คำค้นหา : ผู้หญิง

คำนี้ค้นหามาแล้ว : 342 ครั้ง
นักวิชาการ เตือนทุก 10 วินาที มีคนตายจากน้ำเมา 1 คน ชี้ “แอลกอฮอล์” ปัจจัยเร่งป่วยโรค NCDs เกินครึ่งป่วยไม่รู้ตัว
https://cas.or.th/content?id=1035

นักวิชาการ เตือนทุก 10 วินาที มีคนตายจากน้ำเมา 1 คน ชี้ “แอลกอฮอล์” ปัจจัยเร่งป่วยโรค NCDs เกินครึ่งป่วยไม่รู้ตัว สร้างความเสี่ยหายทางเศรษฐกิจ 1.65 แสนล้านบาท สสส.-ศวส. หนุนมาตรการป้องกันที่เหมาะสมกับบริบทพื้นที่-บูรณาการทุกภาคส่วน หวังลดผลกระทบจากน้ำเมา

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 11 ธ.ค. 2568 ที่โรงแรมเบสเวสเทิร์น กรุงเทพฯ ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) ร่วมกับ สมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อแห่งประเทศไทย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเวทีสาธารณะ “แอลกอฮอล์ : ตัวเร่งโรค NCDs และทางออกเพื่อปกป้องสุขภาพคนไทย”

โดย ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุน สสส. เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังก้าวสู่ “ภาวะวิกฤต NCDs” จากโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และพฤติกรรมเสี่ยง โดยเฉพาะการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งสร้างภาระทั้งด้านสุขภาพและเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง เฉพาะปี 2564 ไทยสูญเสียทางเศรษฐกิจกว่า 165,450 ล้านบาท และเกือบ 80% ของคนไทย เคยได้รับผลกระทบจากการดื่มของผู้อื่น ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และครอบครัว แอลกอฮอล์ได้ถูกจัดให้เป็นสารก่อมะเร็งกลุ่มที่ 1 เชื่อมโยงกับมะเร็งอย่างน้อย 8 ชนิด ได้แก่ มะเร็งช่องปาก กล่องเสียง คอหอย เต้านม (ในผู้หญิง) หลอดอาหาร ลำไส้ใหญ่/ทวารหนัก ตับ และตับอ่อน

“แต่ที่น่ากังวลจากงานวิจัยของศวส. สำรวจประชาชนไทย 3,924 คน จาก 12 จังหวัดทั่วประเทศ ในปี 2568 พบคนไทยกว่า 90% ไม่รู้ว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อมะเร็งได้ สะท้อนความจำเป็นของการสื่อสารความเสี่ยงที่ถูกต้องและทันต่อสถานการณ์ เพราะปัญหานี้ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นภารกิจร่วมของทั้งสังคม ทุกคนจึงควรช่วยกันสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ภาระโรคจะลดลง และคุณภาพชีวิตของคนไทยจะดีขึ้นอย่างยั่งยืน” ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าว

รศ.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช อาจารย์ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า จากการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย โดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 7 ปี2567-2568 พบว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา จำนวน 17.1 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ ดื่มอย่างหนัก 7.7 ล้านคน หรือ 45% ส่วนอัตราการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยในทุกกลุ่มอายุ แต่เป็นที่น่าสังเกตคือ แนวโน้มการดื่มในกลุ่มวัยรุ่นมีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันระหว่างวัยรุ่นชายและหญิง ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มวัยผู้ใหญ่หรือสูงอายุที่พบว่า เพศชายมักจะมีอัตราการดื่มสูงกว่าเพศหญิง ความแตกต่างของความชุกของการดื่มระหว่างชายและหญิงมีแนวโน้มแคบลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งใกล้เคียงกับสถานการณ์ในประเทศแถบยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งความเชื่อ หรือการมองว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสิ่งช่วยในการเข้าสังคม หรือความเท่าเทียม

“ในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ยังมีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสัดส่วนที่สูง และคนที่ยังดื่มส่วนมากไม่รู้ตัวว่าป่วยเป็นโรคเรื้อรังแล้ว เช่น ผู้ป่วยเบาหวานที่ยังดื่มแอลกอฮอล์1.4 ล้านคน ในจำนวนนี้ ยังไม่รู้ตัวเองว่าป่วยเป็นเบาหวาน 5.9 แสนคน และผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ยังดื่มแอลกอฮอล์ 4.8 ล้านคน ในจำนวนนี้ ยังไม่รู้ตัวเองว่าป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง 3.1 ล้านคน ซึ่งการดื่มแอลกอฮอล์จะส่งผลเสียต่อการควบคุมโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ยังพบว่าคนที่ดื่มแอลกอฮอล์มีระดับค่าเอนไซม์ตับที่ผิดปกติสูงกว่าคนที่ไม่ดื่มโดยเฉลี่ย 3-5 เท่า และมีระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ที่สูงขึ้นโดยเฉลี่ย 1-2 เท่า ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด” รศ.พญ.เริงฤดี กล่าว

ด้าน รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร ผู้อำนวยการ ศวส. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า คนไทยดื่มแอลกอฮอล์สูงเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน และเป็นอันดับ 1 ของประเทศรายได้ปานกลางระดับบน ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 ร่วมกับการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย โดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 7 ชี้ตรงกันว่า ปัญหาการดื่มแอลกอฮอล์ของคนไทยยังคงสูงมาก ปัจจุบันคนไทยเริ่มดื่มเร็วขึ้น มีอายุเฉลี่ยที่ดื่มครั้งแรกอยู่ที่ 19.9 ปี สะท้อนว่า “ผู้หญิงและเยาวชน” กลายเป็นกลุ่มเปราะบาง และเป้าหมายทางการตลาดของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นพื้นที่ที่มีอัตราการดื่มสูงที่สุดเมื่อเทียบกับภาคอื่น ความแตกต่างนี้ชี้ให้เห็นว่ามาตรการควบคุมต้องตอบโจทย์บริบทแต่ละพื้นที่ควบคู่ไปกับนโยบายระดับชาติ

