
Copyright © 2025 CAS All rights reserved.