คำค้นหา : ศักยภาพ

คำนี้ค้นหามาแล้ว : 108 ครั้ง
การค้าระหว่างประเทศและการพัฒนาอย่างยั่งยืน
https://cas.or.th/content?id=1029

การค้าระหว่างประเทศและการพัฒนาอย่างยั่งยืน


โดย ศ.ดร.นิทัศน์ ศิริโชติรัตน์
สถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ

การประชุมวิชาการประจำปี “การค้าระหว่างประเทศและสุขภาพ” ระหว่างวันที่ 4 - 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 มีผู้แทนจากองค์การค้าโลก กระทรวงการต่างประเทศ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งนักวิชาการ และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง มาร่วมประชุมและให้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันเกี่ยวกับสถานการณ์การเจรจาค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะแนวทางที่ประเทศไทยจะต้องเตรียมพร้อมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

วันสุดท้ายของการประชุมมีประเด็นของแนวทางปฏิบัติเพื่อสนับสนุนให้เกิดการเสริมพลังระหว่างนโยบายการค้าและสุขภาพ และประเด็นพลังของหลักฐานในการทำให้เกิดความสอดคล้องระหว่างนโยบายการค้าและนโยบายสุขภาพ ซึ่งมีการเสนอต่อวิทยากรและผู้เข้าร่วมประชุมว่า ‘ตัวกำหนดพาณิชย์ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ’ (สุรา ยาสูบ อาหารแปรรูป และพลังงานจากฟอสซิล) เป็นอุปสรรคสำคัญของเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งมีการขับเคลื่อนในองค์การสหประชาชาติให้รัฐบาลของประเทศต่างๆ ใช้หลักการ “ผู้ก่อความเสียหาย ต้องชดใช้” เนื่องจาก บริษัทข้ามชาติทั้ง 4 ประเภท ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพ แต่เหตุใดจึงไม่มีการกล่าวถึง ‘ตัวกำหนดพาณิชย์ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ’ ในการประชุม

บริษัทข้ามชาติ 4 ประเภท ถูกบ่งชี้ว่าเป็นต้นเหตุของการเสียชีวิตถึงหนึ่งในสามของประชากรโลกที่เกิดจากโรคไม่ติดต่อ (Gilmore AB, Fabbri A, Baum F, et al., 2021.) การประชุมระดับสูงที่องค์การสหประชาชาติเมื่อปี ค.ศ. 2011 เกี่ยวกับโรคไม่ติดต่อ สรุปว่าองค์กรธุรกิจเหล่านี้เป็นสาเหตุสำคัญของการแพร่ระบาดระดับโลกของโรคไม่ติดต่อ ซึ่งจากการศึกษาภาระโรคระดับโลกเมื่อปี ค.ศ. 2019 บ่งชี้ว่าบริษัทข้ามชาติ 4 ประเภทดังกล่าวเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต 19 ล้านคนต่อปี (หรือร้อยละ 41 จากการเสียชีวิต 42 ล้านรายจากโรคไม่ติดต่อ) มีการวิเคราะห์เชิงลึกถึงพฤติกรรมองค์การ และแนวทางปฏิบัติของบริษัทข้ามชาติเหล่านี้ ซึ่งบ่งชี้ว่ามีการแทรกแซงนโยบายและครอบงำเพื่อโน้มน้าวผู้กำหนดนโยบายให้เอื้อต่อภาคธุรกิจมากกว่าประโยชน์สาธารณะ อีกทั้งให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องในบางกรณีเพื่อให้นโยบายควบคุมผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และยาสูบ ด้อยประสิทธิผลและก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจ และสังคม


ก่อนการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส-19 กรอบการเจรจาการค้าเสรีเน้นเสรีภาพและสิทธิส่วนบุคคลมากกว่ากฎ ระเบียบและมาตรการในการควบคุมโดยภาครัฐ ซึ่งส่งผลให้เกิดพฤติกรรมการบริโภคมากเกินความจำเป็น (Gilmore AB, Fabbri A, Baum F, et al., 2021.) ในขณะเดียวกันภาคธุรกิจโน้มน้าวภาครัฐเพื่อให้เกิดการควบคุมตนเอง (เพื่อไม่ให้ภาครัฐกำหนดมาตรการเพื่อควบคุมภาคธุรกิจ)

