คำค้นหา : สถานการณ์

คำนี้ค้นหามาแล้ว : 704 ครั้ง
นักวิชาการ เตือนทุก 10 วินาที มีคนตายจากน้ำเมา 1 คน ชี้ “แอลกอฮอล์” ปัจจัยเร่งป่วยโรค NCDs เกินครึ่งป่วยไม่รู้ตัว
https://cas.or.th/content?id=1035

นักวิชาการ เตือนทุก 10 วินาที มีคนตายจากน้ำเมา 1 คน ชี้ “แอลกอฮอล์” ปัจจัยเร่งป่วยโรค NCDs เกินครึ่งป่วยไม่รู้ตัว สร้างความเสี่ยหายทางเศรษฐกิจ 1.65 แสนล้านบาท สสส.-ศวส. หนุนมาตรการป้องกันที่เหมาะสมกับบริบทพื้นที่-บูรณาการทุกภาคส่วน หวังลดผลกระทบจากน้ำเมา

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 11 ธ.ค. 2568 ที่โรงแรมเบสเวสเทิร์น กรุงเทพฯ ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) ร่วมกับ สมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อแห่งประเทศไทย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเวทีสาธารณะ “แอลกอฮอล์ : ตัวเร่งโรค NCDs และทางออกเพื่อปกป้องสุขภาพคนไทย”

โดย ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุน สสส. เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังก้าวสู่ “ภาวะวิกฤต NCDs” จากโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และพฤติกรรมเสี่ยง โดยเฉพาะการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งสร้างภาระทั้งด้านสุขภาพและเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง เฉพาะปี 2564 ไทยสูญเสียทางเศรษฐกิจกว่า 165,450 ล้านบาท และเกือบ 80% ของคนไทย เคยได้รับผลกระทบจากการดื่มของผู้อื่น ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และครอบครัว แอลกอฮอล์ได้ถูกจัดให้เป็นสารก่อมะเร็งกลุ่มที่ 1 เชื่อมโยงกับมะเร็งอย่างน้อย 8 ชนิด ได้แก่ มะเร็งช่องปาก กล่องเสียง คอหอย เต้านม (ในผู้หญิง) หลอดอาหาร ลำไส้ใหญ่/ทวารหนัก ตับ และตับอ่อน

“แต่ที่น่ากังวลจากงานวิจัยของศวส. สำรวจประชาชนไทย 3,924 คน จาก 12 จังหวัดทั่วประเทศ ในปี 2568 พบคนไทยกว่า 90% ไม่รู้ว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อมะเร็งได้ สะท้อนความจำเป็นของการสื่อสารความเสี่ยงที่ถูกต้องและทันต่อสถานการณ์ เพราะปัญหานี้ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นภารกิจร่วมของทั้งสังคม ทุกคนจึงควรช่วยกันสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ภาระโรคจะลดลง และคุณภาพชีวิตของคนไทยจะดีขึ้นอย่างยั่งยืน” ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าว

รศ.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช อาจารย์ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า จากการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย โดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 7 ปี2567-2568 พบว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา จำนวน 17.1 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ ดื่มอย่างหนัก 7.7 ล้านคน หรือ 45% ส่วนอัตราการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยในทุกกลุ่มอายุ แต่เป็นที่น่าสังเกตคือ แนวโน้มการดื่มในกลุ่มวัยรุ่นมีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันระหว่างวัยรุ่นชายและหญิง ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มวัยผู้ใหญ่หรือสูงอายุที่พบว่า เพศชายมักจะมีอัตราการดื่มสูงกว่าเพศหญิง ความแตกต่างของความชุกของการดื่มระหว่างชายและหญิงมีแนวโน้มแคบลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งใกล้เคียงกับสถานการณ์ในประเทศแถบยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งความเชื่อ หรือการมองว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสิ่งช่วยในการเข้าสังคม หรือความเท่าเทียม

“ในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ยังมีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสัดส่วนที่สูง และคนที่ยังดื่มส่วนมากไม่รู้ตัวว่าป่วยเป็นโรคเรื้อรังแล้ว เช่น ผู้ป่วยเบาหวานที่ยังดื่มแอลกอฮอล์1.4 ล้านคน ในจำนวนนี้ ยังไม่รู้ตัวเองว่าป่วยเป็นเบาหวาน 5.9 แสนคน และผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ยังดื่มแอลกอฮอล์ 4.8 ล้านคน ในจำนวนนี้ ยังไม่รู้ตัวเองว่าป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง 3.1 ล้านคน ซึ่งการดื่มแอลกอฮอล์จะส่งผลเสียต่อการควบคุมโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ยังพบว่าคนที่ดื่มแอลกอฮอล์มีระดับค่าเอนไซม์ตับที่ผิดปกติสูงกว่าคนที่ไม่ดื่มโดยเฉลี่ย 3-5 เท่า และมีระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ที่สูงขึ้นโดยเฉลี่ย 1-2 เท่า ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด” รศ.พญ.เริงฤดี กล่าว

ด้าน รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร ผู้อำนวยการ ศวส. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า คนไทยดื่มแอลกอฮอล์สูงเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน และเป็นอันดับ 1 ของประเทศรายได้ปานกลางระดับบน ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 ร่วมกับการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย โดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 7 ชี้ตรงกันว่า ปัญหาการดื่มแอลกอฮอล์ของคนไทยยังคงสูงมาก ปัจจุบันคนไทยเริ่มดื่มเร็วขึ้น มีอายุเฉลี่ยที่ดื่มครั้งแรกอยู่ที่ 19.9 ปี สะท้อนว่า “ผู้หญิงและเยาวชน” กลายเป็นกลุ่มเปราะบาง และเป้าหมายทางการตลาดของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นพื้นที่ที่มีอัตราการดื่มสูงที่สุดเมื่อเทียบกับภาคอื่น ความแตกต่างนี้ชี้ให้เห็นว่ามาตรการควบคุมต้องตอบโจทย์บริบทแต่ละพื้นที่ควบคู่ไปกับนโยบายระดับชาติ

“ทุก 10 วินาที มีคนตายจากแอลกอฮอล์ 1 คน หากยังปล่อยให้การดื่มเป็นเรื่องปกติ ความสูญเสียจะทวีขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ภาระโรคที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ในไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มากกว่า 1 ใน 10 ของการตาย หรือปีสุขภาวะที่สูญเสีย (DALYs) เกิดจากแอลกอฮอล์ ทั้งก่อให้เกิดการบาดเจ็บ และป่วยจากโรค NCDs เช่น โรคหัวใจ-หลอดเลือด โรคตับ และมะเร็งหลายชนิด โดยเฉพาะผู้ชายที่มีอัตราเสียชีวิตสูงกว่าผู้หญิงอย่างชัดเจน ดังนั้น ไทยจำเป็นต้องมีมาตรการควบคุมแอลกอฮอล์ที่เข้มแข็งขึ้น พร้อมบูรณาการการทำงานทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ นักวิชาการ แพทย์ ภาคประชาชน และชุมชน เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนในระยะยาว และลดภาระ NCDs ที่กำลังทวีความรุนแรง” ผู้อำนวยการ ศวส. กล่าว

------------------------------
เวทีสาธารณะ “แอลกอฮอล์: ตัวเร่งโรค NCDs และทางออกเพื่อปกป้องสุขภาพคนไทย”
เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 ณ โรงแรมเบสเวสเทิร์น จตุจักร กรุงเทพฯ

 

สาระน่ารู้: เราวัด “ปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์” ของคนไทยกันอย่างไร?
https://cas.or.th/content?id=1031
Tags : -

สาระน่ารู้: เราวัด “ปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์” ของคนไทยกันอย่างไร?

หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า…ตัวเลข “การดื่มแอลกอฮอล์ของคนไทย” ที่เราเห็นในข่าวหรือรายงานของกระทรวงสาธารณสุข มาจาก 2 แหล่งข้อมูลหลัก ได้แก่

  1. แบบสอบถามพฤติกรรมของประชาชน 
  2. ข้อมูลปริมาณการผลิตเพื่อจำหน่ายจากกรมสรรพสามิต

โดยทั้งสองแบบมีความสำคัญต่างกัน และเมื่อประกอบกัน จะช่วยให้เราเห็นภาพ “พฤติกรรมการดื่ม” ที่ครบถ้วนที่สุด

วิธีที่ 1: การวัดจากแบบสอบถามพฤติกรรมของประชาชน: ถามคนไทยว่าดื่ม “เท่าไหร่ – บ่อยแค่ไหน – ดื่มแบบไหน”

ซึ่งแบบสอบถามเป็นเครื่องมือสำคัญของนักวิชาการ เพราะช่วยมองเห็นพฤติกรรมที่แท้จริงของผู้ดื่มได้ละเอียด เช่น

  • ดื่มบ่อยแค่ไหน (ความถี่ของการดื่ม)
  • ดื่มกี่แก้วในวันที่ดื่ม (ปริมาณของการดื่ม)
  • ดื่มอะไร (เบียร์ เหล้า ไวน์ ฯลฯ) (ประเภทของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์)
  • ดื่มในสถานการณ์ไหน ดื่มกับใคร เช่น วันหยุด งานเลี้ยง เพื่อนชวน หรือดื่มที่บ้าน (สถานที่และบริบทการดื่ม)
  • มีการดื่มหนักครั้งคราว (binge drinking) หรือไม่

เหตุผลที่ต้องถามละเอียดแบบนี้ เพราะปริมาณแอลกอฮอล์ “เท่ากัน” แต่รูปแบบการดื่มให้ความเสี่ยงไม่เหมือนกัน เช่น ดื่มทีละน้อยทุกวัน กับดื่มหนักรวดเดียว—ผลต่อสุขภาพแตกต่างกันมาก

วิธีที่ 2: วัดจากข้อมูลการผลิตเพื่อจำหน่ายจากกรมสรรพสามิต: ดูจาก “สรรพสามิตว่ามีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผลิตหรือขายออกไปเท่าไหร่”

ข้อมูลจากกรมสรรพสามิตบันทึกว่าในแต่ละปี มีการผลิตเบียร์ เหล้า ไวน์ ออกมากี่ลิตร แล้วนำปริมาณเหล่านี้มาคำนวณเป็น “แอลกอฮอล์บริสุทธิ์” เพื่อดูว่าประชาชนไทยดื่มโดยรวมปีละเท่าไหร่ โดยมีตัวชี้วัดสำคัญ ได้แก่

  • ปริมาณการบริโภคต่อหัวต่อปี (APC)
  • ปริมาณการบริโภคต่อผู้ดื่มต่อปี
การค้าระหว่างประเทศและการพัฒนาอย่างยั่งยืน
https://cas.or.th/content?id=1029

การค้าระหว่างประเทศและการพัฒนาอย่างยั่งยืน


โดย ศ.ดร.นิทัศน์ ศิริโชติรัตน์
สถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ

การประชุมวิชาการประจำปี “การค้าระหว่างประเทศและสุขภาพ” ระหว่างวันที่ 4 - 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 มีผู้แทนจากองค์การค้าโลก กระทรวงการต่างประเทศ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งนักวิชาการ และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง มาร่วมประชุมและให้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันเกี่ยวกับสถานการณ์การเจรจาค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะแนวทางที่ประเทศไทยจะต้องเตรียมพร้อมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

วันสุดท้ายของการประชุมมีประเด็นของแนวทางปฏิบัติเพื่อสนับสนุนให้เกิดการเสริมพลังระหว่างนโยบายการค้าและสุขภาพ และประเด็นพลังของหลักฐานในการทำให้เกิดความสอดคล้องระหว่างนโยบายการค้าและนโยบายสุขภาพ ซึ่งมีการเสนอต่อวิทยากรและผู้เข้าร่วมประชุมว่า ‘ตัวกำหนดพาณิชย์ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ’ (สุรา ยาสูบ อาหารแปรรูป และพลังงานจากฟอสซิล) เป็นอุปสรรคสำคัญของเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งมีการขับเคลื่อนในองค์การสหประชาชาติให้รัฐบาลของประเทศต่างๆ ใช้หลักการ “ผู้ก่อความเสียหาย ต้องชดใช้” เนื่องจาก บริษัทข้ามชาติทั้ง 4 ประเภท ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพ แต่เหตุใดจึงไม่มีการกล่าวถึง ‘ตัวกำหนดพาณิชย์ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ’ ในการประชุม

บริษัทข้ามชาติ 4 ประเภท ถูกบ่งชี้ว่าเป็นต้นเหตุของการเสียชีวิตถึงหนึ่งในสามของประชากรโลกที่เกิดจากโรคไม่ติดต่อ (Gilmore AB, Fabbri A, Baum F, et al., 2021.) การประชุมระดับสูงที่องค์การสหประชาชาติเมื่อปี ค.ศ. 2011 เกี่ยวกับโรคไม่ติดต่อ สรุปว่าองค์กรธุรกิจเหล่านี้เป็นสาเหตุสำคัญของการแพร่ระบาดระดับโลกของโรคไม่ติดต่อ ซึ่งจากการศึกษาภาระโรคระดับโลกเมื่อปี ค.ศ. 2019 บ่งชี้ว่าบริษัทข้ามชาติ 4 ประเภทดังกล่าวเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต 19 ล้านคนต่อปี (หรือร้อยละ 41 จากการเสียชีวิต 42 ล้านรายจากโรคไม่ติดต่อ) มีการวิเคราะห์เชิงลึกถึงพฤติกรรมองค์การ และแนวทางปฏิบัติของบริษัทข้ามชาติเหล่านี้ ซึ่งบ่งชี้ว่ามีการแทรกแซงนโยบายและครอบงำเพื่อโน้มน้าวผู้กำหนดนโยบายให้เอื้อต่อภาคธุรกิจมากกว่าประโยชน์สาธารณะ อีกทั้งให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องในบางกรณีเพื่อให้นโยบายควบคุมผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และยาสูบ ด้อยประสิทธิผลและก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจ และสังคม


ก่อนการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส-19 กรอบการเจรจาการค้าเสรีเน้นเสรีภาพและสิทธิส่วนบุคคลมากกว่ากฎ ระเบียบและมาตรการในการควบคุมโดยภาครัฐ ซึ่งส่งผลให้เกิดพฤติกรรมการบริโภคมากเกินความจำเป็น (Gilmore AB, Fabbri A, Baum F, et al., 2021.) ในขณะเดียวกันภาคธุรกิจโน้มน้าวภาครัฐเพื่อให้เกิดการควบคุมตนเอง (เพื่อไม่ให้ภาครัฐกำหนดมาตรการเพื่อควบคุมภาคธุรกิจ)

อย่างไรก็ตาม หลังการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส-19 มีการปรับเปลี่ยนแนวคิดในการวางกรอบมาตรฐานและควบคุมการตลาดโดยภาครัฐ เพื่อควบคุมโครงสร้างอำนาจของภาคธุรกิจ และลดอันตรายจากพลังอำนาจทางธุรกิจ ในขณะเดียวกันส่งเสริมความเป็นอยู่ทางสังคมให้ดีขึ้น โดยมุ่งเน้นความก้าวหน้าทางสังคมด้วยเศรษฐกิจแนวใหม่ เช่น การนำเศรษฐกิจกลับสู่ความสมดุลของโลก (degrowth) ด้วยการลดความเหลื่อมล้ำ และพัฒนาศักยภาพในการเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็น เพื่อชีวิตที่รุ่งเรือง ยืนยาว และสุขภาพดีของผู้คน และแนวคิด เศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy) ด้วยการนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ (Friel S, Collin J, Daube M, Depoux A, Freudenberg N, Gilmore AB, Johns P, Laar A, Marten R, McKee M, Mialon M, 2023.) หรือ เศรษฐกิจโดนัท (Doughnuts Economics) ซึ่งหมายถึงเศรษฐกิจที่ปกป้องความยุติธรรมทางสังคมและความคุ้มครองทางนิเวศวิทยา ไม่ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จะเติบโต ถดถอย หรือคงที่ (Raworth K, 2017.)

กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระดับโลก ไม่ต่างไปจากกลยุทธ์ของบริษัทยาสูบข้ามชาติในการขาย “สารเสพติด” การคุกคามสุขภาพประชากรโลกโดยบริษัทยาสูบข้ามชาติเป็นที่รับรู้และเข้าใจมากขึ้นในระดับโลกโดยชุมชนผู้กำหนดนโยบาย และประชากรโลก ทำให้ “ภาพพจน์” ของบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถูกเปิดโปงถึงการลงทุนเพื่อ “การออกแบบนโยบาย” ให้สอดรับกับเป้าหมายของการพาณิชย์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระดับโลก (Madden M & McCambridge J, 2021)

แนวทางการพัฒนานโยบายเศรษฐศาสตร์มหภาคที่ผ่านมา โดยรัฐบาลของประเทศต่างๆ ใช้แนวทางผ่านกลไกการตกลงทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นแนวทางที่ได้รับอิทธิพลจากบริษัทข้ามชาติทั้งหลาย เพื่อส่งเสริมแนวคิดการตลาดเสรีและลดกฎ นโยบาย เงื่อนไข ต่างๆ (Braithwaite J, Drahos P, 2000.) ส่งผลให้สอดคล้องกับเป้าประสงค์ขององค์กรธุรกิจในการสร้างผลกำไรสูงสุด โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อสุขภาพ (Thow AM, Snowdon W, Labonte R, et al., 2015; Friel S, Schram A, Townsend B, 2020; Townsend B, Schram A, 2020; Milsom P, Smith R, Baker P, Walls H, 2021.)