“ทุก 10 วินาที มีคนตายจากแอลกอฮอล์ 1 คน หากยังปล่อยให้การดื่มเป็นเรื่องปกติ ความสูญเสียจะทวีขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ภาระโรคที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ในไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มากกว่า 1 ใน 10 ของการตาย หรือปีสุขภาวะที่สูญเสีย (DALYs) เกิดจากแอลกอฮอล์ ทั้งก่อให้เกิดการบาดเจ็บ และป่วยจากโรค NCDs เช่น โรคหัวใจ-หลอดเลือด โรคตับ และมะเร็งหลายชนิด โดยเฉพาะผู้ชายที่มีอัตราเสียชีวิตสูงกว่าผู้หญิงอย่างชัดเจน ดังนั้น ไทยจำเป็นต้องมีมาตรการควบคุมแอลกอฮอล์ที่เข้มแข็งขึ้น พร้อมบูรณาการการทำงานทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ นักวิชาการ แพทย์ ภาคประชาชน และชุมชน เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนในระยะยาว และลดภาระ NCDs ที่กำลังทวีความรุนแรง” ผู้อำนวยการ ศวส. กล่าว

------------------------------
เวทีสาธารณะ “แอลกอฮอล์: ตัวเร่งโรค NCDs และทางออกเพื่อปกป้องสุขภาพคนไทย”
เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 ณ โรงแรมเบสเวสเทิร์น จตุจักร กรุงเทพฯ

 

ภาระของผู้ดูแล ผู้ใกล้ชิดของนักดื่ม ภัยเหล้ามือสองที่คนไทยมองข้าม
https://cas.or.th/content?id=1032

ภาระของผู้ดูแล ผู้ใกล้ชิดของนักดื่ม ภัยเหล้ามือสองที่คนไทยมองข้าม

 

โดย ผศ.ดร.จิราลักษณ์ นนทารักษ์
คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ผลกระทบเชิงลบจากภัยเหล้ามือสอง หรือผลกระทบจากการดื่มของผู้อื่นแม้จะไม่ได้ร่วมดื่มด้วย อาจจะส่งผลกระทบกับบุคคลในครอบครัว เช่น ลูกหลาน สามี/ภรรยา พี่น้อง พ่อ แม่ ญาติ หรืออาจเป็นบุคคลที่ท่านรู้จักคุ้นเคยเป็นอย่างดี เช่น เพื่อน เพื่อนร่วมงาน หรือคนในชุมชนเดียวกัน รวมไปจนถึงเป็นคนแปลกหน้าที่ท่านไม่เคยรู้จักมาก่อน ผลกระทบเหล้ามือสองนั้นส่งผลกระทบเป็นวงกว้างและสร้างปัญหาหรือภาระแก่ผู้อื่นได้หลากหลายเหตุการณ์ ทั้งผลกระทบระยะสั้นและระยะยาว หลายระดับความรุนแรง ตั้งแต่การสร้างความเดือดร้อนรำคาญใจ จนถึง กรณีที่รุนแรงจนถึงความรุนแรงต่อทรัพย์สิน ร่างกาย และชีวิต ตลอดจนเชื่อมโยงไปถึงความสงบสุข ความปลอดภัยและความเรียบร้อยของสังคม

หนึ่งในผลกระทบที่นักดื่มหรือคนใกล้ชิดอาจมองข้าม คือ ภาระของผู้ดูแลนักดื่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่นั่งดื่มด้วยกัน และคนที่ไม่ได้ร่วมดื่มด้วย ผลการศึกษาจากงานวิจัยโครงการ WHO–ThaiHealth เรื่อง “Association between caring for drinkers and the sociodemographic factors of caregivers in Thailand: data from the WHO-ThaiHealth project” พบว่า ภาระที่มองไม่เห็นของคนรอบตัวนักดื่มในประเทศไทยในรอบปีที่ผ่านมา เกือบ “ครึ่งหนึ่ง” ของคนไทยที่สำรวจ เคยดูแลหรือช่วยเหลือนักดื่ม สิ่งที่ผู้ดูแลต้องช่วยนักดื่ม คือ ต้องเก็บกวาดหรือทำความสะอาดหลังดื่ม (ประมาณร้อยละ 30) ต้องไปรับไปส่งหรือขับรถให้ (ประมาณร้อยละ 20) หรือบางส่วนต้องดูแลเด็กหรือคนในครอบครัวแทนนักดื่ม ผู้ชายมีภาระต้องดูแลนักดื่มมากกว่าผู้หญิง กลุ่มวัยทำงานตอนต้นมีสัดส่วนในการดูแลนักดื่มมากที่สุด และมากกว่าร้อยละ 75 ของนักดื่มที่ดื่มมากกว่า 5 ดื่มมาตรฐาน (หรือเทียบเท่า เบียร์ 5 กระป๋อง) มีแนวโน้มต้องดูแลนักดื่มมากกว่ากลุ่มที่ไม่ดื่ม ผู้ดูแลหรือผู้ใกล้ชิดใช้เวลาในการดูแลนักดื่มโดยเฉลี่ยประมาณ 4 ชั่วโมงต่อครั้งต่อการดื่ม เหตุการณ์ที่ใช้เวลาดูแลนานที่สุด คือ การดูแลลูกของนักดื่ม และลูกของเพื่อนนักดื่มที่เพิ่มขึ้น ใช้เวลาโดยเฉลี่ย 16 ชั่วโมง หรือเกือบ 1 วัน เวลาในการดูแลสมาชิกในครอบครัวของนักดื่มโดยเฉลี่ย 4 ชั่วโมง และผู้หญิงมีภาระในการดูแลนักดื่มมากกว่าผู้ชายเล็กน้อย