อย่างไรก็ตาม หลังการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส-19 มีการปรับเปลี่ยนแนวคิดในการวางกรอบมาตรฐานและควบคุมการตลาดโดยภาครัฐ เพื่อควบคุมโครงสร้างอำนาจของภาคธุรกิจ และลดอันตรายจากพลังอำนาจทางธุรกิจ ในขณะเดียวกันส่งเสริมความเป็นอยู่ทางสังคมให้ดีขึ้น โดยมุ่งเน้นความก้าวหน้าทางสังคมด้วยเศรษฐกิจแนวใหม่ เช่น การนำเศรษฐกิจกลับสู่ความสมดุลของโลก (degrowth) ด้วยการลดความเหลื่อมล้ำ และพัฒนาศักยภาพในการเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็น เพื่อชีวิตที่รุ่งเรือง ยืนยาว และสุขภาพดีของผู้คน และแนวคิด เศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy) ด้วยการนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ (Friel S, Collin J, Daube M, Depoux A, Freudenberg N, Gilmore AB, Johns P, Laar A, Marten R, McKee M, Mialon M, 2023.) หรือ เศรษฐกิจโดนัท (Doughnuts Economics) ซึ่งหมายถึงเศรษฐกิจที่ปกป้องความยุติธรรมทางสังคมและความคุ้มครองทางนิเวศวิทยา ไม่ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จะเติบโต ถดถอย หรือคงที่ (Raworth K, 2017.)

กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระดับโลก ไม่ต่างไปจากกลยุทธ์ของบริษัทยาสูบข้ามชาติในการขาย “สารเสพติด” การคุกคามสุขภาพประชากรโลกโดยบริษัทยาสูบข้ามชาติเป็นที่รับรู้และเข้าใจมากขึ้นในระดับโลกโดยชุมชนผู้กำหนดนโยบาย และประชากรโลก ทำให้ “ภาพพจน์” ของบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถูกเปิดโปงถึงการลงทุนเพื่อ “การออกแบบนโยบาย” ให้สอดรับกับเป้าหมายของการพาณิชย์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระดับโลก (Madden M & McCambridge J, 2021)

แนวทางการพัฒนานโยบายเศรษฐศาสตร์มหภาคที่ผ่านมา โดยรัฐบาลของประเทศต่างๆ ใช้แนวทางผ่านกลไกการตกลงทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นแนวทางที่ได้รับอิทธิพลจากบริษัทข้ามชาติทั้งหลาย เพื่อส่งเสริมแนวคิดการตลาดเสรีและลดกฎ นโยบาย เงื่อนไข ต่างๆ (Braithwaite J, Drahos P, 2000.) ส่งผลให้สอดคล้องกับเป้าประสงค์ขององค์กรธุรกิจในการสร้างผลกำไรสูงสุด โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อสุขภาพ (Thow AM, Snowdon W, Labonte R, et al., 2015; Friel S, Schram A, Townsend B, 2020; Townsend B, Schram A, 2020; Milsom P, Smith R, Baker P, Walls H, 2021.)

ประเด็นสำคัญที่จะปกป้องนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพจากอิทธิพลและพลังอำนาจทางธุรกิจคือการห้ามไม่ให้องค์กรธุรกิจที่มีผลประโยชน์ขัดกับนโยบายสาธารณะเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำนโยบาย เพิ่มมาตรการของความโปร่งใสด้วยการบังคับให้องค์กรธุรกิจและเครือข่ายเปิดเผยงบประมาณและรายงานกิจกรรมในการล้อบบี้ผู้กำหนดนโยบาย รวมทั้งงบประมาณสำหรับการวิจัย (Boushey H, Knudsen L, 2021.)

ประเด็นเรื่องธรรมาภิบาลบ่งชี้ถึงประโยชน์สาธารณะเป็นหลักการสำคัญมากกว่า “กำไร” และเป็นแนวทางในการจำกัดพลังอำนาจทางธุรกิจ ส่งผลให้เกิดความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพ (Buse K, Tanaka S, Hawkes S, 2017.) การปรับแนวคิดใหม่ เนื่องจากแนวคิดเดิมของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (gross domestic product) ไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (Jackson T, 2021.) ส่งผลให้รัฐบาลนิวซีแลนด์ สก็อตแลนด์ เวลส์ นอร์เวย์ และภูฏาน ทบทวนและท้าทายแนวคิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (Hardoon D, Hey N, Brunetti S, 2020; Wellbeing Economy Alliance, 2021; da Silva JG, 2019.) โดยใช้หลักการเศรษฐกิจความเป็นอยู่ดี (wellbeing economy principles) ซึ่งเน้นความเป็นอยู่ดีของประชากรและสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้บรรทัดฐานและทิศทางของการจัดทำนโยบายเปลี่ยนไปจากแนวคิดของพลังอำนาจโดยทุนนิยม (Coscieme L, Sutton P, Morentsen LF, et al., 2019; Buchs M, Baltruszewicz M, Bohnenberger K, et al., 2020.)