ประเด็นสำคัญที่จะปกป้องนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพจากอิทธิพลและพลังอำนาจทางธุรกิจคือการห้ามไม่ให้องค์กรธุรกิจที่มีผลประโยชน์ขัดกับนโยบายสาธารณะเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำนโยบาย เพิ่มมาตรการของความโปร่งใสด้วยการบังคับให้องค์กรธุรกิจและเครือข่ายเปิดเผยงบประมาณและรายงานกิจกรรมในการล้อบบี้ผู้กำหนดนโยบาย รวมทั้งงบประมาณสำหรับการวิจัย (Boushey H, Knudsen L, 2021.)

ประเด็นเรื่องธรรมาภิบาลบ่งชี้ถึงประโยชน์สาธารณะเป็นหลักการสำคัญมากกว่า “กำไร” และเป็นแนวทางในการจำกัดพลังอำนาจทางธุรกิจ ส่งผลให้เกิดความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพ (Buse K, Tanaka S, Hawkes S, 2017.) การปรับแนวคิดใหม่ เนื่องจากแนวคิดเดิมของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (gross domestic product) ไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (Jackson T, 2021.) ส่งผลให้รัฐบาลนิวซีแลนด์ สก็อตแลนด์ เวลส์ นอร์เวย์ และภูฏาน ทบทวนและท้าทายแนวคิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (Hardoon D, Hey N, Brunetti S, 2020; Wellbeing Economy Alliance, 2021; da Silva JG, 2019.) โดยใช้หลักการเศรษฐกิจความเป็นอยู่ดี (wellbeing economy principles) ซึ่งเน้นความเป็นอยู่ดีของประชากรและสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้บรรทัดฐานและทิศทางของการจัดทำนโยบายเปลี่ยนไปจากแนวคิดของพลังอำนาจโดยทุนนิยม (Coscieme L, Sutton P, Morentsen LF, et al., 2019; Buchs M, Baltruszewicz M, Bohnenberger K, et al., 2020.)

ระหว่างวันที่ 25 – 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 จะมีการเจรจา ไทย-สหภาพยุโรป รอบที่ 4 ที่กรุงเทพฯ ซึ่งผู้เขียนบทความนี้ ได้ส่งข้อมูลรายละเอียดจากนักวิชาการระดับโลกไปให้ทางกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้พิจารณาตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จึงหวังว่ากรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ จะใช้โอกาสนี้เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติในการขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน และป้องกันไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพ จาก ‘ตัวกำหนดพาณิชย์ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ’

เอกสารอ้างอิง:
1) Boushey H, Knudsen L, 2021. The importance of competition for the American economy. The White House, 2021. Available at: https://www.whitehouse.gov/.../the-importance.../
2) Braithwaite J, Drahos P, 2000. Global business regulation. Cambridge, Cambridge University
Press, 2000.
3) Buchs M, Baltruszewicz M, Bohnenberger K, et al., 2020. Wellbeing economics for the COVID-19 recovery: ten principles to build back better. 2020. Available at: https://eprints.whiterose.ac.uk/181033/
4) Buse K, Tanaka S, Hawkes S, 2017. Healthy people and healthy profits? Elaborating a conceptual framework for governing the commercial determinants of non-communicable diseases and identifying options for reducing risk exposure. Global Health 2017; 13: 34.
5) Coscieme L, Sutton P, Morentsen LF, Kubiszewski I, Costanza R, Trebeck K, Pulselli FM, Giannetti BF, and Fioramonti L, 2019. Overcoming the myths of mainstream economics to enable a new wellbeing economy. Sustainability (Basel) 2019; 11: 4374.
6) da Silva JG, 2019. From Fome Zero to zero hunger: a global perspective. Rome: Food and Agriculture Organization of the United Nations, 2019.
7) Friel S, Collin J, Daube M, Depoux A, Freudenberg N, Gilmore AB, Johns P, Laar A, Marten R, McKee M, Mialon M, 2023. Commercial Determinants of Health: future directions. Lancet 2023; 401: 1229-40. Available at: https://doi.org/10.1016/ S0140-6736(23)00011-9
8 ) Friel S, Schram A, Townsend B, 2020. The nexus between international trade, food systems, malnutrition and climate change. Nat Food 2020; 1: 51-58.
9) Gilmore AB, Fabbri A, Baum F, Bertscher A, Bondy K, Chang H-J, Demaio S, Erzse A, Freudenberg, N, Friel S, Hofman KJ, Johns P, Karim SA, Lacy-Nichols J, de Carvalho CMP, Marten R, McKee M, Petticrew M, Robertson L, Tangcharoensathien V, Thow AM, 2023. Defining and Conceptualising the Commercial Determinants of Health. Lancet 2023; 401: 1194-213. Available at: https://doi.org/10.1016/ S0140-6736(23)00013-2
10) Hardoon D, Hey N, Brunetti S, 2020. Wellbeing evidence at the heart of policy. Available at: https://whatworkswellbeing.org/.../wellbeing-evidence-at.../
11) Jackson T, 2021. Post growth: life after capitalism. Oxford: Polity Press, 2021. Madden M & McCambridge J, 2021. Alcohol Marketing versus Public Health: David and Goliath? Available at: https://www.ias.org.uk/.../alcohol-marketing-versus.../
12) Milsom P, Smith R, Baker P, Walls H, 2021. Corporate power and the international trade regime preventing progressive policy action on non-communicable diseases: a realist review. Health Policy Plan 2021; 36: 493-508.
13) Raworth K, 2017. Doughnut economics: seven ways to think like a 21st century economist. New York, NY: Random House.
14) Thow AM, Snowdon W, Labonte R, et al., 2015. Will the next generation of preferential trade and investment agreements undermine prevention of noncommunicable diseases? A prospective policy analysis of the Trans Pacific Partnership Agreement. Health Policy 2015; 119: 88-96
15) Townsend B, Schram A, 2020. Trade and investment agreements as structural drivers for NCDs: the new public health frontier. Aust N Z J Public Health 2020; 44: 92-94. Wellbeing Economy Alliance, 2021. A wellbeing economy in action. Available at: https://weall.org/case-studies

8 ประเด็นสำคัญ ในการกำหนดทิศทางของการบังคับใช้จริง หลัง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้วันนี้ (8 พ.ย. 2568)
https://cas.or.th/content?id=1023
Tags : -

8 ประเด็นสำคัญ ในการกำหนดทิศทางของการบังคับใช้จริง
หลัง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้วันนี้ (8 พ.ย. 2568)


8 พฤศจิกายน 2568 เมื่อพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ พระราชบัญญัตินี้ถือเป็นการปรับปรุงจากกฎหมายเดิมที่ใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ให้ทันต่อสถานการณ์ของสังคมไทยที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านเศรษฐกิจ ดิจิทัล เทคโนโลยีสื่อสาร และรูปแบบการตลาดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ซับซ้อนขึ้น

กฎหมายฉบับใหม่นี้มีความก้าวหน้าในหลายด้าน โดยเฉพาะการเติมเต็มช่องว่างที่กฎหมายเดิมยังไม่ครอบคลุม ซึ่งสามารถสรุปเป็นประเด็นสำคัญได้ดังนี้

  • การขยายคำนิยามให้ครอบคลุมสื่อยุคใหม่

พ.ร.บ. ฉบับที่ 2 ได้เพิ่มคำนิยาม “การสื่อสารทางการตลาด” เพื่อให้สามารถควบคุมพฤติกรรมการโฆษณาเชิงแฝง การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย การรีวิว การใช้สัญลักษณ์หรือโลโก้ที่สื่อถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในทุกช่องทาง ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ สอดคล้องกับมาตรา 32/1–32/5 ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการอุดช่องว่างการตลาดสมัยใหม่ที่เข้าถึงเยาวชนได้ง่าย

