คำค้นหา : ปัญหาสุรา

คำนี้ค้นหามาแล้ว : 333 ครั้ง
ผลการวิจัย "การเฝ้าระวังพฤติกรรมการใช้สุรา ยาสูบ สารเสพติด และพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพในนักเรียนระดับมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่าของประเทศไทย"
https://cas.or.th/content?id=937

ผลการวิจัย "การเฝ้าระวังพฤติกรรมการใช้สุรา ยาสูบ สารเสพติด และพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพในนักเรียนระดับมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่าของประเทศไทย"

ดำเนินการสำรวจในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่าทั่วประเทศ 106 แห่ง มีนักเรียนเข้าร่วมและตอบแบบสอบถามอย่างครบถ้วน จำนวน 23,931 คน

การเฝ้าระวังพฤติกรรมเสี่ยง อาทิ

  • การใช้ สุรา
  • การใช้ ยาสูบ/บุหรี่ไฟฟ้า
  • การใช้ สารเสพติด
  • พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ อื่น ๆ

อ้างอิง: วิทย์ วิชัยดิษฐ. (2568) การเฝ้าระวังพฤติกรรมการใช้สุรา ยาสูบ สารเสพติด และพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพในนักเรียนระดับมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่าของประเทศไทย. สงขลา: ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา.

การประชุมวิชาการสุราระดับชาติ ครั้งที่ 13
https://cas.or.th/content?id=931
Tags : -

ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) ได้จัดการประชุมวิชาการสุราระดับชาติ ครั้งที่ 13 พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่: ก้าวข้ามจุดบกพร่อง มุ่งสู่เป้าหมายที่ยั่งยืน (New Alcohol Control Act: Move the promises, fix the flaws) ในวันที่ 14 – 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร

ศวส. ขอขอบพระคุณวิทยากรและผู้เข้าร่วมทุกท่านที่มาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ซึ่งเราได้ข้อสรุปและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์อย่างมากต่อการร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่

เอกสารประกอบการประชุม: https://drive.google.com/.../1B7Tp1kVHZflmU...

ภาพกิจกรรมงานประชุมฯ: https://drive.google.com/.../1MJOgri6Z...

ประเทศไทยในสายตา WHO: ต้นแบบการควบคุมปัญหาสุรา
https://cas.or.th/content?id=932

ประเทศไทยในสายตา WHO: ต้นแบบการควบคุมปัญหาสุรา

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เผยแพร่รายงานปี 2025 ว่าด้วยกฎหมายและมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยยกประเทศไทยเป็นหนึ่งในตัวอย่างประเทศที่มีการดำเนินนโยบายเชิงรุกเพื่อควบคุมผลกระทบจากการบริโภคสุรา

ในรายงานดังกล่าว WHO ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยมีมาตรการทางกฎหมายที่หลากหลายและมีความเข้มแข็ง เช่น การจำกัดเวลาและสถานที่จำหน่ายแอลกอฮอล์ ห้ามขายในสถานที่สาธารณะสำคัญ เช่น วัด โรงเรียน และสถานีบริการน้ำมัน รวมถึงการควบคุมการขายผ่านช่องทางที่ไม่เหมาะสม เช่น ตู้ขายอัตโนมัติและหาบเร่แผงลอย

นอกจากนี้ ระบบภาษีสรรพสามิตของไทยยังออกแบบให้ผสมผสานระหว่างปริมาณแอลกอฮอล์และราคาขาย เพื่อควบคุมการบริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น เบียร์มีอัตราภาษีทั้งตามราคาขายปลีกและปริมาณแอลกอฮอล์บริสุทธิ์

การที่ WHO ยกตัวอย่างประเทศไทยในรายงานระดับโลก สะท้อนถึงความก้าวหน้าในการใช้ “กฎหมาย” เป็นเครื่องมือหลักในการลดอันตรายจากสุรา พร้อมยืนยันว่า การป้องกันเชิงระบบสามารถทำได้จริง หากมีเจตจำนงและการบังคับใช้ที่ชัดเจน

อ้างอิง: World Health Organization. Laws and regulations addressing the acceptability, availability and affordability of alcoholic beverages [Internet]. Geneva: World Health Organization; 2025 [cited 2025 May 21]. Available from: https://www.who.int/publications/i/item/9789240108301

ฐานข้อมูล ข้อสนเทศ-องค์ความรู้แอลกอฮอล์ไทย
https://cas.or.th/content?id=98
Tags : -

ข้อตกลงการใช้งาน

ฐานข้อมูล ข้อสนเทศ-องค์ความรู้แอลกอฮอล์ไทย เป็นระบบสารสนเทศซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อให้นักวิจัย / นักวิชาการ สามารถนำเสนอ เผยแพร่ และอัพโหลดข้อมูล หลักฐาน เอกสารวิชาการ ข้อสนเทศ และองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ไทยได้ โดยข้อมูลเหล่านี้จะถูกพิสูตจ์และกลั่นกรองก่อนเผยแพร่สู่สาธารณะภายใต้สื่อ เว็บไซต์ และสื่อโซเชียลที่อยู่ภายใต้การรับผิดชอบของศูนย์วิจัยปัญหาสุรา

ทั้งนี้ หากข้อสนเทศ-องค์ความรู้แอลกอฮอล์ที่ได้รับการเผลแพร่แล้ว จะสามารถค้นหาได้บนเว็บไซต์ https://cas.or.th 

- รับทราบและไปยังระบบฐานข้อมูล ข้อสนเทศ-องค์ความรู้แอลกอฮอล์ไทย -

โลโก้
https://cas.or.th/content?id=16
Tags : -

โลโก้ ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา

ดาวน์โหลดไฟล์ .ai คลิกที่นี่

 


 

โลโก้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

 

แอลกอฮอล์เสี่ยงมะเร็ง: หมอสหรัฐเผยข้อมูลประชาชนและหนุนฉลากคำเตือน หมอไทยชี้ต้องปรับด่วน
https://cas.or.th/content?id=22

แอลกอฮอล์เสี่ยงมะเร็ง: หมอสหรัฐเผยข้อมูลประชาชนและหนุนฉลากคำเตือน หมอไทยชี้ต้องปรับด่วน

ข่าวใหญ่ในวงการแพทย์สหรัฐล่าสุดเลย คือการออกมาเรียกร้องของ Dr. Vivek Murthy ประธานองค์กรสาธารณสุขระดับสูงสุดของอเมริกา (US Surgeon General) ให้มีการติดฉลากคำเตือนบนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ Dr.Vivek กล่าวถึงความสำคัญของปัญหานี้ว่า “แอลกอฮอล์คือปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อมะเร็ง แต่สังคมไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้สักเท่าไหร่ บางทีเราต้องปรับปรุงฉลากบนผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น” ซึ่งคำสัมภาษณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับข้อมูลวิจัยปัจจุบัน ที่พบว่า แอลกอฮอล์เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็ง 7 ชนิด ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งช่องปาก มะเร็งคอหอย และมะเร็งกล่องเสียง