ระหว่างวันที่ 25 – 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 จะมีการเจรจา ไทย-สหภาพยุโรป รอบที่ 4 ที่กรุงเทพฯ ซึ่งผู้เขียนบทความนี้ ได้ส่งข้อมูลรายละเอียดจากนักวิชาการระดับโลกไปให้ทางกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้พิจารณาตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จึงหวังว่ากรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ จะใช้โอกาสนี้เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติในการขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน และป้องกันไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพ จาก ‘ตัวกำหนดพาณิชย์ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ’

เอกสารอ้างอิง:
1) Boushey H, Knudsen L, 2021. The importance of competition for the American economy. The White House, 2021. Available at: https://www.whitehouse.gov/.../the-importance.../
2) Braithwaite J, Drahos P, 2000. Global business regulation. Cambridge, Cambridge University
Press, 2000.
3) Buchs M, Baltruszewicz M, Bohnenberger K, et al., 2020. Wellbeing economics for the COVID-19 recovery: ten principles to build back better. 2020. Available at: https://eprints.whiterose.ac.uk/181033/
4) Buse K, Tanaka S, Hawkes S, 2017. Healthy people and healthy profits? Elaborating a conceptual framework for governing the commercial determinants of non-communicable diseases and identifying options for reducing risk exposure. Global Health 2017; 13: 34.
5) Coscieme L, Sutton P, Morentsen LF, Kubiszewski I, Costanza R, Trebeck K, Pulselli FM, Giannetti BF, and Fioramonti L, 2019. Overcoming the myths of mainstream economics to enable a new wellbeing economy. Sustainability (Basel) 2019; 11: 4374.
6) da Silva JG, 2019. From Fome Zero to zero hunger: a global perspective. Rome: Food and Agriculture Organization of the United Nations, 2019.
7) Friel S, Collin J, Daube M, Depoux A, Freudenberg N, Gilmore AB, Johns P, Laar A, Marten R, McKee M, Mialon M, 2023. Commercial Determinants of Health: future directions. Lancet 2023; 401: 1229-40. Available at: https://doi.org/10.1016/ S0140-6736(23)00011-9
8 ) Friel S, Schram A, Townsend B, 2020. The nexus between international trade, food systems, malnutrition and climate change. Nat Food 2020; 1: 51-58.
9) Gilmore AB, Fabbri A, Baum F, Bertscher A, Bondy K, Chang H-J, Demaio S, Erzse A, Freudenberg, N, Friel S, Hofman KJ, Johns P, Karim SA, Lacy-Nichols J, de Carvalho CMP, Marten R, McKee M, Petticrew M, Robertson L, Tangcharoensathien V, Thow AM, 2023. Defining and Conceptualising the Commercial Determinants of Health. Lancet 2023; 401: 1194-213. Available at: https://doi.org/10.1016/ S0140-6736(23)00013-2
10) Hardoon D, Hey N, Brunetti S, 2020. Wellbeing evidence at the heart of policy. Available at: https://whatworkswellbeing.org/.../wellbeing-evidence-at.../
11) Jackson T, 2021. Post growth: life after capitalism. Oxford: Polity Press, 2021. Madden M & McCambridge J, 2021. Alcohol Marketing versus Public Health: David and Goliath? Available at: https://www.ias.org.uk/.../alcohol-marketing-versus.../
12) Milsom P, Smith R, Baker P, Walls H, 2021. Corporate power and the international trade regime preventing progressive policy action on non-communicable diseases: a realist review. Health Policy Plan 2021; 36: 493-508.
13) Raworth K, 2017. Doughnut economics: seven ways to think like a 21st century economist. New York, NY: Random House.
14) Thow AM, Snowdon W, Labonte R, et al., 2015. Will the next generation of preferential trade and investment agreements undermine prevention of noncommunicable diseases? A prospective policy analysis of the Trans Pacific Partnership Agreement. Health Policy 2015; 119: 88-96
15) Townsend B, Schram A, 2020. Trade and investment agreements as structural drivers for NCDs: the new public health frontier. Aust N Z J Public Health 2020; 44: 92-94. Wellbeing Economy Alliance, 2021. A wellbeing economy in action. Available at: https://weall.org/case-studies

8 ประเด็นสำคัญ ในการกำหนดทิศทางของการบังคับใช้จริง หลัง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้วันนี้ (8 พ.ย. 2568)
https://cas.or.th/content?id=1023
Tags : -

8 ประเด็นสำคัญ ในการกำหนดทิศทางของการบังคับใช้จริง
หลัง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้วันนี้ (8 พ.ย. 2568)


8 พฤศจิกายน 2568 เมื่อพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ พระราชบัญญัตินี้ถือเป็นการปรับปรุงจากกฎหมายเดิมที่ใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ให้ทันต่อสถานการณ์ของสังคมไทยที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านเศรษฐกิจ ดิจิทัล เทคโนโลยีสื่อสาร และรูปแบบการตลาดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ซับซ้อนขึ้น

กฎหมายฉบับใหม่นี้มีความก้าวหน้าในหลายด้าน โดยเฉพาะการเติมเต็มช่องว่างที่กฎหมายเดิมยังไม่ครอบคลุม ซึ่งสามารถสรุปเป็นประเด็นสำคัญได้ดังนี้