  • การคุ้มครองเด็ก เยาวชน และกลุ่มเปราะบาง

ย้ำข้อห้ามในการจำหน่ายให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และผู้ที่อยู่ในสภาพมึนเมา พร้อมเพิ่มบทลงโทษแก่ผู้ขายและสถานประกอบการที่ฝ่าฝืน เพื่อสร้างความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างผู้ประกอบการกับสังคม

  • การกำหนดพื้นที่และเวลาการขาย

ยังคงช่วงเวลาอนุญาตให้ขายไว้ที่ 11.00–14.00 น. และ 17.00–24.00 น. ตามเดิม พร้อมให้อำนาจรัฐมนตรีในการประกาศเพิ่มเติมพื้นที่ห้ามขาย เช่น รอบสถานศึกษา วัด โรงพยาบาล และสถานที่ราชการ เพื่อป้องกันการเข้าถึงที่ง่ายเกินไปของกลุ่มเสี่ยง

  • การเพิ่มบทลงโทษและความรับผิดทางแพ่งของผู้ประกอบการ

นับเป็นการยกระดับความรับผิดชอบของธุรกิจค้าปลีกและร้านอาหาร โดยกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องมีหน้าที่ตรวจสอบสถานะผู้ซื้อ และหากปล่อยปละละเลยจนเกิดความเสียหาย อาจต้องร่วมรับผิดทางแพ่งร่วมกับผู้กระทำความผิดโดยตรง

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของนักวิชาการ การประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้ยังต้องการความชัดเจนในการตีความ ซึ่งการทำให้กฎหมายเกิดผลจริงจำเป็นต้องอาศัย “กฎหมายลำดับรอง” ได้แก่ กฎกระทรวง ประกาศ และระเบียบปฏิบัติ ที่จะกำหนดรายละเอียดเชิงปฏิบัติให้สอดคล้องกับหลักการของกฎหมายแม่บท

 

ศวส. เห็นว่า “ช่วงเปลี่ยนผ่านนี้” คือ ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด เพราะจะเป็นการกำหนดทิศทางของการบังคับใช้จริงในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในประเด็นต่อไปนี้

1. ความชัดเจนของคำนิยามและขอบเขตการบังคับใช้

นักวิชาการเสนอให้มี การนิยามคำสำคัญให้ตรงกันในทุกประกาศ เช่น คำว่า “สถานที่หรือบริเวณห้ามขาย”, “บริเวณสาธารณะ”, “การจัดเลี้ยงตามประเพณี” และ “พื้นที่ของรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐ” เพื่อป้องกันปัญหาการตีความแตกต่างกันระหว่างเจ้าหน้าที่แต่ละพื้นที่ และควรกำหนดหลักเกณฑ์เชิงปฏิบัติ ว่า “การจัดเลี้ยงตามประเพณี” หมายถึงงานใดบ้าง (เช่น งานศพ งานแต่ง งานทำบุญประจำปี) เพื่อป้องกันการอ้างเป็นข้อยกเว้นโดยมิชอบ

2. การซ้ำซ้อนของพื้นที่ห้ามขาย/บริโภค

ประกาศหลายฉบับ (เช่น รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานรัฐ พื้นที่ราชการ สถานีขนส่ง สวนสาธารณะ ทาง และ ท่าเรือ) มีลักษณะพื้นที่ทับซ้อนกัน จึงควรมี “ผังหรือแนวทางบูรณาการพื้นที่ควบคุม” เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าใจขอบเขตเดียวกันและไม่เกิดความซ้ำซ้อนในการจับกุมหรือดำเนินคดี และเสนอให้จัดทำภาคผนวกแผนที่ (GIS Mapping) แสดงพื้นที่ควบคุม เพื่อให้ตีความตรงกันทั่วประเทศ

3. การกำหนดข้อยกเว้นต้องระบุเงื่อนไขอย่างรัดกุม

หลายร่างประกาศมีการยกเว้น “บริเวณที่จัดไว้เป็นร้านค้า สโมสร หรือการจัดเลี้ยงตามประเพณี” ซึ่งอาจเปิดช่องให้ตีความกว้างเกินไป เสนอให้ระบุเงื่อนไขการอนุญาต (เช่น เฉพาะกิจกรรมที่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ หรือมีระบบควบคุมไม่ให้เยาวชนเข้าถึง) เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายแม่บทที่มุ่งจำกัดการเข้าถึง

4.กระบวนการคัดเลือกกรรมการในคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ในร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีหลายฉบับ (มาตรา 10 (4)-(8)) กำหนดกระบวนการคัดเลือกผู้แทนองค์กรต่าง ๆ นักวิชาการเห็นว่าควรเพิ่มหลักเกณฑ์ความโปร่งใสและการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ, คุณสมบัติด้านจริยธรรมและความเป็นกลางของผู้แทนภาคธุรกิจ, และมาตรการป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน ระหว่างผู้แทนกับอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งเสนอให้มีกระบวนการสรรหาโดยคณะกรรมการอิสระร่วมกับภาควิชาการ เพื่อยืนยันความโปร่งใส

5. การบังคับใช้ในพื้นที่ท้องถิ่น

มีความกังวลว่าหน่วยงานท้องถิ่นบางแห่งยังขาดความเข้าใจและศักยภาพในการบังคับใช้กฎหมาย จึงควรกำหนดในกฎหมายลำดับรองให้ชัดว่า

  • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีบทบาทอย่างไรในการตรวจสอบและแจ้งเบาะแส
  • จะมีระบบประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างไร
  • เสนอให้ระบุช่องทางร้องเรียน E-Complaint หรือ Hotline ในระเบียบ เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมตรวจสอบ

6. การตีความเกี่ยวกับ “งานเลี้ยงตามประเพณี” และ “กิจกรรมพิเศษ”

ร่างประกาศบางฉบับ (เช่น ประกาศว่าด้วยทางรถไฟ และรัฐวิสาหกิจ) อนุญาตให้บริโภคได้ใน “งานเลี้ยงตามประเพณี” หรือ “กิจกรรมพิเศษ” เสนอให้ระบุเกณฑ์ชัด ๆ เช่น

  • ต้องเป็นงานที่มีลักษณะตามวัฒนธรรมท้องถิ่นหรือศาสนา
  • ได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดหรือหน่วยงานที่กำกับพื้นที่
  • มีมาตรการควบคุมไม่ให้เยาวชนหรือบุคคลเมาเข้าร่วม

7. ผลกระทบต่อการบังคับใช้และความเข้าใจของประชาชน

หากข้อความในประกาศยังใช้ภาษากฎหมายทั่วไปโดยไม่ระบุแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม จะเกิดปัญหาการตีความต่างกันระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชน เสนอให้มี “คู่มือการตีความและการบังคับใช้ (Implementation Guideline)” ออกพร้อมกับกฎหมายลำดับรอง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทั่วประเทศยึดแนวเดียวกัน

8. ความจำเป็นของกลไกติดตามประเมินผล

เสนอให้จัดตั้งคณะอนุกรรมการติดตามผลการบังคับใช้กฎหมายลำดับรอง เพื่อติดตามปัญหา ข้อร้องเรียน และเสนอปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง โดยมีภาควิชาการและภาคประชาสังคมร่วมเป็นกรรมการ

ดังนั้น การออกกฎหมายลำดับรองภายใต้พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ถือเป็นหัวใจสำคัญของการแปลง “เจตนารมณ์ของกฎหมาย” ให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง ภารกิจหลังจากนี้จึงไม่ใช่เพียง “การเขียนถ้อยคำให้ครบถ้วนตามมาตรา” แต่คือการทำให้กฎหมายเหล่านั้น สะท้อนคุณค่าของสังคมที่ให้ความสำคัญกับชีวิต สุขภาพ และศักดิ์ศรีของประชาชนไทยทุกคน ยิ่งไปกว่านั้น กฎหมายแม่บทที่ประกาศใช้แล้วจะมีความหมายต่อสุขภาพของคนไทยได้ ก็ต่อเมื่อกฎหมายลำดับรองเหล่านี้สามารถ กำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน โปร่งใส เป็นธรรม และยึดผลประโยชน์สาธารณะเป็นที่ตั้ง เพราะในที่สุดแล้ว “กฎหมาย” มิใช่เพียงเครื่องมือควบคุม หากคือพันธะร่วมของรัฐและสังคมไทยในการปกป้องสุขภาพของประชาชน และสร้างสังคมที่เห็นคุณค่าของชีวิตมากกว่าผลประโยชน์ทางการค้า

 10 กรกฎาคม 2568 วันอาสาฬหบูชา
https://cas.or.th/content?id=979
Tags : -

 10 กรกฎาคม 2568 | วันอาสาฬหบูชา
"งดสุราในวันอาสาฬหบูชา: ทางเลือกเพื่อชีวิตที่ดีกว่า"