ที่คิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ในประเทศสหรัฐอเมริกา อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใหญ่มาก market cap ของตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีมูลค่าประมาณปีละ 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 10 ล้านล้านบาท (มากกว่างบแผ่นดินของไทย 2.5 เท่า) เป็นรองแค่ตลาดในประเทศจีนที่มีมูลค่าประมาณ 320,000 ล้านเหรียญเท่านั้น แต่อย่าลืมว่า ประชากรของสหรัฐน้อยกว่าจีนหลายเท่า (340 ล้านคน vs 1,400 ล้านคน) การที่ผู้บริหารสูงสุดขององค์กรสาธารณสุขที่มีอิทธิพลมากที่สุดองค์กรหนึ่ง พูดถึงเรื่องคำแนะนำที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการกำหนดกฎหมายใหม่ในเรื่องฉลากบนเครื่องดื่ม และจะส่งผลต่อยอดขายของอุตสาหกรรมที่ใหญ่มากอย่างแอลกอฮอล์ หากไม่ยืนอยู่บนหลักฐานที่แม่นยำ มีน้ำหนัก และยืนอยู่บนหลักประโยชน์ทางสุขภาพต่อประชาชนและประโยชน์ต่อระบบสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกา รับรองว่า คำแนะนำที่เป็น hard line suggestion เช่นนี้จะถูกอัดกลับมาอย่างหนักแน่นอน หากความเห็นนี้สามารถแปลงไปเป็นกฎหมายระดับประเทศได้ (ซึ่งมีโอกาสสูง) จะทำให้ประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกมีบรรทัดฐานในการออกแบบกฎหมายเพื่อดูแลสวัสดิภาพและความปลอดภัยของประชาชนจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

▶️ ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำในประเทศไทย
รศ.นพ.รังสรรค์ ภูรยานนทชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการดูแลประชากรใน 14 จังหวัดภาคใต้ กล่าวว่า “โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ มีภารกิจสำคัญทั้งในด้านการรักษาและป้องกันโรคในประชากรภาคใต้ การที่แอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อมะเร็ง ไม่เพียงเพิ่มภาระให้กับระบบสาธารณสุข แต่ยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวมอีกด้วย ดังนั้น ในฐานะผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ผมขอสนับสนุนข้อเสนอของ Dr. Vivek Murthy ประธานองค์กรสาธารณสุขระดับสูงสุดของสหรัฐอเมริกา (US Surgeon General) ในการให้มีการติดฉลากคำเตือนบนผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์อย่างชัดเจนและทันสมัยมากขึ้น เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพจากการบริโภคแอลกอฮอล์อย่างแท้จริง มาตรการนี้จะช่วยส่งเสริมสุขภาพประชาชน ลดอัตราการเกิดโรคมะเร็ง และส่งเสริมความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโทษของแอลกอฮอล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์มีความมุ่งมั่นที่จะเผยแพร่ความรู้ทางการแพทย์และส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพที่ดีในสังคม เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายแรงและสร้างชุมชนสุขภาพดีอย่างยั่งยืน”

นอกจากนั้นแล้ว ในฐานะอายุรแพทย์เวชบำบัดวิกฤต ที่ทำงานกับผู้ป่วยในสภาวะวิกฤตในห้อง ICU นพ.รังสรรค์ ยังให้ข้อคิดเห็นว่า “ผลกระทบของการดื่มสุราไม่เพียงแต่ทำให้เมา ขาดสติ ก่อการทะเลาะวิวาท หรืออุบัติเหตุในระยะสั้น แต่ยังส่งผลต่อระบบอวัยวะสำคัญ เช่น ตับและหัวใจในระยะยาว ซึ่งเป็นปัจจัยที่อาจทำให้ผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะวิกฤตได้ง่ายขึ้น”

ศ.นพ.วรวิทย์ จิตติถาวร หัวหน้าสาขาวิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้แสดงความคิดเห็นว่า “ในฐานะศัลยแพทย์ เราพบผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากการดื่มสุราในหลายมิติ โดยเฉพาะมะเร็งที่เกี่ยวข้อง เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ ซึ่งมักมาพบแพทย์ในระยะลุกลามจนยากต่อการรักษา ประชากรในภาคใต้รวมทั้งในภาคอื่นๆ ของประเทศไทยยังขาดความเข้าใจในความเสี่ยงนี้ “

รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้เน้นย้ำถึงบทบาทของการวิจัยและการปรับปรุงนโยบาย “ปัจจุบันฉลากคำเตือนบนผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ในประเทศไทยมีข้อจำกัดในด้านความชัดเจน ข้อความเตือนส่วนใหญ่ยังเน้นที่ผลกระทบต่อการขับขี่หรือการตั้งครรภ์ แต่ไม่ได้ให้ข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านมะเร็ง การปรับปรุงฉลากให้ระบุข้อมูลเชิงลึก เช่น ‘การบริโภคแอลกอฮอล์เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมและลำคอ’ รวมถึงการใช้กราฟิกที่ชัดเจน จะช่วยเพิ่มการรับรู้ในหมู่ประชาชนได้อย่างมาก”

นพ.พลเทพ ยังให้ข้อแนะนำเพิ่มเติมว่า “การกำหนดให้ฉลากมีขนาดใหญ่ขึ้น และวางในตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจนบนบรรจุภัณฑ์ เช่นเดียวกับที่ประเทศไอร์แลนด์เริ่มดำเนินการ จะเป็นแนวทางที่ประเทศไทยควรพิจารณาเพื่อลดผลกระทบของแอลกอฮอล์ต่อสุขภาพ”

▶️ ไอร์แลนด์: ก้าวนำด้านฉลากคำเตือนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ไอร์แลนด์ถือเป็นประเทศแรกในยุโรปที่บังคับใช้ฉลากคำเตือนสุขภาพเกี่ยวกับมะเร็งบนผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ ซึ่งระบุข้อความเตือนอย่างเด่นชัดว่า การดื่มแอลกอฮอล์เสี่ยงต่อโรคมะเร็ง กฎหมายดังกล่าวยังรวมถึงข้อกำหนดเพิ่มเติม เช่น การระบุปริมาณแอลกอฮอล์เป็นหน่วยมาตรฐาน เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถประเมินความเสี่ยงจากการบริโภคได้ง่ายขึ้น การบังคับให้ฉลากมีตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจน เช่น ขนาดข้อความใหญ่ขึ้นและมีการใช้ภาพประกอบ และการแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด

▶️ แนวทางที่ประเทศไทยสามารถนำไปปรับใช้
การออกมาเตือนจากประธานองค์กรสาธารณสุขระดับสูงของสหรัฐอเมริกา (US Surgeon General) และมาตรการที่ไอร์แลนด์ได้ดำเนินการ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การปรับปรุงฉลากคำเตือนบนผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์สามารถสร้างความตระหนักรู้และลดผลกระทบด้านสุขภาพได้อย่างมีนัยสำคัญ ประเทศไทยควรนำบทเรียนเหล่านี้มาปรับใช้ โดยการปรับปรุงฉลากคำเตือนให้ครอบคลุมความเสี่ยงด้านมะเร็งและผลกระทบต่อสุขภาพอื่น ๆ พร้อมใช้ข้อความและกราฟิกที่ชัดเจนในตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจนบนบรรจุภัณฑ์

ในขณะเดียวกัน ควรสนับสนุนการวิจัยเชิงนโยบายเกี่ยวกับผลกระทบของแอลกอฮอล์ เพื่อให้ข้อมูลที่ชัดเจนในการสนับสนุนการออกกฎหมายใหม่ และจัดกิจกรรมให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับความเสี่ยงที่แท้จริงของการบริโภคแอลกอฮอล์

นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่ทุกภาคส่วนในสังคมจะต้องร่วมมือกัน ไม่ว่าจะเป็นภาควิชาการ ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อขับเคลื่อนนโยบายที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างสังคมที่มีสุขภาพดีขึ้น และลดผลกระทบในระยะยาวจากแอลกอฮอล์อย่างยั่งยืน

เอกสารอ้างอิง:
1) U.S. Department of Health and Human Services. Alcohol and cancer risk [Internet]. Washington, D.C.; [cited 2025 Jan 8]. Available from: https://www.hhs.gov/surgeongeneral/priorities/alcohol-cancer/index.html
2) CNN. Vivek Murthy discusses alcohol consumption and cancer risk [Internet]. Atlanta: CNN; 2025 Jan 3 [cited 2025 Jan 8]. Available from: https://edition.cnn.com/2025/01/03/health/video/vivek-murthy-alcohol-consumption-cancer-sitroom-digvid

แอลกอฮอล์เสี่ยงมะเร็ง: หมอสหรัฐเผยข้อมูลประชาชนและหนุนฉลากคำเตือน หมอไทยชี้ต้องปรับด่วน
https://cas.or.th/content?id=509

แอลกอฮอล์เสี่ยงมะเร็ง: หมอสหรัฐเผยข้อมูลประชาชนและหนุนฉลากคำเตือน หมอไทยชี้ต้องปรับด่วน

ข่าวใหญ่ในวงการแพทย์สหรัฐล่าสุดเลย คือการออกมาเรียกร้องของ Dr. Vivek Murthy ประธานองค์กรสาธารณสุขระดับสูงสุดของอเมริกา (US Surgeon General) ให้มีการติดฉลากคำเตือนบนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ Dr.Vivek กล่าวถึงความสำคัญของปัญหานี้ว่า “แอลกอฮอล์คือปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อมะเร็ง แต่สังคมไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้สักเท่าไหร่ บางทีเราต้องปรับปรุงฉลากบนผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น” ซึ่งคำสัมภาษณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับข้อมูลวิจัยปัจจุบัน ที่พบว่า แอลกอฮอล์เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็ง 7 ชนิด ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งช่องปาก มะเร็งคอหอย และมะเร็งกล่องเสียง

ที่คิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ในประเทศสหรัฐอเมริกา อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใหญ่มาก market cap ของตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีมูลค่าประมาณปีละ 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 10 ล้านล้านบาท (มากกว่างบแผ่นดินของไทย 2.5 เท่า) เป็นรองแค่ตลาดในประเทศจีนที่มีมูลค่าประมาณ 320,000 ล้านเหรียญเท่านั้น แต่อย่าลืมว่า ประชากรของสหรัฐน้อยกว่าจีนหลายเท่า (340 ล้านคน vs 1,400 ล้านคน) การที่ผู้บริหารสูงสุดขององค์กรสาธารณสุขที่มีอิทธิพลมากที่สุดองค์กรหนึ่ง พูดถึงเรื่องคำแนะนำที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการกำหนดกฎหมายใหม่ในเรื่องฉลากบนเครื่องดื่ม และจะส่งผลต่อยอดขายของอุตสาหกรรมที่ใหญ่มากอย่างแอลกอฮอล์ หากไม่ยืนอยู่บนหลักฐานที่แม่นยำ มีน้ำหนัก และยืนอยู่บนหลักประโยชน์ทางสุขภาพต่อประชาชนและประโยชน์ต่อระบบสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกา รับรองว่า คำแนะนำที่เป็น hard line suggestion เช่นนี้จะถูกอัดกลับมาอย่างหนักแน่นอน หากความเห็นนี้สามารถแปลงไปเป็นกฎหมายระดับประเทศได้ (ซึ่งมีโอกาสสูง) จะทำให้ประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกมีบรรทัดฐานในการออกแบบกฎหมายเพื่อดูแลสวัสดิภาพและความปลอดภัยของประชาชนจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

▶️ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำในประเทศไทย
รศ.นพ.รังสรรค์ ภูรยานนทชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการดูแลประชากรใน 14 จังหวัดภาคใต้ กล่าวว่า “โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ มีภารกิจสำคัญทั้งในด้านการรักษาและป้องกันโรคในประชากรภาคใต้ การที่แอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อมะเร็ง ไม่เพียงเพิ่มภาระให้กับระบบสาธารณสุข แต่ยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวมอีกด้วย ดังนั้น ในฐานะผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ผมขอสนับสนุนข้อเสนอของ Dr. Vivek Murthy ประธานองค์กรสาธารณสุขระดับสูงสุดของสหรัฐอเมริกา (US Surgeon General) ในการให้มีการติดฉลากคำเตือนบนผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์อย่างชัดเจนและทันสมัยมากขึ้น เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพจากการบริโภคแอลกอฮอล์อย่างแท้จริง มาตรการนี้จะช่วยส่งเสริมสุขภาพประชาชน ลดอัตราการเกิดโรคมะเร็ง และส่งเสริมความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโทษของแอลกอฮอล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์มีความมุ่งมั่นที่จะเผยแพร่ความรู้ทางการแพทย์และส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพที่ดีในสังคม เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายแรงและสร้างชุมชนสุขภาพดีอย่างยั่งยืน”

นอกจากนั้นแล้ว ในฐานะอายุรแพทย์เวชบำบัดวิกฤต ที่ทำงานกับผู้ป่วยในสภาวะวิกฤตในห้อง ICU นพ.รังสรรค์ ยังให้ข้อคิดเห็นว่า “ผลกระทบของการดื่มสุราไม่เพียงแต่ทำให้เมา ขาดสติ ก่อการทะเลาะวิวาท หรืออุบัติเหตุในระยะสั้น แต่ยังส่งผลต่อระบบอวัยวะสำคัญ เช่น ตับและหัวใจในระยะยาว ซึ่งเป็นปัจจัยที่อาจทำให้ผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะวิกฤตได้ง่ายขึ้น”

ศ.นพ.วรวิทย์ จิตติถาวร หัวหน้าสาขาวิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้แสดงความคิดเห็นว่า “ในฐานะศัลยแพทย์ เราพบผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากการดื่มสุราในหลายมิติ โดยเฉพาะมะเร็งที่เกี่ยวข้อง เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ ซึ่งมักมาพบแพทย์ในระยะลุกลามจนยากต่อการรักษา ประชากรในภาคใต้รวมทั้งในภาคอื่นๆ ของประเทศไทยยังขาดความเข้าใจในความเสี่ยงนี้ “

รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้เน้นย้ำถึงบทบาทของการวิจัยและการปรับปรุงนโยบาย “ปัจจุบันฉลากคำเตือนบนผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ในประเทศไทยมีข้อจำกัดในด้านความชัดเจน ข้อความเตือนส่วนใหญ่ยังเน้นที่ผลกระทบต่อการขับขี่หรือการตั้งครรภ์ แต่ไม่ได้ให้ข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านมะเร็ง การปรับปรุงฉลากให้ระบุข้อมูลเชิงลึก เช่น ‘การบริโภคแอลกอฮอล์เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมและลำคอ’ รวมถึงการใช้กราฟิกที่ชัดเจน จะช่วยเพิ่มการรับรู้ในหมู่ประชาชนได้อย่างมาก”

นพ.พลเทพ ยังให้ข้อแนะนำเพิ่มเติมว่า “การกำหนดให้ฉลากมีขนาดใหญ่ขึ้น และวางในตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจนบนบรรจุภัณฑ์ เช่นเดียวกับที่ประเทศไอร์แลนด์เริ่มดำเนินการ จะเป็นแนวทางที่ประเทศไทยควรพิจารณาเพื่อลดผลกระทบของแอลกอฮอล์ต่อสุขภาพ”

▶️ไอร์แลนด์: ก้าวนำด้านฉลากคำเตือนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ไอร์แลนด์ถือเป็นประเทศแรกในยุโรปที่บังคับใช้ฉลากคำเตือนสุขภาพเกี่ยวกับมะเร็งบนผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ ซึ่งระบุข้อความเตือนอย่างเด่นชัดว่า การดื่มแอลกอฮอล์เสี่ยงต่อโรคมะเร็ง กฎหมายดังกล่าวยังรวมถึงข้อกำหนดเพิ่มเติม เช่น การระบุปริมาณแอลกอฮอล์เป็นหน่วยมาตรฐาน เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถประเมินความเสี่ยงจากการบริโภคได้ง่ายขึ้น การบังคับให้ฉลากมีตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจน เช่น ขนาดข้อความใหญ่ขึ้นและมีการใช้ภาพประกอบ และการแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด

▶️แนวทางที่ประเทศไทยสามารถนำไปปรับใช้
การออกมาเตือนจากประธานองค์กรสาธารณสุขระดับสูงของสหรัฐอเมริกา (US Surgeon General) และมาตรการที่ไอร์แลนด์ได้ดำเนินการ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การปรับปรุงฉลากคำเตือนบนผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์สามารถสร้างความตระหนักรู้และลดผลกระทบด้านสุขภาพได้อย่างมีนัยสำคัญ ประเทศไทยควรนำบทเรียนเหล่านี้มาปรับใช้ โดยการปรับปรุงฉลากคำเตือนให้ครอบคลุมความเสี่ยงด้านมะเร็งและผลกระทบต่อสุขภาพอื่น ๆ พร้อมใช้ข้อความและกราฟิกที่ชัดเจนในตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจนบนบรรจุภัณฑ์

ในขณะเดียวกัน ควรสนับสนุนการวิจัยเชิงนโยบายเกี่ยวกับผลกระทบของแอลกอฮอล์ เพื่อให้ข้อมูลที่ชัดเจนในการสนับสนุนการออกกฎหมายใหม่ และจัดกิจกรรมให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับความเสี่ยงที่แท้จริงของการบริโภคแอลกอฮอล์

นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่ทุกภาคส่วนในสังคมจะต้องร่วมมือกัน ไม่ว่าจะเป็นภาควิชาการ ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อขับเคลื่อนนโยบายที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างสังคมที่มีสุขภาพดีขึ้น และลดผลกระทบในระยะยาวจากแอลกอฮอล์อย่างยั่งยืน

เอกสารอ้างอิง:
1) U.S. Department of Health and Human Services. Alcohol and cancer risk [Internet]. Washington, D.C.; [cited 2025 Jan 8]. Available from: https://www.hhs.gov/surgeongeneral/priorities/alcohol-cancer/index.html
2) CNN. Vivek Murthy discusses alcohol consumption and cancer risk [Internet]. Atlanta: CNN; 2025 Jan 3 [cited 2025 Jan 8]. Available from: https://edition.cnn.com/2025/01/03/health/video/vivek-murthy-alcohol-consumption-cancer-sitroom-digvid

งานวิจัยชี้! ร้านขายเหล้าเยอะ วัยรุ่นดื่มมากขึ้น เด็กหญิงไทยเสี่ยงดื่มหนักเพิ่ม 23%
https://cas.or.th/content?id=28

งานวิจัยล่าสุดจากศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานวิจัยระบบสุขภาพ (สวรส.) ภายใต้การนำของหัวหน้าโครงการวิจัย รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เผยข้อมูลชัดเจนว่า ความหนาแน่นของร้านขายสุราส่งผลให้พฤติกรรมการดื่มของวัยรุ่นไทยพุ่งสูงขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นหญิงที่มีแนวโน้มดื่มหนักเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 23

งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567 โดยใช้ข้อมูลจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติและข้อมูลใบอนุญาตจากกรมสรรพสามิตระหว่างปี พ.ศ. 2550 ถึง 2566 ครอบคลุมกลุ่มวัยรุ่นไทยอายุ 15 ถึง 19 ปี จำนวนกว่า 10,000 คน

 

 

รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร หัวหน้าทีมวิจัยให้ความคิดเห็นว่า “ความหนาแน่นของร้านขายเหล้าใกล้บ้านเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้วัยรุ่นเข้าถึงแอลกอฮอล์ได้ง่าย ผลลัพธ์ คือ พฤติกรรมการดื่มฯ เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเด็กผู้หญิงที่มีการดื่มหนัก (binge drinking) เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 23 ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจ สำหรับวัยรุ่นชายก็เพิ่มโอกาสในการดื่มฯ สุราในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาเช่นกัน ประมาณร้อยละ 9”

การเข้าถึงแอลกอฮอล์ตั้งแต่วัยเยาว์อาจนำไปสู่ผลกระทบทางสุขภาพในระยะยาว ดังนั้น “ถึงเวลาแล้วที่ภาครัฐต้องพิจารณาควบคุมจำนวนร้านขายสุราอย่างเข้มงวด เพื่อลดการเข้าถึงแอลกอฮอล์ในกลุ่มเยาวชนและปกป้องอนาคตของพวกเขา” รศ.ดร.นพ.พลเทพ กล่าวเสริม

จากการศึกษาพบว่า จำนวนใบอนุญาตขายสุราต่อประชากร 1,000 คน ระหว่างปี พ.ศ. 2550 ถึง 2566 มีค่าเฉลี่ยประมาณ 9 ใบอนุญาตฯ ต่อประชากร 1,000 คน ซึ่งความหนาแน่นระดับนี้ถือว่าสูงเกินธรรมดาเป็นอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ

รศ.ดร.นพ.พลเทพ กล่าวปิดท้ายว่า “ประเทศไทยควรมีการดำเนินการอย่างจริงจังในการลดจำนวนใบอนุญาตจำหน่าย ประเทศไทยควรมีการปรับและพัฒนาแนวทางและกระบวนการออกใบอนุญาตรายใหม่และต่อใบอนุญาตรายเก่าให้เข้มงวดมากขึ้น ควรมีการใช้ข้อมูลต่าง ๆ ในระดับพื้นที่ มาพิจารณาการต่อใบอนุญาต เช่น การละเมิดกฎระเบียบ การมีผลกระทบต่อชุมชน ความคิดเห็นของประชาชนหรือหน่วยงานต่าง ๆ ในชุมชน”


เสียงจากเยาวชน: การเข้าถึงแอลกอฮอล์ง่ายเกินไป เสี่ยงทำร้ายอนาคตเยาวชนไทย

นักศึกษาแพทย์ เขมจิรา เจ๊ะบา นักศึกษาแพทย์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และนักกิจกรรมเยาวชน ให้ความเห็นว่า “ถึงแม้ว่าตามกฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศได้ขีดเส้นไว้ชัดเจนว่า ผู้ที่สามารถซื้อและบริโภคแอลกอฮอล์ได้ต้องมีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ แต่ความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น ในกลุ่มเยาวชนรู้ดีว่า แม้แต่เยาวชนอายุ 15 ปี ก็สามารถเข้าถึงแอลกอฮอล์ได้ เส้นที่รัฐธรรมนูญขีดไว้เป็นเพียงอุดมคติ ในฐานะเยาวชนไทยผู้ซึ่งถูกเรียกว่าอนาคตของชาติ ดิฉันมีความกังวลใจเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับการเพิ่มตัวของร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ขัดกับความหนักแน่นของรัฐธรรมนูญ”นอกจากนั้นแล้ว นักศึกษาแพทย์ เขมจิรา ยังให้ข้อคิดเห็นที่น่าสนใจว่า “เป็นที่ทราบกันดีว่า แอลกอฮอล์นั้นสามารถเป็นต้นเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ และการทำร้ายร่างกาย ดิฉันเชื่อว่า เยาวชนทุกคนมีสิทธิในการอาศัยอยู่ในประเทศนี้อย่างปลอดภัย ปลอดภัยในที่นี้รวมทั้งสุขภาพกาย จิตและการอยู่อาศัย แต่ปัจจุบันสังคมและสื่อกำลังสนับสนุนภาพลักษณ์ของการดื่มแอลกอฮอล์ในทางบวก สร้างความสวยงามและความหรูหราในยาพิษ นั้นเปรียบเสมือนว่าสังคมกำลังค่อยๆ ละเมิดสิทธิของพวกเราที่ต้องการเติบโตขึ้นอย่างปลอดภัย” นักศึกษาแพทย์ เขมจิรา เจ๊ะบา ทิ้งท้ายไว้ว่า “ดิฉันขอเป็นตัวแทนของเยาวชนเพื่อส่งสาสน์ถึงผู้ใหญ่หรือรัฐบาลในการเรียกร้องสิทธิที่พวกเราควรได้รับความปลอดภัยที่เป็นพื้นฐาน สังคมที่ดีและสุขภาพที่มั่นคง”

 

งานวิจัยที่อ้างอิง:
Vichitkunakorn P, Assanangkornchai S, Thaikla K, Buya S, Rungruang S, Talib M, Duangpaen W, Bunyanukul W, Sittisombut M. Alcohol outlet density and adolescent drinking behaviors in Thailand, 2007-2017: A spatiotemporal mixed model analysis. PLoS One. 2024 Oct 31;19(10):e0308184. doi: 10.1371/journal.pone.0308184.

นักวิชาการชี้ โฆษณาเหล้าเบียร์มีผลให้คนเริ่มดื่มหรือดื่มมากขึ้น
https://cas.or.th/content?id=628


นักวิชาการชี้ โฆษณาเหล้าเบียร์มีผลให้คนเริ่มดื่มหรือดื่มมากขึ้น แนะการควบคุมโฆษณาแบบเบ็ดเสร็จมีประสิทธิภาพมากที่สุด การห้ามโฆษณาเพียงบางส่วนหรือการควคุมตนเองภาคสมัครใจของธุรกิจสุราไม่สามารถป้องกันการสัมผัสโฆษณาในเยาวชนได้

รศ.ดร.วิทย์ วิชัยดิษฐ นักวิชาการ ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) และอาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า ปัจจุบัน เด็กและเยาวชนทั่วโลกได้รับสื่อโฆษณาและกิจกรรมการตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่องในระดับสูงและเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ อุตสาหกรรมแอลกอฮอล์มีการขยายฐานลูกค้ามุ่งเป้าไปกลุ่มเยาวชน และกลุ่มผู้หญิง โดยพยายามจะเน้นไปที่ความสำคัญของการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในการสร้างบุคลิกลักษณะความเป็นตัวตนหรืออัตลักษณ์ของเยาวชน เนื้อหาการโฆษณาจึงได้รับการออกแบบเพื่อนำเสนอความตลกขบขัน ความคิดที่น่าสนใจ ภาพลักษณ์ สำนวน ถ้อยคำและสิ่งอื่นๆ ที่ใช้ได้ในการพูดคุยสื่อสารระหว่างเพื่อน เพื่อให้เยาวชนใช้สร้างอัตลักษณ์ที่สอดคล้องกัน หลักฐานทางวิชาการในปัจจุบันบ่งชี้อย่างชัดเจนว่า โฆษณาหรือกิจกรรมการตลาดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลต่อการดื่ม มีการสรุปข้อมูลจากการทดลองในนักศึกษา ที่ให้ดูโฆษณาแอลกอฮอล์เทียบกับโฆษณาอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งพบว่า การดูโฆษณาแอลกอฮอล์มีผลเพิ่มเจตนาและพฤติกรรมการดื่มชัดเจน การเก็บข้อมูลระยะยาวในประชาชนทั่วไปก็ชี้ว่า การโฆษณามีผลทบต้น ยิ่งได้รับโฆษณาซ้ำๆ กันมากเท่าไหร่ ยิ่งมีพฤติกรรมการดื่มมากขึ้นเท่านั้น ในเยาวชนและคนหนุ่มสาว การได้รับโฆษณามีผลต่อการเริ่มดื่มในผู้ที่ไม่เคยดื่ม และการดื่มหนักในผู้ที่ดื่มอยู่แล้ว