จะเห็นได้ว่า ภาระในการดูแลของนักดื่ม อาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ดูแลทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ นอกจากนี้ ภาระในการดูแลนักดื่มเพิ่มขึ้นจากการดื่มหนักของนักดื่ม และยิ่งดื่มมาก ยิ่งมีแนวโน้มในการเพิ่มภาระให้กับผู้ดูแล ดังนั้น มาตรการในการป้องกันและควบคุมผลกระทบเชิงลบจากการดื่มเหล้าของผู้อื่น ต้องคำนึงถึงมาตรการการป้องกันและควบคุมผลกระทบเชิงลบในรูปแบบที่ไม่เป็นทางการ เช่น การสร้างความตระหนักถึงภาระของผู้ดูแลนักดื่ม “ลดการดื่ม ลดภาระของผู้ดูแลนักดื่ม” เป็นต้น เนื่องจากการดูแลคนในครอบครัว หรือสมาชิกในบ้านเป็นค่านิยมในสังคมไทย และการดูแลคนในครอบครัว เพื่อนสนิท หรือญาติพี่น้อง เป็นเรื่องที่พึงกระทำ ดังนั้น มาตรการในการป้องกันผลกระทบจากเหล้ามือสองจะช่วยลดภาระของผู้ดูแลและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ดูแลต่อไป โดยเฉพาะในกลุ่มนักดื่มเอง กลุ่มวัยทำงานตอนต้น และผู้หญิง

ในบ้านที่มีเสียงดังจากความเมา ไม่มีเสียงหัวเราะของความสุขได้จริง
https://cas.or.th/content?id=1021
Tags : -

ในบ้านที่มีเสียงดังจากความเมา ไม่มีเสียงหัวเราะของความสุขได้จริง


 

 

ข่าวชายทำร้ายภรรยาในร้านไก่ทอดในจังหวัดนครราชสีมา กลายเป็นไวรัลภายในไม่กี่ชั่วโมง เพราะฝ่ายหญิงที่โดนทำร้ายนั้นหนีออกจากบ้านแล้ว และการร้องขอความเห็นใจจากทั้งแม่และลูกไม่ได้รับการตอบสนองจากพ่อเลย ที่มันไวรัลอย่างรวดเร็วไม่ใช่เพราะมันเป็นเรื่องแปลกใหม่ของสังคมไทย แต่เพราะผู้หญิงอีกนับล้านคนรู้สึกเช่นเดียวกันกับผู้ถูกกระทำในข่าว พวกเขาเข้าใจดีเกินไป ว่าความเจ็บปวดแบบนั้นคืออะไร

ประเทศไทยมีผู้หญิงจำนวนมากที่ต้องเผชิญกับความรุนแรงในครอบครัว ถูกตี ถูกผลัก ถูกข่มขู่ ถูกทำให้กลัว โดยคนที่เรียกตัวเองว่า “คนรัก” และในหลายกรณี “แอลกอฮอล์” คือฉากหลังที่คุ้นตาเกินไปของความรุนแรงเหล่านั้น

องค์การอนามัยโลก (WHO, 2021) ประเมินว่า ร้อยละ 80–90 ของเหตุความรุนแรงในครอบครัวทั่วโลก มีผู้ชายเป็นผู้กระทำ และมีความสัมพันธ์ชัดเจนระหว่างการดื่มแอลกอฮอล์กับโอกาสใช้ความรุนแรงในบ้าน ชายที่ดื่มมีแนวโน้มทำร้ายคู่รักมากกว่าชายที่ไม่ดื่มถึง 2–3 เท่า (Kearns et al., 2015; BMC Public Health, 2022)

ปัญหานี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องอารมณ์ หรือความเมาแต่มันคือ มายาคติเรื่องอำนาจของเพศชาย ความเชื่อที่ว่าผู้ชายมีสิทธิ์ควบคุมผู้หญิง มีสิทธิ์ลงโทษ มีสิทธิ์ใช้กำลัง และเมื่อเมา ก็ใช้คำว่า “เพราะเมา” เป็นข้ออ้างให้พ้นผิดจากสิ่งที่ตนตั้งใจทำ แต่ความจริงก็คือ “แอลกอฮอล์ไม่เคยสร้างปีศาจตัวใหม่” มันเพียงแค่ปลดล็อกสิ่งที่อยู่ในใจคนคนนั้นอยู่แล้ว และน่ากังวลใจอย่างยิ่งว่าสถาบันครอบครัวของไทยกำลังถูกคุกคามจากเรื่องนี้ ในสังคมที่ผู้หญิงถูกคาดหวังให้เลี้ยงลูก ดูแลบ้าน และยืนหยัดทำงาน แต่ในขณะเดียวกัน ยังต้องทนถูกทำร้ายในบ้านของตัวเอง นี่คือสัญญาณของความผิดปกติทางวัฒนธรรม ไม่ใช่แค่ปัญหาครอบครัว

เราต้องเลิกมองว่า “การดื่มในบ้าน” เป็นเรื่องปกติ เพราะในบ้านที่แอลกอฮอล์กลายเป็นเรื่องปกติ ความรุนแรงก็จะกลายเป็นเรื่องปกติไปด้วย สังคมที่ดีต้องปกป้องผู้หญิงให้พ้นจากความรุนแรง ไม่ใช่เพียงเพราะผู้หญิงอ่อนแอกว่า แต่เพราะความรุนแรงทุกครั้งที่เกิดขึ้นในบ้าน มันทำลายความอบอุ่นของบ้านนั้นทั้งชีวิต และในบ้านที่มีเสียงดังจากความเมา ไม่มีทางมีเสียงหัวเราะของความสุขได้จริงเลย

เอกสารอ้างอิง:

  1. World Health Organization (2021). Global status report on violence prevention.
  2. Kearns, M., Reidy, D., & Valle, L. (2015). The Role of Alcohol Policies in Preventing Intimate Partner Violence. Alcohol Research: Current Reviews.
  3. BMC Public Health (2022). Unhealthy alcohol use and intimate partner violence among men.