        วันอาสาฬหบูชา เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือนแปด เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ปฐมเทศนา แก่ปัญจวัคคีย์ เรื่อง “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” ซึ่งอธิบายหลักธรรมสำคัญ ได้แก่ ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ และทางนำไปสู่ความดับทุกข์ อันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา วันอาสาฬหบูชาจึงเป็นช่วงเวลาที่ชาวพุทธมักใช้ในการปฏิบัติธรรม เพื่อชำระจิตใจให้บริสุทธิ์และหันกลับมาใคร่ครวญชีวิตอย่างมีสติ (พระไพศาล วิสาโล, 2560)

        ในโอกาสนี้ ประเทศไทยได้กำหนดให้วันอาสาฬหบูชาเป็นหนึ่งในวันห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามกฎหมาย ร่วมกับวันพระใหญ่อื่น ๆ เช่น วันมาฆบูชา วิสาขบูชา เข้าพรรษา และออกพรรษา (ราชกิจจานุเบกษา, 2551) เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนงดเว้นจากการบริโภคสุรา และใช้เวลานี้ในการละกิเลส ฝึกจิต และเสริมสร้างสุขภาวะ

        แอลกอฮอล์หรือสุรา แม้จะเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวันของใครหลายคน แต่แท้จริงแล้วเป็นหนึ่งในต้นเหตุสำคัญของทุกข์ทั้งทางกายและทางใจ ไม่เพียงก่อให้เกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคตับ โรคหัวใจ หรือปัญหาระบบประสาท (Rehm et al., 2009) แต่ยังส่งผลกระทบต่อสังคม เช่น อุบัติเหตุบนท้องถนน ความรุนแรงในครอบครัว และการละเมิดสิทธิผู้อื่น พระพุทธศาสนาถือว่าสุราเป็นหนึ่งในอบายมุข และการงดเว้นจากการดื่มสุราก็เป็นหนึ่งในศีล 5 ซึ่งพุทธศาสนิกชนควรยึดถือ

        จากข้อมูลของศูนย์วิจัยปัญหาสุรา พบว่า การดื่มสุรามีความเชื่อมโยงกับปัญหาอุบัติเหตุ การใช้ความรุนแรง และการเจ็บป่วยจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อย่างชัดเจน (ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา, 2565) นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังระบุว่า แอลกอฮอล์เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงอันดับต้น ๆ ของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและวัยแรงงาน ซึ่งเป็นกำลังสำคัญของประเทศ (WHO, 2018)

        วันอาสาฬหบูชาจึงอาจเป็นโอกาสสำคัญในการเริ่มต้น “ละเลิกเหล้า” และทบทวนเส้นทางชีวิตของตนเอง เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นทั้งต่อร่างกาย จิตใจ และความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง และหากผู้คนสามารถรักษาพฤติกรรมนี้ไว้ตลอดช่วงเข้าพรรษา ก็อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่จะทำให้ “การงดเหล้า” กลายเป็นวิถีชีวิตระยะยาว

เอกสารอ้างอิง:
1) พระไพศาล วิสาโล. (2560). พุทธธรรมในชีวิตประจำวัน. กรุงเทพฯ: สวนเงินมีมา.
2) ราชกิจจานุเบกษา. (2551). พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551.
3) Rehm J, Mathers C, Popova S, et al. (2009). Global burden of disease and injury and economic cost attributable to alcohol use and alcohol-use disorders. Lancet, 373(9682), 2223–2233.
4) ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา. (2565). รายงานสถานการณ์แอลกอฮอล์ประเทศไทย.
5) World Health Organization (WHO). (2018). Global Status Report on Alcohol and Health 2018. Geneva: WHO."

สถานการณ์การดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย 2564 VS 2567
https://cas.or.th/content?id=934

3 ปีผ่านไป คนไทยดื่มมากขึ้น!!

ผลจากการสำรวจของสำนักงานสถิติ ปี 2567 รายงานว่า จำนวนผู้ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ (นักดื่มปัจจุบัน; นักดื่มฯ ในรอบ 12 เดือนที่แล้ว) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 28.0 (16 ล้านคน) ในปี 2564 เป็นร้อยละ 35.2 (20.9 ล้านคน) ในปี 2567

1) ความชุก "นักดื่มหนัก" เพิ่มขึ้นทุกกลุ่ม

  • โดยรวมเพิ่มขึ้น 7.2%
  • ผู้ชายเพิ่มขึ้น 9.3%
  • ผู้หญิงเพิ่มขึ้น 5.9%

2) คนไทยเริ่มดื่มเร็วขึ้น

  • อายุเฉลี่ยที่เริ่มดื่มลดลงจาก 20.4 ปี → 19.9 ปี
  • ผู้ชายเริ่มดื่มเร็วขึ้นเฉลี่ย 0.5 ปี
  • ผู้หญิงเริ่มดื่มเร็วขึ้นเฉลี่ย 1 ปี

3) เด็กและเยาวชนดื่มมากขึ้น

  • วัย 15–19 ปี: ความชุกเพิ่มจาก 9.0% → 9.6%
  • วัย 20–24 ปี: ความชุกเพิ่มจาก 31.6% → 37.8%

พฤติกรรมดื่มเหล้าในไทยกำลังเปลี่ยนไปในทิศทางที่น่ากังวล โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและนักดื่มหนัก การเฝ้าระวังและการป้องกันจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการ

มติการประชุม คณะทำงานด้านวิชาการในการสนับสนุนการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
https://cas.or.th/content?id=889

มติการประชุม คณะทำงานด้านวิชาการในการสนับสนุนการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 
ภายใต้อนุกรรมการวิชาการ คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ความเสี่ยงในการแก้ไขกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือประกาศที่ใช้บังคับในการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568

1) การยกเลิกกำหนดเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยการให้โรงแรมที่จดทะเบียนสามารถขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือการขยายเวลาขายให้สถานประกอบการคล้ายสถานบริการขายได้ถึงตีสี่:

        ปัจจุบันมีโรงแรมที่จดทะเบียนประมาณ 15,000 แห่ง แขกในโรงแรมสามารถดื่มจากสินค้าที่วางขายในห้องอยู่แล้ว หากครอบคลุมไปถึงร้านค้า ร้านอาหารในโรงแรม มาตรการนี้จะทำให้เกิดการบริโภคเพิ่มขึ้นอย่างมาก แขกและลูกค้าภายนอกของโรงแรมสามารถเข้ามาใช้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง จะเกิดการดื่มแล้วขับทำให้บาดเจ็บและการตายบนท้องถนนเพิ่มมากขึ้นในหลายจังหวัดอย่างแน่นอน ประมาณ 15-20% เป็นอย่างน้อย ดังปรากฏข้อเท็จจริงว่าในการขยายเวลาให้สถานบริการในพื้นที่ จังหวัดชลบุรีและภูเก็ตที่รวมประมาณ 1,000 สถานบริการ โดยขยายเวลาบริการได้ถึงตีสี่ ทำให้เกิดอุบัติเหตุในช่วงตีสองถึงเจ็ดโมงเช้าเพิ่มขึ้นทั้งสองจังหวัด เกิดการบาดเจ็บเพิ่ม 900 ราย (เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 14%) และมีการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นทั้งสองจังหวัดรวมกัน 37 ราย (เพิ่มขึ้น 25%) โดยแม้แต่พื้นที่นำร่องที่ขยายเวลาฯ ก็ยังไม่ได้ดำเนินการให้เป็นตามมาตรการที่กำหนด ยิ่งไปกว่านั้นในพื้นที่เขตโซนนิ่งมีปัญหาอาชญากรรมเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ป่าตอง มีเหตุทุกวัน ทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าว ชาวบ้านในพื้นที่ใช้ชีวิตลำบากมากขึ้น โจรขโมยเยอะขึ้น และแน่นอนว่าเป็นการเพิ่มภาระงานให้กับบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่กู้ภัย และที่พัทยา พบนักท่องเที่ยวโดนคนเมาทำร้าย อย่างไรก็ดีหากโรงแรมที่มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศมากและใช้บริการอาหารเที่ยงของโรงแรมมีความประสงค์ขอขยายเวลาการขายในช่วง 14.00-17.00 น. อาจพิจารณาเป็นข้อยกเว้นภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนดขึ้น และตรวจสอบรับรองโดยคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับจังหวัด ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของ พ.ร.บ. ฉบับแก้ไขที่กำลังพิจารณาในสภาขณะนี้