  • การขยายคำนิยามให้ครอบคลุมสื่อยุคใหม่

พ.ร.บ. ฉบับที่ 2 ได้เพิ่มคำนิยาม “การสื่อสารทางการตลาด” เพื่อให้สามารถควบคุมพฤติกรรมการโฆษณาเชิงแฝง การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย การรีวิว การใช้สัญลักษณ์หรือโลโก้ที่สื่อถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในทุกช่องทาง ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ สอดคล้องกับมาตรา 32/1–32/5 ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการอุดช่องว่างการตลาดสมัยใหม่ที่เข้าถึงเยาวชนได้ง่าย

  • การคุ้มครองเด็ก เยาวชน และกลุ่มเปราะบาง

ย้ำข้อห้ามในการจำหน่ายให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และผู้ที่อยู่ในสภาพมึนเมา พร้อมเพิ่มบทลงโทษแก่ผู้ขายและสถานประกอบการที่ฝ่าฝืน เพื่อสร้างความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างผู้ประกอบการกับสังคม

  • การกำหนดพื้นที่และเวลาการขาย

ยังคงช่วงเวลาอนุญาตให้ขายไว้ที่ 11.00–14.00 น. และ 17.00–24.00 น. ตามเดิม พร้อมให้อำนาจรัฐมนตรีในการประกาศเพิ่มเติมพื้นที่ห้ามขาย เช่น รอบสถานศึกษา วัด โรงพยาบาล และสถานที่ราชการ เพื่อป้องกันการเข้าถึงที่ง่ายเกินไปของกลุ่มเสี่ยง

  • การเพิ่มบทลงโทษและความรับผิดทางแพ่งของผู้ประกอบการ

นับเป็นการยกระดับความรับผิดชอบของธุรกิจค้าปลีกและร้านอาหาร โดยกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องมีหน้าที่ตรวจสอบสถานะผู้ซื้อ และหากปล่อยปละละเลยจนเกิดความเสียหาย อาจต้องร่วมรับผิดทางแพ่งร่วมกับผู้กระทำความผิดโดยตรง

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของนักวิชาการ การประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้ยังต้องการความชัดเจนในการตีความ ซึ่งการทำให้กฎหมายเกิดผลจริงจำเป็นต้องอาศัย “กฎหมายลำดับรอง” ได้แก่ กฎกระทรวง ประกาศ และระเบียบปฏิบัติ ที่จะกำหนดรายละเอียดเชิงปฏิบัติให้สอดคล้องกับหลักการของกฎหมายแม่บท

 

ศวส. เห็นว่า “ช่วงเปลี่ยนผ่านนี้” คือ ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด เพราะจะเป็นการกำหนดทิศทางของการบังคับใช้จริงในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในประเด็นต่อไปนี้

1. ความชัดเจนของคำนิยามและขอบเขตการบังคับใช้

นักวิชาการเสนอให้มี การนิยามคำสำคัญให้ตรงกันในทุกประกาศ เช่น คำว่า “สถานที่หรือบริเวณห้ามขาย”, “บริเวณสาธารณะ”, “การจัดเลี้ยงตามประเพณี” และ “พื้นที่ของรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐ” เพื่อป้องกันปัญหาการตีความแตกต่างกันระหว่างเจ้าหน้าที่แต่ละพื้นที่ และควรกำหนดหลักเกณฑ์เชิงปฏิบัติ ว่า “การจัดเลี้ยงตามประเพณี” หมายถึงงานใดบ้าง (เช่น งานศพ งานแต่ง งานทำบุญประจำปี) เพื่อป้องกันการอ้างเป็นข้อยกเว้นโดยมิชอบ

2. การซ้ำซ้อนของพื้นที่ห้ามขาย/บริโภค

ประกาศหลายฉบับ (เช่น รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานรัฐ พื้นที่ราชการ สถานีขนส่ง สวนสาธารณะ ทาง และ ท่าเรือ) มีลักษณะพื้นที่ทับซ้อนกัน จึงควรมี “ผังหรือแนวทางบูรณาการพื้นที่ควบคุม” เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าใจขอบเขตเดียวกันและไม่เกิดความซ้ำซ้อนในการจับกุมหรือดำเนินคดี และเสนอให้จัดทำภาคผนวกแผนที่ (GIS Mapping) แสดงพื้นที่ควบคุม เพื่อให้ตีความตรงกันทั่วประเทศ

3. การกำหนดข้อยกเว้นต้องระบุเงื่อนไขอย่างรัดกุม

หลายร่างประกาศมีการยกเว้น “บริเวณที่จัดไว้เป็นร้านค้า สโมสร หรือการจัดเลี้ยงตามประเพณี” ซึ่งอาจเปิดช่องให้ตีความกว้างเกินไป เสนอให้ระบุเงื่อนไขการอนุญาต (เช่น เฉพาะกิจกรรมที่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ หรือมีระบบควบคุมไม่ให้เยาวชนเข้าถึง) เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายแม่บทที่มุ่งจำกัดการเข้าถึง