เรียบเรียงโดย ดร.นพ.มูฮัมมัดฟาห์มี ตาเละ
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานรินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

แอลกอฮอล์เป็นสารก่อมะเร็ง เพิ่มความเสี่ยง “โรคมะเร็ง” อย่างน้อย 8 ชนิด
https://cas.or.th/content?id=996
Tags : -

แอลกอฮอล์เป็นสารก่อมะเร็ง เพิ่มความเสี่ยง “โรคมะเร็ง” อย่างน้อย 8 ชนิด

“เหล้า” ไม่ใช่แค่ทำลายตับ แต่ยังทำลายดีเอ็นเอของคุณ องค์การอนามัยโลก (WHO) ยืนยันว่าแอลกอฮอล์เป็นสารก่อมะเร็ง เพิ่มความเสี่ยง “โรคมะเร็ง” อย่างน้อย 8 ชนิด แม้ดื่มแค่ “นิดเดียว” ก็ยังเพิ่มความเสี่ยง

มะเร็งที่เกี่ยวข้องกับการดื่ม ได้แก่:

  • มะเร็งช่องปาก
  • มะเร็งคอหอย
  • มะเร็งกล่องเสียง
  • มะเร็งหลอดอาหาร
  • มะเร็งเต้านม (ในผู้หญิง)
  • มะเร็งตับ
  • มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก
  • มะเร็งตับอ่อน

แต่คนไทยจำนวนมาก “ยังไม่รู้” ข้อเท็จจริงนี้เลย...

สถานการณ์การดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย 2564 VS 2567
https://cas.or.th/content?id=934

3 ปีผ่านไป คนไทยดื่มมากขึ้น!!

ผลจากการสำรวจของสำนักงานสถิติ ปี 2567 รายงานว่า จำนวนผู้ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ (นักดื่มปัจจุบัน; นักดื่มฯ ในรอบ 12 เดือนที่แล้ว) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 28.0 (16 ล้านคน) ในปี 2564 เป็นร้อยละ 35.2 (20.9 ล้านคน) ในปี 2567

1) ความชุก "นักดื่มหนัก" เพิ่มขึ้นทุกกลุ่ม

  • โดยรวมเพิ่มขึ้น 7.2%
  • ผู้ชายเพิ่มขึ้น 9.3%
  • ผู้หญิงเพิ่มขึ้น 5.9%

2) คนไทยเริ่มดื่มเร็วขึ้น

  • อายุเฉลี่ยที่เริ่มดื่มลดลงจาก 20.4 ปี → 19.9 ปี
  • ผู้ชายเริ่มดื่มเร็วขึ้นเฉลี่ย 0.5 ปี
  • ผู้หญิงเริ่มดื่มเร็วขึ้นเฉลี่ย 1 ปี

3) เด็กและเยาวชนดื่มมากขึ้น

  • วัย 15–19 ปี: ความชุกเพิ่มจาก 9.0% → 9.6%
  • วัย 20–24 ปี: ความชุกเพิ่มจาก 31.6% → 37.8%

พฤติกรรมดื่มเหล้าในไทยกำลังเปลี่ยนไปในทิศทางที่น่ากังวล โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและนักดื่มหนัก การเฝ้าระวังและการป้องกันจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการ

วิจัยใหม่ชี้! “แอลกอฮอล์” เชื่อมโยงกับมะเร็งตับอ่อน – เพิ่มอีกหนึ่งในกลุ่มมะเร็งที่แอลกอฮอล์มีส่วนเกี่ยวข้อง
https://cas.or.th/content?id=933

 

วิจัยใหม่ชี้! “แอลกอฮอล์” เชื่อมโยงกับมะเร็งตับอ่อน – เพิ่มอีกหนึ่งในกลุ่มมะเร็งที่แอลกอฮอล์มีส่วนเกี่ยวข้อง

ที่ผ่านมา แอลกอฮอล์ถูกจัดเป็นสารก่อมะเร็งกลุ่มที่ 1 โดยองค์การอนามัยโลก (IARC) ซึ่งหมายถึง มีหลักฐานชัดเจนในมนุษย์ว่าก่อมะเร็งได้ ปัจจุบันเราทราบดีว่า แอลกอฮอล์มีความเชื่อมโยงกับมะเร็งอย่างน้อย 7 ชนิด ได้แก่:

  • มะเร็งช่องปาก
  • มะเร็งคอหอย
  • มะเร็งกล่องเสียง
  • มะเร็งหลอดอาหาร
  • มะเร็งตับ
  • มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก
  • มะเร็งเต้านมในผู้หญิง

ล่าสุด! งานวิจัยขนาดใหญ่ระดับโลกที่ตีพิมพ์เมื่อพฤษภาคม 2025 วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้คนกว่า 2.4 ล้านคน ใน 30 ประเทศทั่วโลก พบว่า แอลกอฮอล์เชื่อมโยงกับ “มะเร็งตับอ่อน” อย่างมีนัยสำคัญ

ประเด็นสำคัญที่ค้นพบ:

  • ทุกๆ การเพิ่มแอลกอฮอล์ 10 กรัม/วัน (≈ 1 แก้วเครื่องดื่มมาตรฐาน) เสี่ยงมะเร็งตับอ่อนเพิ่มขึ้น 3%
  • ผู้หญิงที่ดื่ม 15–30 กรัม/วัน เสี่ยงเพิ่มขึ้น 12%
  • ผู้ชายที่ดื่ม 30–60 กรัม/วัน และ >60 กรัม/วัน เสี่ยงเพิ่มขึ้น 15% และ 36% ตามลำดับ
  • เบียร์และสุรา มีความสัมพันธ์กับมะเร็งตับอ่อนชัดเจน — แต่ ไวน์ ไม่พบความสัมพันธ์
  • ผลวิจัยสอดคล้องในกลุ่มประชากรยุโรป ออสเตรเลีย และอเมริกา — แต่ยังไม่ชัดเจนในเอเชีย

แล้วเราควรทำอย่างไร?