2) การห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา:

        การอนุญาตให้ขายในวันสำคัญทางศาสนาเพียง 5 วัน ประชาชนส่วนใหญ่อาจไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะที่นับถือศาสนาพุทธ เนื่องจากมีมิติทางสังคมวัฒนธรรม และเมื่อพิจารณาสถานการณ์ปัจจุบัน พบว่า ประชาชนยังสามารถหาซื้อได้ในร้านขายของชำทั่วไป โดยสามารถซื้อได้ตลอด แม้ว่าเป็นช่วงเวลาห้ามขายก็ตาม สะท้อนให้เห็นถึงการบังคับใช้กฎหมายที่ผ่านมา ไม่มีการตรวจสอบหรือสุ่มตรวจร้านค้า คณะทำงานด้านวิชาการฯ เสนอให้คงการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนาไว้ 5 วันคงเดิม และไม่เห็นด้วยที่จะยกเว้นให้ขายได้ในสถานประกอบการคล้ายสถานบริการ เพราะจะไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งจำนวนสถานประกอบการคล้ายสถานบริการมีมากกว่า 1 แสนราย ส่วนสถานบริการตามกฎหมายสถานบริการ 2,000 ราย ควรจะห้ามเช่นเดิม แต่อาจมีข้อยกเว้นให้กับบางพื้นที่เท่านั้น เช่น ท่าอากาศยานระหว่างประเทศ โรงแรม โดยคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัดต้องรับรองตรวจสอบให้มีมาตรการเฝ้าระวัง ติดตาม และป้องกันผลกระทบอย่างจริงจัง

3) การขายออนไลน์:

        ไม่ควรอนุมัติให้มีการยกเลิกกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือประกาศที่ใช้บังคับปัจจุบันเพื่อให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ต่อผู้บริโภคโดยตรงได้ และควรชะลอการตัดสินใจเพื่อสั่งการให้มีคณะศึกษาผลกระทบในเรื่องนี้อย่างละเอียด เนื่องจากปัจจุบันมีร้านค้าที่พร้อมจะขายออนไลน์ เช่น ร้านสะดวกซื้อแบบธุรกิจขนาดใหญ่เกือบสองหมื่นร้าน ร้านอาหาร ผับ บาร์ อีกประมาณสองแสนร้าน หรืออาจเกือบครึ่งหนึ่งจากใบอนุญาตขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 570,000 ใบ ประกอบกับมีแพลตฟอร์มการสั่งซื้อที่สะดวกมากมายหลากหลายที่ไม่มีการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ซื้อ จะทำให้เยาวชนเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ง่ายโดยปราศจากการตรวจสอบอายุตามที่กฎหมายกำหนด ไม่สามารถตรวจสอบตัวตนของผู้ขายและตรวจสอบใบอนุญาตขาย ซึ่งมีความย้อนแย้งกับมติคณะรัฐมนตรีที่ให้ดำเนินการแก้ไขโดยที่ต้องคำนึงถึงการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไม่เหมาะสมของเยาวชนเป็นสำคัญ ทั้งนี้ การขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ต่อผู้บริโภคโดยตรงนั้นก็ไม่ได้เป็นวิธีการส่งเสริมการท่องเที่ยวแต่อย่างใด และในทางกลับกันอาจกลายเป็นช่องทางที่มีการสั่งสินค้าแอลกอฮอล์จากต่างประเทศได้ ประกอบกับผลจากการบังคับใช้การขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ผ่านมา พบว่า มีการสื่อสารโพสต์คอนเทนต์โฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 และได้ลองดำเนินการแจ้งทางแพลตฟอร์มโซเชียล ก็ไม่ได้รับความร่วมมือ จึงทำให้ไม่สามารถดำเนินคดีต่อได้

4) ประเด็นอื่น ๆ:

  • การดำเนินงานในแต่ละประเด็น ควรต้องสร้างตัวเลือกในการดำเนินงาน อาจประกอบด้วยแนวทางหลักและแนวทางสำรอง เช่น อาจจะลองดำเนินการในบางพื้นที่ ซึ่งรัฐต้องมีการควบคุม ติดตาม และรายงานผลของนโยบายให้เป็นที่ประจักษ์ เพื่อลดผลกระทบ โดยมาตรการความพร้อมต้องเกิดก่อนออกมาตรการ
  • ควรมีการศึกษาวิจัยมิติทางสังคมที่มาช่วยยืนยันได้ว่า นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวประเทศไทย มาเพราะอยากดื่มเหล้า มาเล่นคาสิโน และมีงานวิจัยต่างประเทศที่ชี้ว่าการส่งเสริมการท่องเที่ยวในการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นไม่ได้ส่งเสริมรายได้ทางเศรษฐานะของประชาชนได้จริง
  • การเพิ่มช่องทางการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ย่อมเพิ่มผลกระทบแน่นอน ส่วนใหญ่จะพบข้อมูลผลกระทบที่เป็นภัยทางถนนเป็นส่วนใหญ่และเห็นแนวโน้มชัดเจน ซึ่งอาจต้องพิจารณาถึงผลกระทบด้านอื่นร่วมด้วย เช่น เหตุทะเลาะวิวาทจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือดื่มจนเสียชีวิต การติดสุรา ข้อมูลความรุนแรง เป็นต้น ซึ่งยังไม่ค่อยมีข้อมูลด้านนี้ จึงไม่สามารถนำมาใช้ในการประกอบการพิจารณาได้อย่างรอบด้าน

5) บทสรุป:

        เนื่องจากการยกเลิกมาตรการต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องการให้ขายออนไลน์ ขยายเวลาขายในโรงแรม 24 ชั่วโมง หรือการขยายเวลาให้สถานบริการและสถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการจะมีความเสี่ยงทำให้เกิดการเสียชีวิตประมาณ 600-800 ราย จากการดื่มขับ การเร่งรัดแก้ไขให้เสร็จเร็วเพื่อทันเทศกาลสงกรานต์สำหรับการท่องเที่ยวจึงอาจเป็นการละเลยและประมาทในการปกป้องความปลอดภัยของคนไทยตามหน้าที่ของรัฐที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญ คณะทำงานด้านวิชาการฯ เสนอให้มีการศึกษาเพื่อพิจารณาความพร้อมต่าง ๆ อย่างรอบด้าน ไม่ควรรีบดำเนินการเพราะไม่ได้เป็นภาวะฉุกเฉิน

เราทำเต็มที่แล้วหรือยังเพื่อให้ได้กฎหมายที่ช่วยให้พวกเราทุกคนปลอดภัย!? ทั้งจากคนที่ไม่ดี ปืนที่อยู่ในมือคนไม่ดี และเหล้าที่พร้อมจะทำให้คนดีกลายเป็นคนไม่ดี
https://cas.or.th/content?id=26

เราทำเต็มที่แล้วหรือยังเพื่อให้ได้กฎหมายที่ช่วยให้พวกเราทุกคนปลอดภัย!? ทั้งจากคนที่ไม่ดี ปืนที่อยู่ในมือคนไม่ดี และเหล้าที่พร้อมจะทำให้คนดีกลายเป็นคนไม่ดี

จากข่าวที่ อส. ในอำเภอหาดใหญ่ กราดยิงลูกค้าร้านข้าวต้มเนื่องจากโมโหและทะเลาะกับเจ้าของร้าน จนทำให้ครอบครัวที่มาฉลองจัดงานวันเกิดให้ลูกเสียชีวิตไป 2 คน และเจ้าของร้านได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกยิงที่ศีรษะ ก่อนอื่นผมต้องขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวของผู้เสียชีวิตที่ควรจะเป็นวันที่มีความสุขวันหนึ่งของครอบครัว แต่กลายเป็นวันที่เศร้าที่สุด ครอบครัวของเจ้าของร้านข้าวต้มที่ทำมาหากินปกติแต่มาเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเช่นนี้ จนทำให้หัวหน้าครอบครัวบาดเจ็บสาหัสอาจจะพิการตลอดชีวิต ทั้งหมดนี้เกิดจากสามองค์ประกอบคือ คน ปืน และเหล้า ทั้งสามเป็นส่วนผสมที่มีโอกาสนำมาซึ่งความเลวร้าย แม้ว่าในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ทุกคนในเรื่องจะเป็นสุจริตชนก็ตาม