4.กระบวนการคัดเลือกกรรมการในคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ในร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีหลายฉบับ (มาตรา 10 (4)-(8)) กำหนดกระบวนการคัดเลือกผู้แทนองค์กรต่าง ๆ นักวิชาการเห็นว่าควรเพิ่มหลักเกณฑ์ความโปร่งใสและการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ, คุณสมบัติด้านจริยธรรมและความเป็นกลางของผู้แทนภาคธุรกิจ, และมาตรการป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน ระหว่างผู้แทนกับอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งเสนอให้มีกระบวนการสรรหาโดยคณะกรรมการอิสระร่วมกับภาควิชาการ เพื่อยืนยันความโปร่งใส

5. การบังคับใช้ในพื้นที่ท้องถิ่น

มีความกังวลว่าหน่วยงานท้องถิ่นบางแห่งยังขาดความเข้าใจและศักยภาพในการบังคับใช้กฎหมาย จึงควรกำหนดในกฎหมายลำดับรองให้ชัดว่า

  • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีบทบาทอย่างไรในการตรวจสอบและแจ้งเบาะแส
  • จะมีระบบประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างไร
  • เสนอให้ระบุช่องทางร้องเรียน E-Complaint หรือ Hotline ในระเบียบ เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมตรวจสอบ

6. การตีความเกี่ยวกับ “งานเลี้ยงตามประเพณี” และ “กิจกรรมพิเศษ”

ร่างประกาศบางฉบับ (เช่น ประกาศว่าด้วยทางรถไฟ และรัฐวิสาหกิจ) อนุญาตให้บริโภคได้ใน “งานเลี้ยงตามประเพณี” หรือ “กิจกรรมพิเศษ” เสนอให้ระบุเกณฑ์ชัด ๆ เช่น

  • ต้องเป็นงานที่มีลักษณะตามวัฒนธรรมท้องถิ่นหรือศาสนา
  • ได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดหรือหน่วยงานที่กำกับพื้นที่
  • มีมาตรการควบคุมไม่ให้เยาวชนหรือบุคคลเมาเข้าร่วม

7. ผลกระทบต่อการบังคับใช้และความเข้าใจของประชาชน

หากข้อความในประกาศยังใช้ภาษากฎหมายทั่วไปโดยไม่ระบุแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม จะเกิดปัญหาการตีความต่างกันระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชน เสนอให้มี “คู่มือการตีความและการบังคับใช้ (Implementation Guideline)” ออกพร้อมกับกฎหมายลำดับรอง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทั่วประเทศยึดแนวเดียวกัน

8. ความจำเป็นของกลไกติดตามประเมินผล

เสนอให้จัดตั้งคณะอนุกรรมการติดตามผลการบังคับใช้กฎหมายลำดับรอง เพื่อติดตามปัญหา ข้อร้องเรียน และเสนอปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง โดยมีภาควิชาการและภาคประชาสังคมร่วมเป็นกรรมการ

ดังนั้น การออกกฎหมายลำดับรองภายใต้พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ถือเป็นหัวใจสำคัญของการแปลง “เจตนารมณ์ของกฎหมาย” ให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง ภารกิจหลังจากนี้จึงไม่ใช่เพียง “การเขียนถ้อยคำให้ครบถ้วนตามมาตรา” แต่คือการทำให้กฎหมายเหล่านั้น สะท้อนคุณค่าของสังคมที่ให้ความสำคัญกับชีวิต สุขภาพ และศักดิ์ศรีของประชาชนไทยทุกคน ยิ่งไปกว่านั้น กฎหมายแม่บทที่ประกาศใช้แล้วจะมีความหมายต่อสุขภาพของคนไทยได้ ก็ต่อเมื่อกฎหมายลำดับรองเหล่านี้สามารถ กำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน โปร่งใส เป็นธรรม และยึดผลประโยชน์สาธารณะเป็นที่ตั้ง เพราะในที่สุดแล้ว “กฎหมาย” มิใช่เพียงเครื่องมือควบคุม หากคือพันธะร่วมของรัฐและสังคมไทยในการปกป้องสุขภาพของประชาชน และสร้างสังคมที่เห็นคุณค่าของชีวิตมากกว่าผลประโยชน์ทางการค้า

ข้อเท็จจริงและตัวเลข เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย พ.ศ. 2562-2564
https://cas.or.th/content?id=31

ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) เป็นหน่วยงานทางวิชาการที่สร้างและจัดการองค์ความรู้ พัฒนากลไกการประสานและศักยภาพทางวิชาการ เพื่อสนับสนุนกระบวนการจัดการกับปัญหา จากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้มีการสนับสนุนทุนวิจัย จัดเวทีสัมมนา และมีผลงานทางวิชาการต่าง ๆ มากมาย รวมถึงเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการผ่านทางหนังสือ บทความ รายงานวิจัย อินโฟกราฟิก และสื่อมัลติมีเดีย เป็นต้น