แม้มะเร็งตับอ่อนจะพบไม่บ่อยเท่ามะเร็งชนิดอื่น แต่กลับ อันตรายที่สุดชนิดหนึ่ง เพราะมักตรวจพบช้าและมีอัตราการเสียชีวิตสูง การลดหรืองดแอลกอฮอล์ คือวิธีป้องกันที่ “ไม่ซับซ้อนแต่ได้ผลจริง”

วันนี้เรารู้แล้วว่า — แอลกอฮอล์ไม่ใช่แค่เรื่องของตับหรืออุบัติเหตุ แต่คือ “ภัยเงียบที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งมากขึ้นเรื่อยๆ”

งานวิจัยชี้! ร้านขายเหล้าเยอะ วัยรุ่นดื่มมากขึ้น เด็กหญิงไทยเสี่ยงดื่มหนักเพิ่ม 23%
https://cas.or.th/content?id=28

งานวิจัยล่าสุดจากศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานวิจัยระบบสุขภาพ (สวรส.) ภายใต้การนำของหัวหน้าโครงการวิจัย รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เผยข้อมูลชัดเจนว่า ความหนาแน่นของร้านขายสุราส่งผลให้พฤติกรรมการดื่มของวัยรุ่นไทยพุ่งสูงขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นหญิงที่มีแนวโน้มดื่มหนักเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 23

งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567 โดยใช้ข้อมูลจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติและข้อมูลใบอนุญาตจากกรมสรรพสามิตระหว่างปี พ.ศ. 2550 ถึง 2566 ครอบคลุมกลุ่มวัยรุ่นไทยอายุ 15 ถึง 19 ปี จำนวนกว่า 10,000 คน

 

 

รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร หัวหน้าทีมวิจัยให้ความคิดเห็นว่า “ความหนาแน่นของร้านขายเหล้าใกล้บ้านเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้วัยรุ่นเข้าถึงแอลกอฮอล์ได้ง่าย ผลลัพธ์ คือ พฤติกรรมการดื่มฯ เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเด็กผู้หญิงที่มีการดื่มหนัก (binge drinking) เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 23 ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจ สำหรับวัยรุ่นชายก็เพิ่มโอกาสในการดื่มฯ สุราในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาเช่นกัน ประมาณร้อยละ 9”

การเข้าถึงแอลกอฮอล์ตั้งแต่วัยเยาว์อาจนำไปสู่ผลกระทบทางสุขภาพในระยะยาว ดังนั้น “ถึงเวลาแล้วที่ภาครัฐต้องพิจารณาควบคุมจำนวนร้านขายสุราอย่างเข้มงวด เพื่อลดการเข้าถึงแอลกอฮอล์ในกลุ่มเยาวชนและปกป้องอนาคตของพวกเขา” รศ.ดร.นพ.พลเทพ กล่าวเสริม

จากการศึกษาพบว่า จำนวนใบอนุญาตขายสุราต่อประชากร 1,000 คน ระหว่างปี พ.ศ. 2550 ถึง 2566 มีค่าเฉลี่ยประมาณ 9 ใบอนุญาตฯ ต่อประชากร 1,000 คน ซึ่งความหนาแน่นระดับนี้ถือว่าสูงเกินธรรมดาเป็นอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ

รศ.ดร.นพ.พลเทพ กล่าวปิดท้ายว่า “ประเทศไทยควรมีการดำเนินการอย่างจริงจังในการลดจำนวนใบอนุญาตจำหน่าย ประเทศไทยควรมีการปรับและพัฒนาแนวทางและกระบวนการออกใบอนุญาตรายใหม่และต่อใบอนุญาตรายเก่าให้เข้มงวดมากขึ้น ควรมีการใช้ข้อมูลต่าง ๆ ในระดับพื้นที่ มาพิจารณาการต่อใบอนุญาต เช่น การละเมิดกฎระเบียบ การมีผลกระทบต่อชุมชน ความคิดเห็นของประชาชนหรือหน่วยงานต่าง ๆ ในชุมชน”