ปัญหาความรุนแรงในสังคม หลายครั้งที่มีเหล้าเป็นองค์ประกอบ ซึ่งที่น่าเศร้าใจคือ บางครั้งผู้รับเคราะห์นั้นไม่ได้เป็นคนดื่มด้วยซ้ำ อย่างเช่นกรณีนี้ สำหรับประเทศที่คำนึงถึงความปลอดภัยของคนในสังคมเขาอย่างเข้มงวด กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีหน้าที่ปกป้องคนทั้งที่ดื่มและไม่ดื่มเหล้าเบียร์ให้ปลอดภัยจากอันตรายของมัน อันตรายโดยตรงของมันคือทำให้คนมึนเมาขาดสติ ซึ่งคนมึนเมาขาดสติหยิบจับอะไรก็ดูอันตรายไปหมด ที่เห็นชัดคือจับพวงมาลัยรถกับจับปืน คนที่เมาแอ๋ไปแล้วแม้กระทั่งจับโทรศัพท์ยังอันตรายเลย การทำให้เคสนี้หายไปจากความทรงจำของคนไทยทุกคนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้ว แต่สำหรับอนาคตข้างหน้าเราจะสามารถลดโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้หากกฎหมายเกี่ยวข้องกับการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่หย่อนยาน และคุ้มครองพวกเราทุกคนจากสถานการณ์ที่จะนำไปสู่อันตรายจากเหล้าเบียร์ได้จริง ๆ

อย่างเช่นในกรณีที่เกิดขึ้นนี้หากเรามีกฎหมายทั้งฝั่งควบคุมอาวุธปืน และควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เข้มแข็ง เราจะลดโอกาสการเกิดเหตุการณ์นี้ไปได้หลายอย่างเลย ประการแรกสถานที่จำหน่ายถ้าทุกร้านที่จำหน่ายคนขายมีความรู้มีความเข้าใจความเสี่ยงจะประเมินคนซื้อได้ ในต่างประเทศเขามีการให้ใบอนุญาต (license) สำหรับการขายแบบนั่งดื่มในร้าน เข้าใจว่า เคสนี้คนขายในร้านไม่ต้องขออนุญาตสำหรับการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประการที่สอง: เวลาจำหน่าย เหตุการณ์เกิดเวลาใกล้ 22.00 น.แล้ว ซึ่งเป็นยามวิกาล โอกาสเกิดอาชญากรรมง่าย บางประเทศควบคุมหรือห้ามจำหน่ายในเวลาดังกล่าว เช่นในประเทศสิงคโปร์ ที่ห้ามจำหน่ายตั้งแต่ 22.30 น. การจำหน่ายสุราในช่วงเวลากลางคืน มีความเสี่ยงมากกว่าช่วงเวลากลางวัน กฎหมายที่เข้มงวดจึงมีการห้ามขายในช่วงเวลานี้ เพื่อลดโอกาสเกิดอาชญากรรม

นอกจากนั้นในบางประเทศมีกฎหมายเรียกว่า dram shop liability ซึ่งมีเนื้อหาใจความคือ ผู้ขายต้องประเมินได้ว่าผู้ซื้ออยู่ในอาการครองสติได้หรือไม่ หากไม่มีการประเมินหรือประเมินผิดพลาด และจำหน่ายสุราให้คนครองสติไม่ได้ หากผู้ซื้อไปก่อเหตุอะไรก็ตามที่ผิดกฎหมาย ไม่ว่าอาชญากรรมหรือเมาแล้วขับ ผู้ขายต้องมีส่วนรับผิดชอบทางแพ่งด้วย

ความมึนเมาทำให้คนเป็นปิศาจ เพราะขาดความยับยั้งชั่งใจ เราเรียกความยับยั้งชั่งใจนี้ในภาษาการแพทย์ว่า inhibitory process กล่าวคือถ้าคนปกติโกรธโมโห ในความคิดมีเรื่องร้าย ๆ ที่อยากจะทำ ความยับยั้งชั่งใจของคนปกติจะทำงานและบอกว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่เมื่อความโกรธเจอกับคนเมาระบบยั้งคิดนี้จะเสียไปแล้ว ความคิดอะไรที่ไม่ดีก็จะทำทันที กลายเป็นโศกนาฏกรรมอย่างที่เห็นในข่าว
ประชาชนคนไทยตัวเล็กตัวน้อยรับเคราะห์จากเหล้าเบียร์ ตายกันหลายหมื่นคนต่อปี ในขณะที่เจ้าสัวแสนล้านนอนหลับสบายใจ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่าทำไมเหตุร้ายที่ระบุสาเหตุร่วมของการกระทำได้อย่างการผลิตและจำหน่ายเหล้าเบียร์ คนที่ได้ประโยชน์จากกำไรและการควบคุมตลาดแบบผูกขาด รวมทั้งผู้ผลิตเหล้าเบียร์รายย่อยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดภายใต้สโลแกน “soft power” แทบไม่เคยร่วมรับผิดชอบผลกระทบด้านลบต่อสังคมจากสิ่งที่ทำให้เขาร่ำรวยเลย

ในช่วงวาระนี้จะมีการผลักดันกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ด้วย กลุ่มทุนอุตสาหกรรมสุราพยายามเต็มที่ที่จะผลักดันกฎหมายหนึ่ง ที่จะให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ทำหน้าที่ควบคุมกลั่นกรองกฎหมายต่าง ๆ ในการควบคุมทั้งการผลิตและจำหน่ายแอลกอฮอล์ โดยความพยายามหนึ่งคือ ต้องการให้ตำแหน่งในคณะกรรมการนี้มีที่นั่งจากผู้ผลิตและจำหน่ายเหล้าเบียร์ด้วย หากกรรมการชุดนี้เกิดขึ้นจริงและมีคนจากอุตสาหกรรมเข้ามามีส่วนร่วมด้วย กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของไทยคงไปในทางหย่อนยานลงเรื่อย ๆ

อย่าให้เคสแบบนี้เกิดขึ้นอีกและทำได้แค่เพียงแสดงความเสียใจ เราเห็นกันชัดเจนว่า เหตุการณ์ที่โศกเศร้าเช่นนี้เกิดจากปัจจัยสามอย่างคือ คน ปืน และ เหล้าที่เข้าปาก เราทำเต็มที่แล้วหรือยังเพื่อให้ได้กฎหมายที่ช่วยให้พวกเราทุกคนปลอดภัย ทั้งจากคนไม่ดี ปืนที่อยู่ในมือคนไม่ดี และเหล้าที่พร้อมจะทำให้คนดีกลายเป็นคนไม่ดี และเมื่อคนไม่ดีถือปืน ย่อมมีอันตรายต่อสังคม เราต้องใช้สิทธิและเสียงของเราปกป้องอนาคตเรา ผมมีความรู้เรื่องกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมอาวุธปืนไม่มาก แต่ความรู้ที่ผมมีคือ เรื่องการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยกฎหมาย สิ่งที่ผมพอจะทำให้สังคมเราปลอดภัยมากขึ้นสำหรับคนไทยทุกคน คือทำให้กฎหมายควบคุมเหล้าเบียร์ของเราแข็งแรง ไม่ปล่อยให้โอกาสเกิดร้าย ๆ แบบนี้เกิดขึ้นได้ง่าย และหากเกิดขึ้นแล้วก็ต้องมีคนรับผิดชอบอย่างเต็มกำลัง

เรียบเรียงโดย ดร.นพ.มูฮัมมัดฟาห์มี ตาเละ
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานรินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

เราทำเต็มที่แล้วหรือยัง เพื่อให้ได้กฎหมายที่ช่วยให้พวกเราทุกคนปลอดภัย!? ปืนที่อยู่ในมือคนไม่ดี และเหล้าที่พร้อมจะทำให้คนดีกลายเป็นคนไม่ดี
https://cas.or.th/content?id=511

เราทำเต็มที่แล้วหรือยังเพื่อให้ได้กฎหมายที่ช่วยให้พวกเราทุกคนปลอดภัย!? ทั้งจากคนที่ไม่ดี ปืนที่อยู่ในมือคนไม่ดี และเหล้าที่พร้อมจะทำให้คนดีกลายเป็นคนไม่ดี