เนื่องด้วยการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประกอบกับโครงสร้างของประชากรไทยที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน ทำาให้แนวโน้มการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประชาชนไทยมีความแตกต่างจากในอดีตที่ผ่านมา ชุดหนังสือนี้จึงจัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ข้อมูลต่าง ๆ ในประเด็นที่สำาคัญเกี่ยวกับแบบแผนและแนวโน้มพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประชากรไทยในบทที่ 1 กระแสโฆษณาและการตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในบทที่ 2 นอกจากนี้ยังมีบทที่ 3 ผลกระทบต่อสุขภาพและสังคมของการดื่มสุรา และบทที่ 4 นโยบายและมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นเนื้อหาของหนังสือข้อเท็จจริงและตัวเลข ปี พ.ศ. 2562-2564 โดยเน้นการนำาเสนอในรูปแบบแผนภาพประกอบ เพื่อให้สามารถทำาความเข้าใจได้โดยง่าย

ทั้งนี้ ทางคณะผู้จัดทำาหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในภาคส่วนต่าง ๆ โดยสามารถนำาข้อมูลดังกล่าวไปใช้อ้างอิง วางแผนการควบคุม ส่งเสริมและป้องกันปัญหาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทยต่อไปได้ในอนาคต

รายงานสถานการณ์การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายจังหวัด พ.ศ. 2564
https://cas.or.th/content?id=33

การสำรวจพฤติกรรมการสูบบุหรี่และดื่มสุราของประชากรเป็นโครงการสำรวจประเด็นการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่สำคัญและใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ข้อมูลที่ได้รับครอบคลุมตั้งแต่ความชุกของการบริโภค ผลกระทบต่าง ๆ และประเด็นทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

โดยปกติแล้ว สำนักงานสถิติแห่งชาติจะจัดทำรายงานในระดับประเทศ ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากในการมองภาพรวมของสถานการณ์ในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม คณะผู้จัดทำเล็งเห็นถึงศักยภาพของข้อมูลที่สามารถนำมาใช้รายงานในระดับจังหวัด เพื่อสร้างแรงขับเคลื่อนในระดับที่ลึกลงไป

ข้อมูลจากรายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลที่ช่วยให้ภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะในระดับจังหวัด รวมถึงประชาชน สามารถนำไปใช้อ้างอิงและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงประเมินผลกระทบต่าง ๆ และวางแผนดำเนินงานสำหรับการรณรงค์ในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เปิดผับถึงตี 4 นโยบายที่จะพาการท่องเที่ยวไทยถอยหลังเข้าคลอง
https://cas.or.th/content?id=835
Tags : -

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมได้อ่านข่าว นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ออกมาเสนอแนวคิดเรื่องการเปิดสถานบันเทิงถึงตี 4 โดยจะเริ่มจากเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ๆ เช่น พัทยา เชียงใหม่ สมุย ภูเก็ต

ผมอ่านข่าวแล้วได้แต่ส่ายศีรษะกับไอเดียลักษณะเช่นนี้ ที่จะทำให้การท่องเที่ยวไทยถอยหลังเข้าคลอง

เพื่อความเป็นธรรมแก่ท่านรัฐมนตรี ลองพิจารณาเหตุผลประกอบที่ท่านนำเสนอมาทีละประเด็น และ ผมอยากสะท้อนกลับด้วยข้อมูลที่ผมได้ศึกษามาบ้าง ว่าเหตุใดข้อเสนอของท่านรัฐมนตรีนั้น สำหรับผมแล้วจะเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ

ท่านรัฐมนตรีบอกว่าการเปิดสถานบันเทิงถึงตี 4 นั้นมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มรายจ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เพิ่มขึ้น 25% นอกจากนั้นท่านได้กล่าวว่า “ประเทศที่มีการกระตุ้นการท่องเที่ยว ด้วยการเปิดสถานบริการ แหล่งท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นค่าใช้จ่ายนักท่องเที่ยว มีหลายประเทศ แต่ประเทศที่คิดว่จะนำมาเป็นโมเดล เพื่อดำเนินการคือ อิตาลี ที่มีสถานบริการตลอดคืนจนสว่าง แต่ผมต้องการเปิดเพียงตี 4 เพราะกลุ่มเป้าหมายไม่ใช่คนไทย แต่เป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายนักท่องเที่ยวต่างชาติ”

ก่อนจะเข้าสู่ประเด็นคัดค้าน ขออนุญาตนำเสนอสถานการการท่องเที่ยวไทยก่อนนะครับ เพื่อให้เห็นภาพว่าเราอยู่จุดไหนของการท่องเที่ยวโลก และ ในสายตาคนต่างชาติมองบ้านเมืองเราเป็นอย่างไร