เสียงจากเยาวชน: การเข้าถึงแอลกอฮอล์ง่ายเกินไป เสี่ยงทำร้ายอนาคตเยาวชนไทย

นักศึกษาแพทย์ เขมจิรา เจ๊ะบา นักศึกษาแพทย์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และนักกิจกรรมเยาวชน ให้ความเห็นว่า “ถึงแม้ว่าตามกฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศได้ขีดเส้นไว้ชัดเจนว่า ผู้ที่สามารถซื้อและบริโภคแอลกอฮอล์ได้ต้องมีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ แต่ความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น ในกลุ่มเยาวชนรู้ดีว่า แม้แต่เยาวชนอายุ 15 ปี ก็สามารถเข้าถึงแอลกอฮอล์ได้ เส้นที่รัฐธรรมนูญขีดไว้เป็นเพียงอุดมคติ ในฐานะเยาวชนไทยผู้ซึ่งถูกเรียกว่าอนาคตของชาติ ดิฉันมีความกังวลใจเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับการเพิ่มตัวของร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ขัดกับความหนักแน่นของรัฐธรรมนูญ”นอกจากนั้นแล้ว นักศึกษาแพทย์ เขมจิรา ยังให้ข้อคิดเห็นที่น่าสนใจว่า “เป็นที่ทราบกันดีว่า แอลกอฮอล์นั้นสามารถเป็นต้นเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ และการทำร้ายร่างกาย ดิฉันเชื่อว่า เยาวชนทุกคนมีสิทธิในการอาศัยอยู่ในประเทศนี้อย่างปลอดภัย ปลอดภัยในที่นี้รวมทั้งสุขภาพกาย จิตและการอยู่อาศัย แต่ปัจจุบันสังคมและสื่อกำลังสนับสนุนภาพลักษณ์ของการดื่มแอลกอฮอล์ในทางบวก สร้างความสวยงามและความหรูหราในยาพิษ นั้นเปรียบเสมือนว่าสังคมกำลังค่อยๆ ละเมิดสิทธิของพวกเราที่ต้องการเติบโตขึ้นอย่างปลอดภัย” นักศึกษาแพทย์ เขมจิรา เจ๊ะบา ทิ้งท้ายไว้ว่า “ดิฉันขอเป็นตัวแทนของเยาวชนเพื่อส่งสาสน์ถึงผู้ใหญ่หรือรัฐบาลในการเรียกร้องสิทธิที่พวกเราควรได้รับความปลอดภัยที่เป็นพื้นฐาน สังคมที่ดีและสุขภาพที่มั่นคง”

 

งานวิจัยที่อ้างอิง:
Vichitkunakorn P, Assanangkornchai S, Thaikla K, Buya S, Rungruang S, Talib M, Duangpaen W, Bunyanukul W, Sittisombut M. Alcohol outlet density and adolescent drinking behaviors in Thailand, 2007-2017: A spatiotemporal mixed model analysis. PLoS One. 2024 Oct 31;19(10):e0308184. doi: 10.1371/journal.pone.0308184.

นักวิชาการชี้ โฆษณาเหล้าเบียร์มีผลให้คนเริ่มดื่มหรือดื่มมากขึ้น
https://cas.or.th/content?id=628


นักวิชาการชี้ โฆษณาเหล้าเบียร์มีผลให้คนเริ่มดื่มหรือดื่มมากขึ้น แนะการควบคุมโฆษณาแบบเบ็ดเสร็จมีประสิทธิภาพมากที่สุด การห้ามโฆษณาเพียงบางส่วนหรือการควคุมตนเองภาคสมัครใจของธุรกิจสุราไม่สามารถป้องกันการสัมผัสโฆษณาในเยาวชนได้

รศ.ดร.วิทย์ วิชัยดิษฐ นักวิชาการ ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) และอาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า ปัจจุบัน เด็กและเยาวชนทั่วโลกได้รับสื่อโฆษณาและกิจกรรมการตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่องในระดับสูงและเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ อุตสาหกรรมแอลกอฮอล์มีการขยายฐานลูกค้ามุ่งเป้าไปกลุ่มเยาวชน และกลุ่มผู้หญิง โดยพยายามจะเน้นไปที่ความสำคัญของการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในการสร้างบุคลิกลักษณะความเป็นตัวตนหรืออัตลักษณ์ของเยาวชน เนื้อหาการโฆษณาจึงได้รับการออกแบบเพื่อนำเสนอความตลกขบขัน ความคิดที่น่าสนใจ ภาพลักษณ์ สำนวน ถ้อยคำและสิ่งอื่นๆ ที่ใช้ได้ในการพูดคุยสื่อสารระหว่างเพื่อน เพื่อให้เยาวชนใช้สร้างอัตลักษณ์ที่สอดคล้องกัน หลักฐานทางวิชาการในปัจจุบันบ่งชี้อย่างชัดเจนว่า โฆษณาหรือกิจกรรมการตลาดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลต่อการดื่ม มีการสรุปข้อมูลจากการทดลองในนักศึกษา ที่ให้ดูโฆษณาแอลกอฮอล์เทียบกับโฆษณาอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งพบว่า การดูโฆษณาแอลกอฮอล์มีผลเพิ่มเจตนาและพฤติกรรมการดื่มชัดเจน การเก็บข้อมูลระยะยาวในประชาชนทั่วไปก็ชี้ว่า การโฆษณามีผลทบต้น ยิ่งได้รับโฆษณาซ้ำๆ กันมากเท่าไหร่ ยิ่งมีพฤติกรรมการดื่มมากขึ้นเท่านั้น ในเยาวชนและคนหนุ่มสาว การได้รับโฆษณามีผลต่อการเริ่มดื่มในผู้ที่ไม่เคยดื่ม และการดื่มหนักในผู้ที่ดื่มอยู่แล้ว