ดร.วิทย์ กล่าวเสริมอีกว่า ในตลาดที่กำลังเติบโต การพยายามเปลี่ยนให้ผู้ที่ไม่ดื่มกลายเป็นนักดื่ม ถือเป็นหน้าที่สำคัญของการตลาดของธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เลยทีเดียว และการตลาดแนวนี้จะพยายามสร้างการยอมรับการดื่มให้กลายเป็นบรรทัดฐานสังคมในหลายวาระโอกาส ถ้าอิงตามทฤษฎีกระบวนการตีความสาร จะเห็นว่า การได้รับสารจากการตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซ้ำๆ สารที่ผู้นั้นรับรู้ว่าเชื่อมโยงกับตนเอง จะค่อย ๆ ซึมลึกลงไปสู่ความรู้สึกนึกคิดของผู้รับสาร ทำให้มันพร้อมที่จะโผล่ออกมาในความนึกคิดได้ง่ายขึ้น หากอยู่ในภาวะที่ต้องตัดสินใจ กระบวนการนี้ คือกระบวนการสร้างบรรทัดฐาน หรือทำให้คนมองว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีอยู่อย่างแพร่หลายเป็นเรื่องธรรมดา (normalization) และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตปกติ ซึ่งเป็นการรับรู้ที่น่ากลัว และมีผลต่อพฤติกรรมของประชาชนในอนาคต ซึ่งกระบวนการเหล่านี้เกิดขึ้นช้า ๆ และค่อยๆ สะสมมาเรื่อย ๆ จนผู้ที่ได้รับสื่อโฆษณาแทบจะไม่รู้ตัวว่า โฆษณามีผลต่อความรู้สึกนึกคิดของตนเพียงไร

ในด้านการควบคุมโฆษณาการตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ร.ศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ แซ่โง้ว นักวิชาการ ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) และอาจารย์ประจำสำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กล่าวว่า ในยุคปัจจุบันที่มีการใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียอย่างแพร่หลาย ทำให้เป็นการยากที่จะควบคุมการเข้าถึงโฆษณาของกลุ่มเยาวชนได้หากไม่ได้รับความร่วมมือจากแพล็ตฟอร์มผู้ให้บริการโซเชียลมีเดียเอง การทบทวนงานวิจัยเกี่ยวกับการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทางโซเชียลมีเดีย พบว่า การกดไลค์ กดแชร์ การคลิกดูโฆษณา หรือการเข้าชมเว็บไซต์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น มีความสัมพันธ์ชัดเจนกับการเพิ่มการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่น่าเป็นห่วง คือ การครอบครองสินค้า ของใช้ ของที่ระลึกที่มีตราสัญลักษณ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นที่นิยมในประเทศไทยในช่วงหลายปีมานี้จากการเข้าเป็นผู้สนับสนุนของทีมกีฬาโดยเฉพาะกีฬาฟุตบอลของธุรกิจแอลกอฮอล์ การศึกษาในประชาชนในประเทศไทยเองก็พบว่า ประชาชนที่ใช้สินค้าที่มีตราผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์มีโอกาสดื่มหนักมากกว่าประชาชนที่ไม่ใช้สินค้ามีตราดังกล่าว นอกจากนี้ การศึกษาวิจัยของทีมวิจัยเราเองซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลกลุ่มตัวอย่าง 89,154 คน จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติก็พบความสัมพันธ์เช่นเดียวกันกับการศึกษาในต่างประเทศ คือ ผู้ที่พบเห็นการโฆษณาแอลกอฮอล์มีโอกาสเป็นผู้ดื่มเพิ่มขึ้น 16% และมีโอกาสเป็นผู้ดื่มหนักเพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้พบเห็นการโฆษณา และในกลุ่มคนที่เป็นนักดื่มอยู่แล้วการพบเห็นโฆษณาจะเพิ่มโอกาสในการดื่มหนักขึ้นถึง 51%

นพ.อุดมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ข้อมูลจากการศึกษาวิจัยที่ยกมาเป็นตัวอย่างนี้มีข้อมูลทั้งจากของต่างประเทศและประเทศไทยเอง จึงย้ำให้เห็นได้ชัดว่า การทำการโฆษณาการตลาดซึ่งมีเทคนิคหลากหลายส่งผลต่อการกระตุ้นการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งสิ้น ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารแพร่ผ่านกันได้ทางออนไลน์ การควบคุมการเข้าถึงโฆษณาหรือกิจกรรมการตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เฉพาะกลุ่มประชากร รวมทั้งการควบคุมเฉพาะเนื้อหานั้นทำได้ยาก หรือในทางปฏิบัติอาจจะทำไม่ได้เลย การศึกษาในต่างประเทศในเรื่องด่านตรวจอายุในแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างเช่น ยูทูป ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม ก็ยังพบว่า เทคโนโลยีในการระบุอายุของผู้เข้าชมไร้ประสิทธิภาพ หากต้องการปกป้องเยาวชนจากการถูกจูงใจให้บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การยังคงการควบคุมโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบครบวงจรหรือการควบคุมแบบเบ็ดเสร็จจะส่งผลต่อการปกป้องเยาวชนได้ดีกว่าการควบคุมบางส่วน หรือการควบคุมภาคสมัครใจโดยภาคธุรกิจควบคุมกันเอง

ไหวไหมประเทศไทย กับการเปิดผับบาร์ถึงตี 4 !?
https://cas.or.th/content?id=634


ไหวไหมประเทศไทย กับการเปิดผับบาร์ถึงตี 4 ⁉️

ดร.นพ.มูฮัมมัดฟาห์มี ตาเละ
นักวิชาการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา
อาจารย์ประจำคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

 

_____
เช้านี้ดูข่าวที่น่าหดหู่ใจ กับการเสียชีวิตของหนุ่มนักเที่ยวคนหนึ่ง ที่จังหวัดภูเก็ต เหตุเกิดในช่วงเวลา ตี 4 พอดีเป๊ะ ผู้เสียชีวิตที่เมาหมดสตินอนกลิ้งบนถนน และถูกรถยนต์ที่ขับด้วยความเร็วชนจนเสียชีวิต ทั้ง ๆ ที่รอบข้างนั้นมีเพื่อน ๆ รายล้อมอยู่หลายคน

การเสียชีวิตก่อนวัยอันควรไม่ว่าด้วยสาเหตุใดล้วนเป็นเรื่องน่าเสียใจ ยิ่งกรณีเช่นนี้ที่มีเพื่อนอยู่ในเหตุการณ์หลายคนคงน่าสะเทือนมากยิ่งขึ้น

การขยายเวลาปิดสถานบันเทิงในไทย ทำให้นักเที่ยวดื่มได้มากขึ้น มีโอกาสเมาเพิ่มขึ้น ยิ่งดึกร่างกายยิ่งเหนื่อยล้า บวกกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ โอกาสของอุบัติเหตุและเหตุไม่คาดฝันเพิ่มขึ้นเสมอ ตัวเลขจากการวิจัยในต่างประเทศไม่ว่าจะเป็น ประเทศออสเตรเลีย ไอซ์แลนด์ แคนาดา นอร์เวย์ และเนเธอแลนด์ ล้วนไปในทางเดียวกันว่าการผ่อนคลายให้มีการเพิ่มเวลาในการดื่มแบบนั่งดื่มที่ร้าน มีผลเสียด้านอุบัติเหตุ ความรุนแรง อาชญากรรม เพิ่มขึ้น ไม่รู้ว่าส่วนที่ได้มานั้นคุ้มค่ากับความเสียหายที่เกิดขึ้นหรือไม่