การท่องเที่ยวของไทยถือเป็น 1 ใน 3 หัวใจสำคัญของเศรษฐกิจประเทศ ร่วมกับ การส่งออก และ เกษตรกรรม ปัจจุบันเรามีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวในประเทศปีละ 38 ล้านคน ถ้านับจากจำนวนนักท่องเที่ยวอยู่ในอันดับ 9 ของโลก มีรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 3 ล้านล้านบาท (คนไทย 1 ล้านล้าน ต่างชาติอีก 2 ล้านล้าน) ถ้านับเรื่องรายได้จากการท่องเที่ยว ประเทศไทยเป็นอันดับ 4 ของโลก

ถ้าดูจากทิศทางการพัฒนาการท่องเที่ยวปัจจุบัน ถือว่าประเทศไทยกำลังก้าวหน้าไปข้างหน้า และมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้น

การเติบโตที่ทุกคนคาดหวังคือ ศักยภาพด้านการดึงดูดนักท่องเที่ยวต้องยั่งยืน ทั้งปริมาณและคุณภาพการบริการต้องมากขึ้น  คุณภาพนักท่องเที่ยวที่มาต้องสูงขึ้น รายจ่ายต่อหัวนักท่องเที่ยวต้องเพิ่มขึ้น ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลจะทำให้การท่องเที่ยวจะทำให้ประเทศไทยมีรายได้มากยิ่งขึ้น

การท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและยั่งยืน เกิดจากการร่วมพัฒนาของภาครัฐและเอกชน ภาครัฐต้องจัดสรรนโยบายและสาธารณูปโภคพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว และ เอกชนต้องเติมเต็มด้านการบริการ กลไกลการท่องเที่ยวจึงจะมีประสิทธิภาพ แต่สิ่งที่ท่านรัฐมนตรีกำลังจะเสนออาจทำลายประสิทธิภาพการท่องเที่ยวไทยด้วยเหตุผลต่อไปนี้

ไม่ทำให้คุณภาพการท่องเที่ยวไทยสูงขึ้น

หนึ่งในนโยบายการท่องเที่ยวที่รัฐมนตรีการท่องเที่ยวและกีฬาก่อนหน้านี้พยายามพลักดันคือการทำให้ประเทศไทยเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ การท่องเที่ยวที่ไทยจะต้องสร้างตลาดให้ได้ในอนาคตคือ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การท่องเที่ยวเชิงกีฬา การท่องเที่ยวในเชิงศึกษาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม การจูงใจให้คนเกษียณจากโลกที่หนึ่งมาใช้ชีวิตระยะยาวหลังเกษียณในประเทศ การท่องเที่ยวด้านการแพทย์และสุนทรีย์ทางสุขภาพ (medical and wellness) ลักษณะการท่องเที่ยวที่กล่าวมาจะช่วยทำให้อุตสาหกรรมนี้ยั่งยืน ทำให้เกิดการคัดเลือกนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ ที่ยอมจ่ายมากกว่าเพื่อการผ่อนคลาย ซึ่งจะทำให้เราสามารถเพิ่มค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวได้

ในทางกลับกันการนำเสนอนโยบายที่ทำให้ประเทศเป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยวแบบบันเทิง เมาหัวราน้ำ ดูเหมือนจะเป็นนโยบายที่ดึงดูงนักท่องเที่ยววัยรุ่นที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายต่ำ และยังทำให้ประเทศไทยไม่สามารถสลัดภาพลักษณ์ของการเป็นประเทศแห่งการปลดปล่อยตัณหาราคะของโลกไปได้

                ความเชื่อมโยงที่สำคัญระหว่างอุตสาหกรรมการบริการทางเพศ กับ เวลาการเปิดปิดสถานบันเทิง ก็คือ การบริการทางเพศแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ มักมีสถานบันเทิงเป็นจุดเริ่มต้น ดังนั้นการขยายเวลาให้เปิดได้นานขึ้นจนถึงเช้า ย่อมมีความหมายถึงการสนับสนุนให้ประเทศก้าวหน้าไปในทางอุตสาหกรรมการบริการทางเพศได้

ประเทศไทยได้รับสมญานามว่าเป็น Capital of sex tourist หรือเมืองหลวงของอุตสาหกรรมเซ็กส์ มาอย่างยาวนาน (แม้ว่าเจ้าหน้าที่จะไม่เคยตรวจพบการขายประเวณีในพัทยาหรือภูเก็ตมาก่อนเลยก็ตาม) แม้ว่าภาพลักษณ์ดังกล่าวทำให้ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยว แต่การก้าวไปข้างหน้าเพื่อการสร้างการท่องเที่ยวที่พัฒนา มีคุณค่าและยั่งยืน จำเป็นต้องสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับการท่องเที่ยว เรามีทรัพยากรธรรมชาติที่งดงามมาก มีป่า มีทะเล มีภูเขา มีวัฒนธรรม มีอาหาร มีลักษณะนิสัยของคนไทยที่มีน้ำใจ รักการบริการ เป็นจุดขายที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกอยู่แล้ว สิ่งเหล่านี้ผมคิดว่ามีศักยภาพพอที่จะทดแทนอุตสาหกรรมการบริการทางเพศได้