ดร.วิทย์ กล่าวเสริมอีกว่า ในตลาดที่กำลังเติบโต การพยายามเปลี่ยนให้ผู้ที่ไม่ดื่มกลายเป็นนักดื่ม ถือเป็นหน้าที่สำคัญของการตลาดของธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เลยทีเดียว และการตลาดแนวนี้จะพยายามสร้างการยอมรับการดื่มให้กลายเป็นบรรทัดฐานสังคมในหลายวาระโอกาส ถ้าอิงตามทฤษฎีกระบวนการตีความสาร จะเห็นว่า การได้รับสารจากการตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซ้ำๆ สารที่ผู้นั้นรับรู้ว่าเชื่อมโยงกับตนเอง จะค่อย ๆ ซึมลึกลงไปสู่ความรู้สึกนึกคิดของผู้รับสาร ทำให้มันพร้อมที่จะโผล่ออกมาในความนึกคิดได้ง่ายขึ้น หากอยู่ในภาวะที่ต้องตัดสินใจ กระบวนการนี้ คือกระบวนการสร้างบรรทัดฐาน หรือทำให้คนมองว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีอยู่อย่างแพร่หลายเป็นเรื่องธรรมดา (normalization) และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตปกติ ซึ่งเป็นการรับรู้ที่น่ากลัว และมีผลต่อพฤติกรรมของประชาชนในอนาคต ซึ่งกระบวนการเหล่านี้เกิดขึ้นช้า ๆ และค่อยๆ สะสมมาเรื่อย ๆ จนผู้ที่ได้รับสื่อโฆษณาแทบจะไม่รู้ตัวว่า โฆษณามีผลต่อความรู้สึกนึกคิดของตนเพียงไร

ในด้านการควบคุมโฆษณาการตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ร.ศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ แซ่โง้ว นักวิชาการ ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) และอาจารย์ประจำสำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กล่าวว่า ในยุคปัจจุบันที่มีการใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียอย่างแพร่หลาย ทำให้เป็นการยากที่จะควบคุมการเข้าถึงโฆษณาของกลุ่มเยาวชนได้หากไม่ได้รับความร่วมมือจากแพล็ตฟอร์มผู้ให้บริการโซเชียลมีเดียเอง การทบทวนงานวิจัยเกี่ยวกับการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทางโซเชียลมีเดีย พบว่า การกดไลค์ กดแชร์ การคลิกดูโฆษณา หรือการเข้าชมเว็บไซต์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น มีความสัมพันธ์ชัดเจนกับการเพิ่มการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่น่าเป็นห่วง คือ การครอบครองสินค้า ของใช้ ของที่ระลึกที่มีตราสัญลักษณ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นที่นิยมในประเทศไทยในช่วงหลายปีมานี้จากการเข้าเป็นผู้สนับสนุนของทีมกีฬาโดยเฉพาะกีฬาฟุตบอลของธุรกิจแอลกอฮอล์ การศึกษาในประชาชนในประเทศไทยเองก็พบว่า ประชาชนที่ใช้สินค้าที่มีตราผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์มีโอกาสดื่มหนักมากกว่าประชาชนที่ไม่ใช้สินค้ามีตราดังกล่าว นอกจากนี้ การศึกษาวิจัยของทีมวิจัยเราเองซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลกลุ่มตัวอย่าง 89,154 คน จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติก็พบความสัมพันธ์เช่นเดียวกันกับการศึกษาในต่างประเทศ คือ ผู้ที่พบเห็นการโฆษณาแอลกอฮอล์มีโอกาสเป็นผู้ดื่มเพิ่มขึ้น 16% และมีโอกาสเป็นผู้ดื่มหนักเพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้พบเห็นการโฆษณา และในกลุ่มคนที่เป็นนักดื่มอยู่แล้วการพบเห็นโฆษณาจะเพิ่มโอกาสในการดื่มหนักขึ้นถึง 51%

นพ.อุดมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ข้อมูลจากการศึกษาวิจัยที่ยกมาเป็นตัวอย่างนี้มีข้อมูลทั้งจากของต่างประเทศและประเทศไทยเอง จึงย้ำให้เห็นได้ชัดว่า การทำการโฆษณาการตลาดซึ่งมีเทคนิคหลากหลายส่งผลต่อการกระตุ้นการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งสิ้น ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารแพร่ผ่านกันได้ทางออนไลน์ การควบคุมการเข้าถึงโฆษณาหรือกิจกรรมการตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เฉพาะกลุ่มประชากร รวมทั้งการควบคุมเฉพาะเนื้อหานั้นทำได้ยาก หรือในทางปฏิบัติอาจจะทำไม่ได้เลย การศึกษาในต่างประเทศในเรื่องด่านตรวจอายุในแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างเช่น ยูทูป ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม ก็ยังพบว่า เทคโนโลยีในการระบุอายุของผู้เข้าชมไร้ประสิทธิภาพ หากต้องการปกป้องเยาวชนจากการถูกจูงใจให้บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การยังคงการควบคุมโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบครบวงจรหรือการควบคุมแบบเบ็ดเสร็จจะส่งผลต่อการปกป้องเยาวชนได้ดีกว่าการควบคุมบางส่วน หรือการควบคุมภาคสมัครใจโดยภาคธุรกิจควบคุมกันเอง

วันยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี
https://cas.or.th/content?id=164

วันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปีวันยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรีสากล

_________
งด ลด ดื่มแอลกอฮอล์ = ยุติความรุนแรง

“ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรีสากลด้วยการไม่ดื่มแอลกอฮอล์”

นอกจากแอลกอฮอล์จะจัดเป็นอุปสรรคสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืนแห่งปี 2030 ในเป้าหมายที่ 3 สุขภาพและชีวิตความเป็นอยู่แล้วนั้น ยังนับเป็นอุปสรรคต่อเป้าหมายที่ 16 สันติภาพและความยุติธรรม โดยเฉพาะในเป้าหมายที่ 16.1 ลดการใช้ความรุนแรง และการเสียชีวิตจากความรุนแรงทุกรูปแบบ และทุกหนแห่งอีกด้วย ซึ่งสามารถยืนยันได้จากงานวิจัย ดังนี้

  • จากข้อมูลโครงการสำรวจการได้รับผลกระทบจากการดื่มแอลกอฮอล์ของผู้อื่นในประเทศไทย1 โดยกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ใหญ่ที่มีเด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีอยู่ในความดูแล จำนวน 937 คน พบว่า ร้อยละ 24.6 เด็กที่ตนดูแลอยู่ได้รับผลกระทบจากการดื่มของคนอื่น โดยเป็นผลกระทบจากการถูกตีหรือทำร้ายร่างกายร้อยละ 1.7