อย่างกรณีที่เอามาเล่าประกอบข่าวนั้น คนขับรถที่ขับรถมาอย่างถูกต้องอย่างน้อยก็ต้องเป็นผู้เสียหาย ในฐานะที่ขับรถชนผู้เสียชีวิตที่เมาหมดสติกลางถนนไปแล้ว เหล้าที่เข้าปากคนหนึ่งคนจึงส่งผลกระทบทั้งต่อคนที่ดื่มและไม่ดื่ม

ถ้าสถานการณ์กลับกัน เป็นคนดื่มเหล้าจนเมามายหมดสติเป็นคนขับรถเสียเอง และไล่ชนชาวบ้านชาวช่องที่ทำมาหากินสุจริตในช่วงเช้าของวัน เรื่องน่าเศร้าจะเศร้าแบบทวีคูณเลยครับ อย่าปล่อยให้ถึงขั้นนั้นเลย สำรวจความพร้อมของบ้านเมืองก่อนได้ไหม ก่อนจะปล่อยให้ผับเปิดถึงตีสี่ทั่วประเทศ

 

นักวิชาการต่างประเทศชี้ ยิ่งลดระดับความเข้มข้นของ กม. เสี่ยงดื่มเพิ่ม เจ็บตายเพิ่ม สูญเสียทางเศรษฐกิจเพิ่ม แนะ!! ไทยควรมีกฎในการปกป้องผู้เยาว์ และกลุ่มเปราะบาง
https://cas.or.th/content?id=635

 

 

 

นักวิชาการต่างประเทศชี้ ยิ่งลดระดับความเข้มข้นของ กม. เสี่ยงดื่มเพิ่ม เจ็บตายเพิ่ม สูญเสียทางเศรษฐกิจเพิ่ม แนะ‼️ ไทยควรมีกฎในการปกป้องผู้เยาว์ และกลุ่มเปราะบาง

เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ Professor Jϋrgen Rehm ที่ปรึกษาองค์การอนามัยโลกด้านแอลกอฮอล์ นักวิจัยอาวุโส สถาบันวิจัยนโยบายสุขภาพจิต มหาวิทยาลัยโตรอนโต ประเทศแคนาดา ให้สัมภาษณ์กับศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) ในกรณีที่ว่า “จะเกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย หากลดการควบคุมการตลาดและการขายแอลกอฮอล์?”

Professor Jϋrgen กล่าวว่า ผมขออ้างถึงผู้ได้รับรางวัลโนเบล ได้แก่ Angus Deaton ที่ศึกษาว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจทำให้สังคมมีชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างไร ซึ่งเป็นการศึกษาในอังกฤษและในยุโรป และในหนังสือเล่มนี้มีข้อความในหน้าหนึ่ง เขียนว่า “เหตุผลหนึ่งที่สหภาพโซเวียตล่มสลายเพราะขาดการควบคุมแอลกอฮอล์ ทำให้เศรษฐกิจชะลอการเติบโต และลดประโยชน์ที่สังคมพึงได้รับจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ” สิ่งที่กล่าวถึงนี้ค่อนข้างสุดโต่ง เพราะว่าตอนที่ Deaton ศึกษาและเขียนหนังสือเล่มนั้น สหภาพโซเวียตมีระดับการบริโภคแอลกอฮอล์ค่อนข้างสูง และเป็นประเทศที่มีอัตราโรคติดสุราสูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง แต่ในอีกแง่หนึ่ง การไม่ควบคุมแอลกอฮอล์ก็เป็นเรื่องสุดโต่งเช่นกัน นั่นแปลว่า เราจำเป็นต้องมีการควบคุมแอลกอฮอล์บ้าง ไม่มีประเทศใดในโลกไม่เก็บภาษีแอลกอฮอล์ และมีแค่ไม่กี่ประเทศในโลกที่ไม่มีการจำกัดอายุผู้ซื้อแอลกอฮอล์ หรือให้เด็กอายุ 10 ขวบสามารถดื่มแอลกอฮอล์ได้โดยเสรีเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นผมคิดว่า การควบคุมในตอนนี้ของประเทศไทยก็ไม่ได้เป็นการควบคุมที่เข้มงวดจนกลายเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่ในทางกลับกันการลดระดับความเข้มงวดของการควบคุมแอลกอฮอล์ในประเทศไทย จะยิ่งเสี่ยงต่อการที่ประชาชนบริโภคแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น และนำไปสู่การเสียชีวิต เจ็บป่วย ภาระโรคเพิ่มขึ้น รวมถึงคุณภาพชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่จะส่งผลกระทบตามมา และส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจจากการสูญเสียอำนาจการผลิต การมีกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น เป็นการปกป้องประชาชน และการปกป้องประชาชนที่เกี่ยวกับแอลกอฮอล์นั้นมีพื้นฐานทางชีววิทยา เนื่องจากสมองมนุษย์จะไม่หยุดมีพัฒนาการจนกว่าจะอายุเกิน 20 ปี และสมองนั้นมีโอกาสได้รับผลกระทบจากแอลกอฮอล์ค่อนข้างมากในช่วงที่อายุต่ำกว่า 20 ปี ดังนั้น ประเด็นหลักคือ ประเทศควรมีกฎ และควรมีการปกป้องผู้เยาว์ และปกป้องประชากรกลุ่มเปราะบาง นี่คือหน้าที่ของสังคม Professor Jϋrgen กล่าว

เมื่อรัฐบาล จะลดภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์!?
https://cas.or.th/content?id=654

“ความวัว” ยังไม่ทันจะจางหายไป แล้ว “ความควาย” กำลังจะเข้ามาทับถม เริ่มจากรัฐบาลปัจจุบัน ได้ประกาศปลดล็อค ให้สถานบริการในโรงแรม และนอกโรงแรมของ 5 พื้นที่นำร่อง สามารถขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้ถึงเวลาตี 4 แล้วถัดมาไม่กี่วัน กรมสรรพสามิตเผยว่าอยู่ในระหว่างปรับโครงสร้างภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้มีความเหมาะสม เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศ จึงเสนอให้รัฐบาลลดภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเน้นการลดภาษีไวน์ และสุราชุมชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวให้กระจายทั่วไทย

ในทางวิชาการนั้น หลักการเก็บภาษีจากผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็น “ทำนบกั้น” มิให้ปัญหา ต่าง ๆ ลุกลาม ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกประเทศล้วนต้องจำกัดปัญหาต่อสังคมจากการขายและการดื่ม ถ้ารัฐบาลจะลดทำนบนั้นลง โดยลดภาษีให้แก่ผู้ผลิต ประชาชนเราทั่วไป เดาได้ไม่ยากเลยว่า ราคาขายปลีก ย่อมลดลง แล้วผลลัพธ์อันไม่พึงประสงค์จะมีตามมา อย่างไรบ้าง