จากข่าวที่ อส. ในอำเภอหาดใหญ่ กราดยิงลูกค้าร้านข้าวต้มเนื่องจากโมโหและทะเลาะกับเจ้าของร้าน จนทำให้ครอบครัวที่มาฉลองจัดงานวันเกิดให้ลูกเสียชีวิตไป 2 คน และเจ้าของร้านได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกยิงที่ศีรษะ ก่อนอื่นผมต้องขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวของผู้เสียชีวิตที่ควรจะเป็นวันที่มีความสุขวันหนึ่งของครอบครัว แต่กลายเป็นวันที่เศร้าที่สุด ครอบครัวของเจ้าของร้านข้าวต้มที่ทำมาหากินปกติแต่มาเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเช่นนี้ จนทำให้หัวหน้าครอบครัวบาดเจ็บสาหัสอาจจะพิการตลอดชีวิต ทั้งหมดนี้เกิดจากสามองค์ประกอบคือ คน ปืน และเหล้า ทั้งสามเป็นส่วนผสมที่มีโอกาสนำมาซึ่งความเลวร้าย แม้ว่าในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ทุกคนในเรื่องจะเป็นสุจริตชนก็ตาม

ปัญหาความรุนแรงในสังคม หลายครั้งที่มีเหล้าเป็นองค์ประกอบ ซึ่งที่น่าเศร้าใจคือ บางครั้งผู้รับเคราะห์นั้นไม่ได้เป็นคนดื่มด้วยซ้ำ อย่างเช่นกรณีนี้ สำหรับประเทศที่คำนึงถึงความปลอดภัยของคนในสังคมเขาอย่างเข้มงวด กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีหน้าที่ปกป้องคนทั้งที่ดื่มและไม่ดื่มเหล้าเบียร์ให้ปลอดภัยจากอันตรายของมัน อันตรายโดยตรงของมันคือทำให้คนมึนเมาขาดสติ ซึ่งคนมึนเมาขาดสติหยิบจับอะไรก็ดูอันตรายไปหมด ที่เห็นชัดคือจับพวงมาลัยรถกับจับปืน คนที่เมาแอ๋ไปแล้วแม้กระทั่งจับโทรศัพท์ยังอันตรายเลย การทำให้เคสนี้หายไปจากความทรงจำของคนไทยทุกคนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้ว แต่สำหรับอนาคตข้างหน้าเราจะสามารถลดโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้หากกฎหมายเกี่ยวข้องกับการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่หย่อนยาน และคุ้มครองพวกเราทุกคนจากสถานการณ์ที่จะนำไปสู่อันตรายจากเหล้าเบียร์ได้จริง ๆ

อย่างเช่นในกรณีที่เกิดขึ้นนี้หากเรามีกฎหมายทั้งฝั่งควบคุมอาวุธปืน และควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เข้มแข็ง เราจะลดโอกาสการเกิดเหตุการณ์นี้ไปได้หลายอย่างเลย ประการแรกสถานที่จำหน่ายถ้าทุกร้านที่จำหน่ายคนขายมีความรู้มีความเข้าใจความเสี่ยงจะประเมินคนซื้อได้ ในต่างประเทศเขามีการให้ใบอนุญาต (license) สำหรับการขายแบบนั่งดื่มในร้าน เข้าใจว่า เคสนี้คนขายในร้านไม่ต้องขออนุญาตสำหรับการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประการที่สอง: เวลาจำหน่าย เหตุการณ์เกิดเวลาใกล้ 22.00 น.แล้ว ซึ่งเป็นยามวิกาล โอกาสเกิดอาชญากรรมง่าย บางประเทศควบคุมหรือห้ามจำหน่ายในเวลาดังกล่าว เช่นในประเทศสิงคโปร์ ที่ห้ามจำหน่ายตั้งแต่ 22.30 น. การจำหน่ายสุราในช่วงเวลากลางคืน มีความเสี่ยงมากกว่าช่วงเวลากลางวัน กฎหมายที่เข้มงวดจึงมีการห้ามขายในช่วงเวลานี้ เพื่อลดโอกาสเกิดอาชญากรรม

นอกจากนั้นในบางประเทศมีกฎหมายเรียกว่า dram shop liability ซึ่งมีเนื้อหาใจความคือ ผู้ขายต้องประเมินได้ว่าผู้ซื้ออยู่ในอาการครองสติได้หรือไม่ หากไม่มีการประเมินหรือประเมินผิดพลาด และจำหน่ายสุราให้คนครองสติไม่ได้ หากผู้ซื้อไปก่อเหตุอะไรก็ตามที่ผิดกฎหมาย ไม่ว่าอาชญากรรมหรือเมาแล้วขับ ผู้ขายต้องมีส่วนรับผิดชอบทางแพ่งด้วย

ความมึนเมาทำให้คนเป็นปิศาจ เพราะขาดความยับยั้งชั่งใจ เราเรียกความยับยั้งชั่งใจนี้ในภาษาการแพทย์ว่า inhibitory process กล่าวคือถ้าคนปกติโกรธโมโห ในความคิดมีเรื่องร้าย ๆ ที่อยากจะทำ ความยับยั้งชั่งใจของคนปกติจะทำงานและบอกว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่เมื่อความโกรธเจอกับคนเมาระบบยั้งคิดนี้จะเสียไปแล้ว ความคิดอะไรที่ไม่ดีก็จะทำทันที กลายเป็นโศกนาฏกรรมอย่างที่เห็นในข่าว
ประชาชนคนไทยตัวเล็กตัวน้อยรับเคราะห์จากเหล้าเบียร์ ตายกันหลายหมื่นคนต่อปี ในขณะที่เจ้าสัวแสนล้านนอนหลับสบายใจ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่าทำไมเหตุร้ายที่ระบุสาเหตุร่วมของการกระทำได้อย่างการผลิตและจำหน่ายเหล้าเบียร์ คนที่ได้ประโยชน์จากกำไรและการควบคุมตลาดแบบผูกขาด รวมทั้งผู้ผลิตเหล้าเบียร์รายย่อยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดภายใต้สโลแกน “soft power” แทบไม่เคยร่วมรับผิดชอบผลกระทบด้านลบต่อสังคมจากสิ่งที่ทำให้เขาร่ำรวยเลย

ในช่วงวาระนี้จะมีการผลักดันกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ด้วย กลุ่มทุนอุตสาหกรรมสุราพยายามเต็มที่ที่จะผลักดันกฎหมายหนึ่ง ที่จะให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ทำหน้าที่ควบคุมกลั่นกรองกฎหมายต่าง ๆ ในการควบคุมทั้งการผลิตและจำหน่ายแอลกอฮอล์ โดยความพยายามหนึ่งคือ ต้องการให้ตำแหน่งในคณะกรรมการนี้มีที่นั่งจากผู้ผลิตและจำหน่ายเหล้าเบียร์ด้วย หากกรรมการชุดนี้เกิดขึ้นจริงและมีคนจากอุตสาหกรรมเข้ามามีส่วนร่วมด้วย กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของไทยคงไปในทางหย่อนยานลงเรื่อย ๆ

อย่าให้เคสแบบนี้เกิดขึ้นอีกและทำได้แค่เพียงแสดงความเสียใจ เราเห็นกันชัดเจนว่า เหตุการณ์ที่โศกเศร้าเช่นนี้เกิดจากปัจจัยสามอย่างคือ คน ปืน และ เหล้าที่เข้าปาก เราทำเต็มที่แล้วหรือยังเพื่อให้ได้กฎหมายที่ช่วยให้พวกเราทุกคนปลอดภัย ทั้งจากคนไม่ดี ปืนที่อยู่ในมือคนไม่ดี และเหล้าที่พร้อมจะทำให้คนดีกลายเป็นคนไม่ดี และเมื่อคนไม่ดีถือปืน ย่อมมีอันตรายต่อสังคม เราต้องใช้สิทธิและเสียงของเราปกป้องอนาคตเรา ผมมีความรู้เรื่องกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมอาวุธปืนไม่มาก แต่ความรู้ที่ผมมีคือ เรื่องการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยกฎหมาย สิ่งที่ผมพอจะทำให้สังคมเราปลอดภัยมากขึ้นสำหรับคนไทยทุกคน คือทำให้กฎหมายควบคุมเหล้าเบียร์ของเราแข็งแรง ไม่ปล่อยให้โอกาสเกิดร้าย ๆ แบบนี้เกิดขึ้นได้ง่าย และหากเกิดขึ้นแล้วก็ต้องมีคนรับผิดชอบอย่างเต็มกำลัง

เรียบเรียงโดย ดร.นพ.มูฮัมมัดฟาห์มี ตาเละ
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานรินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.)

Centre for Alcohol Studies (CAS)

สาขาวิชาเวชศาสตร์ครอบครัวและเวชศาสตร์ป้องกัน อาคารศรีเวชวัฒน์ ชั้น 11 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เลขที่ 15 ถนนกาญจนวนิช ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 90110

083-5775533

https://www.facebook.com/cas.org.th

เข้าชมแล้ว 0 ครั้ง
Copyright © 2025 CAS All rights reserved.