  • จากการศึกษาลักษณะและผลกระทบของภัยเหล้ามือสองต่อสมาชิกครอบครัวในชนเผ่าลาหู่ในจังหวัดเชียงราย2 พบว่า ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 1,031 คน มีผู้หญิงและกลุ่มอายุน้อยกว่าและเท่ากับ 15 ปี เคยถูกลวนลามทางเพศร้อยละ 6.0 และร้อยละ 4.5 ตามลำดับ

  • ผลการศึกษาประสบการณ์ (ปัญหา) ของผู้หญิงจากผลกระทบจากการดื่มสุราของสมาชิกใน ครอบครัว3 พบว่า ผู้หญิงได้รับผลกระทบด้านคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ การเงินของครอบครัว และผู้ดื่มสุรายังสร้างความรุนแรงต่อกลุ่มเปราะบางอื่น ๆ ในบ้านทั้งเด็ก เยาวชน คนชราและผู้พิการ

  • ผลกระทบจากการดื่มสุราที่มีต่อเด็ก ร้อยละ 16 ของประเทศ เคยได้รับผลกระทบจากการดื่มสุราของคนรอบข้าง โดยปัญหาที่พบมากที่สุด คือ ความรุนแรงในครอบครัวร้อยละ 7.5 ซึ่งความรุนแรงดังกล่าวประมาณร้อยละ 30 – 35 เกิดจากพ่อและแม่ของเด็กที่ดื่มสุราเอง และถ้าคนรอบข้างดื่มหนัก (Binge Drinking) หรือดื่มบ่อย (Regular Drinking) เด็กจะมีโอกาสเกิดผลกระทบเพิ่มสูงขึ้นถึง 4.8 และ 1.9 เท่า ตามลำดับ เมื่อเทียบกับการไม่มีคนรอบข้างดื่มสุรา4

  • จากผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของสามีกับความรุนแรงจากคู่สมรสในผู้หญิงหลังคลอด จำนวน 1,207 คน ในโรงพยาบาลของรัฐ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ในจังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดเลย และจังหวัดชัยภูมิ พ.ศ. 25665 พบว่า หญิงตั้งครรภ์ร้อยละ 4.7 เคยถูกสามีกระทำความรุนแรงขณะตั้งครรภ์ โดยร้อยละ 4.1 เคยถูกกระทำความรุนแรงทางวาจา ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากที่สุด รองลงมาเป็นการถูกกระทำความรุนแรงทางร่างกายร้อยละ 1.1 และการถูกกระทำความรุนแรงทางเพศร้อยละ 0.9 โดยสามีที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นบางครั้งและดื่มหนัก และสามีที่ดื่มประจำและดื่มหนัก จะเพิ่มความเสี่ยงที่ทำให้เกิดความรุนแรงต่อภรรยาที่ตั้งครรภ์ถึง 16.9 เท่า และ 12.8 เท่า ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบกับสามีที่ไม่ดื่มเลย

จากข้อมูลข้างต้น สะท้อนให้เห็นผลกระทบในมิติของความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับเด็กและสตรีจากการดื่มแอลกอฮอล์ของบุคคลในครอบครัวและบุคคลรอบข้าง โดยแอลกอฮอล์มีความสัมพันธ์ที่ทำให้ผู้ดื่มขาดการยับยั่งชั่งใจ ควบคุมตัวเองไม่ได้ รวมทั้งกระตุ้นให้เกิดการทำร้ายร่างกายและการคุมคามทางเพศนั่นเอง ดังนั้น การงด ลด การดื่มแอลกอฮอล์ จึงเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดและยุติความเสี่ยงในการเกิดความรุนแรงต่อคนที่คุณรัก ครอบครัว และสังคม

 

________
เอกสารอ้างอิง

[1] อรทัย วลีวงศ์ และคณะ. (2558). รายงานโครงการศึกษาวิจัย การศึกษาผลกระทบของการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อบุคคลรอบข้างผู้ดื่ม ในประเทศไทย (ระยะที่ 1). ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา.

[2] ธวัชชัย อภิเดชกุล และคณะ. (2561). ลักษณะและผลกระทบของภัยเหล้ามือสองต่อสมาชิกครอบครัวในชนเผ่าลาหู่. ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา.

[3] ไมซาเร๊าะ ขุนรักษ์ หมานระเด็น และคณะ. (2564). พื้นที่ชีวิตของผู้หญิง (Living Space of Women) : ประสบการณ์การเผชิญสถานการณ์ (ปัญหา) ของผู้หญิงกับบุคคลในครอบครัวที่ดื่มสุรา. ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา.

[4] พลเทพ วิจิตรคุณากร และคณะ. (2564). การสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อบุคคลรอบข้างผู้ดื่มในประเทศไทย. ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา.

[5] ไพฑูรย์ สอนทน และคณะ. (2566). ความสัมพันธ์ระหว่างการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของสามีกับความรุนแรงจากคู่สมรสในผู้หญิงหลังคลอดในโรงพยาบาลของรัฐ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข. ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา.

ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.)

Centre for Alcohol Studies (CAS)

สาขาวิชาเวชศาสตร์ครอบครัวและเวชศาสตร์ป้องกัน อาคารศรีเวชวัฒน์ ชั้น 11 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เลขที่ 15 ถนนกาญจนวนิช ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 90110

083-5775533

https://www.facebook.com/cas.org.th

เข้าชมแล้ว 0 ครั้ง
Copyright © 2025 CAS All rights reserved.