ผลการศึกษาในต่างประเทศ เช่น ฟินแลนด์ กับ เดนมาร์ก ภายหลังปรับลดภาษีเหล้า เบียร์ ไวน์ 45% ปรากฏว่า ราคาขายได้ลดลงไป 25% คนในประเทศฟินแลนด์ มีการดื่มเพิ่มขึ้น 10% เพราะราคาขายปลีกถูกลง ส่วนคนในประเทศเดนมาร์ก มีการดื่มเท่าเดิม ซึ่งดูเหมือนว่า จะมีการอิ่มตัวของการบริโภคในเดนมาร์ก แต่ถ้าเราตีความจากผลการศึกษาในเดนมาร์ก ให้พึงนึกถึงบริบทวัฒนธรรมการกินดื่มในยุโรปหลายประเทศนั้น ต่างจากในไทยเราอย่างสิ้นเชิง

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในรอบ 4 ปีมานี้ พบว่า คนไทยมีผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 30% อีก 70% ไม่ได้ดื่ม คือ อาจเคยดื่มและเลิกแล้ว หรือไม่ดื่มเลย ที่น่าสนใจคือ ไทยเรามีนักดื่มหน้าใหม่ ที่อายุ 15 ปีขึ้นไปมากขึ้น อย่างในปี 2564 มีราว ๆ 1.4 ล้านคน ที่น่าตกใจกว่านั้น วัยรุ่นหญิงที่ดื่มในปัจจุบัน มีจำนวนเพิ่มขึ้น

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในทางเศรษฐศาสตร์นั้นเป็นสิ่งที่ผู้ซื้อ ไม่ได้สนใจราคามาก คือ ยามต้องการจะดื่ม แม้ราคาสูงขึ้น ก็ยินดีซื้อกินดื่ม แล้วถ้ายิ่งรัฐบาลจะลดภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยแล้ว ราคาขายปลีกจะถูกลง ย่อมมีผลจูงใจผู้ซื้ออย่างเยาวชน และผู้มีรายได้น้อย ให้ซื้อดื่มมากขึ้นไปอีก

ทำไมรัฐจึงไม่ห่วงใยสุขภาพและความปลอดภัยแก่สาธารณชนโดยรวมเลย แล้วไทยเรายังมีกรอบใหญ่อีกอันรออยู่ คือ กลุ่มประเทศยุโรป (EU) กำลังขอเจรจาเปิดเสรีการค้ากับไทย ซึ่งถ้าผลการเจรจาตกลงแล้วเสร็จ โดยไม่มีการยกเว้นสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ออกจากกรอบข้อตกลงการค้าเสรี สินค้าผ่านแดนเข้า-ออก ระหว่างไทยกับยุโรป อัตราภาษีจะเป็น 0% หรือ บางรายการเก็บในอัตราที่ต่ำมากในอนาคต รวมถึงไวน์กับเหล้า ที่รอหลากทะลัก เข้ามายังไทยอีกมากมาย

ที่น่ากังวลในทางสาธารณสุข คือ สถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจมีผู้ท้วงว่า การลดภาษีลง ราคาขายปลีกลดลง แล้วถ้าไม่ได้มีอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น ก็จะไม่เป็นปัญหาอันใด ซึ่งก็จริง แต่ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นเล่า ผลจะเป็นอย่างไร ไทยเรามีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน ปีละ 2 หมื่นคน แล้ว 1 ในสาเหตุนั้น เกิดจากการเมาแล้วขับ มีคนตายประมาณ 1,000–2,000 คน และได้รับบาดเจ็บอีกหลายพันคนต่อปี แล้วยังต้องสูญเสียทรัพย์สิน และสร้างภาระต่อเนื่องไปยังสมาชิกครอบครัวผู้อยู่ข้างหลังในระยะยาว

ดูผิวเผิน รัฐบาลมีเจตนาต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มการจ้างงานและรายได้ ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์นั้น มีอยู่หลายวิธี แต่ครั้นดูจากรายงานข่าว น่าประหลาดที่รัฐบาลจะเลือกวิธีกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวกินดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทยมากขึ้น และ แน่นอนว่าคนไทยเราเอง ย่อมดื่มเพิ่มขึ้นด้วย เพราะราคาถูกลง แล้วเช่นนั้น สังคมไทยจะต้องแลกอะไรบ้างกับนโยบายนี้ อย่างแรก รัฐจะเสียรายได้บางส่วนอันควรได้จากภาษี ต่อมา ถ้ามีผู้มึนเมาแล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้น มีผู้ได้รับความเสียหาย ย่อมเกิดภาระยุ่งยากแก่หลายฝ่ายตามมา

คนไทยเราได้รับความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากกองทุนประกันสังคม และสิทธิ์เบิกจ่ายข้าราชการ กลุ่มนี้มีจำนวนรวม 28% เท่านั้น อีก 70% ได้รับสิทธิ์หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า คือได้รักษาฟรี 16 อาการ ซึ่ง 1 ในนั้น เป็นการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เหตุเกิดที่ใด ให้เข้ารักษาโรงพยาบาลใกล้จุดนั้น เพื่อเยียวยาเบื้องต้น แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ประสบเหตุจะถูกส่งไปรักษาต่อ ในโรงพยาบาลที่ผู้นั้นได้ลงทะเบียนไว้แต่แรก โดยรัฐออกค่าใช้จ่ายเบื้องต้นให้ มีบางรายการที่ผู้ประสบเหตุต้องจ่ายเอง เช่น ค่าสแกนสมอง แล้วยังต้องแบกรับภาระการรักษาต่อเนื่อง การกายภาพบำบัด ความพิการ การสูญเสียหน้าที่การงาน หรือ แม้กระทั่งเสียชีวิต ซึ่งเป็นต้นทุนที่ต้องสูญไปไม่น้อยแก่ครอบครัวเลย

ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา รัฐบาลในอดีตเน้นการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อปกป้องสุขภาพและความปลอดภัยต่อสาธารณชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนาคตของเยาวชนและการป้องกันปัญหาดื่มเมาแล้วขับ การตัดสินใจของรัฐบาลปัจจุบัน ด้วยการหย่อนการควบคุมลง ย่อมนำพาให้เกิดการสูญเสียทางสังคมเพิ่มมากขึ้นไปอีก ประชาชนชาวบ้านอาจเกิดคำถามในใจว่า โดยเนื้อในหวังเพียงเพิ่มพูนรายได้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจเหล่านี้ โดยห่อหุ้มด้วยคำว่า “เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวไทย” รัฐบาลควรทบทวนว่า ประชาชนไทยส่วนใหญ่ คิดเห็นกันอย่างไร และสนับสนุนนโยบายลดทอนการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่ทยอยออกมากันเช่นนี้ จริงหรือไม่

____________
โดย…
ผศ.ดร.สมัย โกรทินธาคม
ดร.นัฐพร โรจนหัสดิน
คณะเศรษฐศาสตร์ และคณะทำงาน ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.)

Centre for Alcohol Studies (CAS)

สาขาวิชาเวชศาสตร์ครอบครัวและเวชศาสตร์ป้องกัน อาคารศรีเวชวัฒน์ ชั้น 11 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เลขที่ 15 ถนนกาญจนวนิช ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 90110

083-5775533

https://www.facebook.com/cas.org.th

เข้าชมแล้ว 0 ครั้ง
Copyright © 2025 CAS All rights reserved.