ไม่ตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่

จากการสำรวจของงานวิจัยเรื่องผลกระทบของแอลกอฮอล์ต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งได้สอบถามไปยังกลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ เราพบว่า การดื่มแอลกอฮอล์ เป็นเพียงกิจกรรที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเข้ามาเที่ยว แต่ไม่ใช่เป้าหมายหลักในการตัดสินใจเลือกแหล่งท่องเที่ยว

นอกจากนั้นจากการวิเคราะห์ศักยภาพในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวโดย World Economic Forum ได้จัดลำดับให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวอยู่ในลำดับ 35 ของโลก โดยมีจุดที่ประเทศไทยต้องปรับปรุงอย่างเร่งด่วนคือ “ความปลอดภัยต่อชีวิตและสุขภาพอนามัยของนักท่องเที่ยว”

ซึ่งความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยวที่ว่านี้คงเพิ่มให้ปลอดภัยมากขึ้นได้ยาก หากมีการขยายเวลาการให้บริการของสถานบันเทิง ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีการบริโภคแอลกอฮอล์ และมีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาด้านความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินแก่นักท่องเที่ยวได้หากมีการบริโภคแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น

ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่ได้รับการจากสำรวจ จึงอนุมานได้ว่า สิ่งที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ต้องการคือการท่องเที่ยวที่ปลอดภัยมากขึ้น สิ่งนี้ควรเป็นลำดับความสำคัญแรกที่ผู้รับผิดชอบควรสร้างนโยบายขึ้นมาเพื่อตอบสนอง คำถามคือ การขยายเวลาเปิดสถานบริการจะยิ่งทำให้ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นหรือลดลง ถ้าทำให้ความปลอดภัยเพิ่มขึ้นไม่ได้ จะยิ่งทำให้จุดอ่อนของการท่องเที่ยวไทยอ่อนยิ่งขึ้น ซึ่งไม่แน่ใจว่าในระยะยาวจะเป็นผลดีต่อภาพรวมของการท่องเที่ยวหรือไม่

 อิตาลีโมเดล ที่แท้จริงเป็นอย่างไร ?

ท่านรัฐมนตรีได้ยกตัวอย่างประเทศอิตาลีว่า ที่นั่นเปิดให้สถานบันเทิงเปิดได้ถึงเช้า แต่เมื่อผมลองทำการค้นคว้าเรื่องข้อบังคับและกติกาของสถานบันเทิงในอิตาลี ก็พบว่าข้อบังคับในประเทศเดียวกันก็มีความแตกต่างในแต่ละเมือง อย่างในกรุงโรมระเบียบเรื่องสถานบันเทิงเข้มงวดมาก เพราะต้องการควบคุมปัญหาที่เกิดจากแอลกอฮอล์ ที่เมืองนี้สถานบันเทิงต้องปิดก่อนเวลา 02.00 น. และ ตั้งแต่เวลา 21.00 น. ร้านค้าปลีกที่ขายแอลกอฮอล์ (off premise) จะถูกสั่งห้ามไม่ให้ขายแล้ว ส่วนร้านค้าที่ลูกค้านั่งดื่มแอลกอฮอล์ สามารถนั่งดื่มได้จนถึง 02.00 น.

เมืองที่มีระเบียบแตกต่างเช่น เมืองมิลาน ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่ง สถานบันเทิงสามารถเปิดได้ถึง 05.00 น.

ดังนั้นข้อสนับสนุนที่ว่าจะใช้อิตาลีโมเดลนั้นอาจต้องระบุถึงรายละเอียดในการควบคุมปัญหาที่อาจจะตามมาจากการขยายเวลาการให้บริการ และ ต้องมีคำอธิบานถึงสาเหตุสำคัญที่ทำให้เมืองใหญ่ที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากสองเมืองมีนโยบายในเรื่องเดียวกันแตกต่างกัน เขียนถึงตรงนี้แล้ว ผมหวังว่าท่านรัฐมนตรี จะพิจารณาข้อเสนอที่กล่าวไป ในฐานะประชาชนที่รักการท่องเที่ยวไทย และอยากให้มันมีคุณค่าต่อประเทศไทย คนไทย และ คนทั่วโลกตราบนานเท่านานครับ

ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.)

Centre for Alcohol Studies (CAS)

สาขาวิชาเวชศาสตร์ครอบครัวและเวชศาสตร์ป้องกัน อาคารศรีเวชวัฒน์ ชั้น 11 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เลขที่ 15 ถนนกาญจนวนิช ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 90110

083-5775533

https://www.facebook.com/cas.org.th

เข้าชมแล้ว 0 ครั้ง
Copyright © 2025 CAS All rights reserved.