คำค้นหา : เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

คำนี้ค้นหามาแล้ว : 5519 ครั้ง
8 ประเด็นสำคัญ ในการกำหนดทิศทางของการบังคับใช้จริง หลัง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้วันนี้ (8 พ.ย. 2568)
https://cas.or.th/content?id=1023
Tags : -

8 ประเด็นสำคัญ ในการกำหนดทิศทางของการบังคับใช้จริง
หลัง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้วันนี้ (8 พ.ย. 2568)


8 พฤศจิกายน 2568 เมื่อพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ พระราชบัญญัตินี้ถือเป็นการปรับปรุงจากกฎหมายเดิมที่ใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ให้ทันต่อสถานการณ์ของสังคมไทยที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านเศรษฐกิจ ดิจิทัล เทคโนโลยีสื่อสาร และรูปแบบการตลาดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ซับซ้อนขึ้น

กฎหมายฉบับใหม่นี้มีความก้าวหน้าในหลายด้าน โดยเฉพาะการเติมเต็มช่องว่างที่กฎหมายเดิมยังไม่ครอบคลุม ซึ่งสามารถสรุปเป็นประเด็นสำคัญได้ดังนี้

  • การขยายคำนิยามให้ครอบคลุมสื่อยุคใหม่

พ.ร.บ. ฉบับที่ 2 ได้เพิ่มคำนิยาม “การสื่อสารทางการตลาด” เพื่อให้สามารถควบคุมพฤติกรรมการโฆษณาเชิงแฝง การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย การรีวิว การใช้สัญลักษณ์หรือโลโก้ที่สื่อถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในทุกช่องทาง ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ สอดคล้องกับมาตรา 32/1–32/5 ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการอุดช่องว่างการตลาดสมัยใหม่ที่เข้าถึงเยาวชนได้ง่าย

  • การคุ้มครองเด็ก เยาวชน และกลุ่มเปราะบาง

ย้ำข้อห้ามในการจำหน่ายให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และผู้ที่อยู่ในสภาพมึนเมา พร้อมเพิ่มบทลงโทษแก่ผู้ขายและสถานประกอบการที่ฝ่าฝืน เพื่อสร้างความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างผู้ประกอบการกับสังคม

  • การกำหนดพื้นที่และเวลาการขาย

ยังคงช่วงเวลาอนุญาตให้ขายไว้ที่ 11.00–14.00 น. และ 17.00–24.00 น. ตามเดิม พร้อมให้อำนาจรัฐมนตรีในการประกาศเพิ่มเติมพื้นที่ห้ามขาย เช่น รอบสถานศึกษา วัด โรงพยาบาล และสถานที่ราชการ เพื่อป้องกันการเข้าถึงที่ง่ายเกินไปของกลุ่มเสี่ยง

  • การเพิ่มบทลงโทษและความรับผิดทางแพ่งของผู้ประกอบการ

นับเป็นการยกระดับความรับผิดชอบของธุรกิจค้าปลีกและร้านอาหาร โดยกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องมีหน้าที่ตรวจสอบสถานะผู้ซื้อ และหากปล่อยปละละเลยจนเกิดความเสียหาย อาจต้องร่วมรับผิดทางแพ่งร่วมกับผู้กระทำความผิดโดยตรง

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของนักวิชาการ การประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้ยังต้องการความชัดเจนในการตีความ ซึ่งการทำให้กฎหมายเกิดผลจริงจำเป็นต้องอาศัย “กฎหมายลำดับรอง” ได้แก่ กฎกระทรวง ประกาศ และระเบียบปฏิบัติ ที่จะกำหนดรายละเอียดเชิงปฏิบัติให้สอดคล้องกับหลักการของกฎหมายแม่บท

 

ศวส. เห็นว่า “ช่วงเปลี่ยนผ่านนี้” คือ ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด เพราะจะเป็นการกำหนดทิศทางของการบังคับใช้จริงในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในประเด็นต่อไปนี้

1. ความชัดเจนของคำนิยามและขอบเขตการบังคับใช้

นักวิชาการเสนอให้มี การนิยามคำสำคัญให้ตรงกันในทุกประกาศ เช่น คำว่า “สถานที่หรือบริเวณห้ามขาย”, “บริเวณสาธารณะ”, “การจัดเลี้ยงตามประเพณี” และ “พื้นที่ของรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐ” เพื่อป้องกันปัญหาการตีความแตกต่างกันระหว่างเจ้าหน้าที่แต่ละพื้นที่ และควรกำหนดหลักเกณฑ์เชิงปฏิบัติ ว่า “การจัดเลี้ยงตามประเพณี” หมายถึงงานใดบ้าง (เช่น งานศพ งานแต่ง งานทำบุญประจำปี) เพื่อป้องกันการอ้างเป็นข้อยกเว้นโดยมิชอบ

2. การซ้ำซ้อนของพื้นที่ห้ามขาย/บริโภค

ประกาศหลายฉบับ (เช่น รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานรัฐ พื้นที่ราชการ สถานีขนส่ง สวนสาธารณะ ทาง และ ท่าเรือ) มีลักษณะพื้นที่ทับซ้อนกัน จึงควรมี “ผังหรือแนวทางบูรณาการพื้นที่ควบคุม” เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าใจขอบเขตเดียวกันและไม่เกิดความซ้ำซ้อนในการจับกุมหรือดำเนินคดี และเสนอให้จัดทำภาคผนวกแผนที่ (GIS Mapping) แสดงพื้นที่ควบคุม เพื่อให้ตีความตรงกันทั่วประเทศ

3. การกำหนดข้อยกเว้นต้องระบุเงื่อนไขอย่างรัดกุม

หลายร่างประกาศมีการยกเว้น “บริเวณที่จัดไว้เป็นร้านค้า สโมสร หรือการจัดเลี้ยงตามประเพณี” ซึ่งอาจเปิดช่องให้ตีความกว้างเกินไป เสนอให้ระบุเงื่อนไขการอนุญาต (เช่น เฉพาะกิจกรรมที่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ หรือมีระบบควบคุมไม่ให้เยาวชนเข้าถึง) เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายแม่บทที่มุ่งจำกัดการเข้าถึง

4.กระบวนการคัดเลือกกรรมการในคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ในร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีหลายฉบับ (มาตรา 10 (4)-(8)) กำหนดกระบวนการคัดเลือกผู้แทนองค์กรต่าง ๆ นักวิชาการเห็นว่าควรเพิ่มหลักเกณฑ์ความโปร่งใสและการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ, คุณสมบัติด้านจริยธรรมและความเป็นกลางของผู้แทนภาคธุรกิจ, และมาตรการป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน ระหว่างผู้แทนกับอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งเสนอให้มีกระบวนการสรรหาโดยคณะกรรมการอิสระร่วมกับภาควิชาการ เพื่อยืนยันความโปร่งใส

5. การบังคับใช้ในพื้นที่ท้องถิ่น

มีความกังวลว่าหน่วยงานท้องถิ่นบางแห่งยังขาดความเข้าใจและศักยภาพในการบังคับใช้กฎหมาย จึงควรกำหนดในกฎหมายลำดับรองให้ชัดว่า

  • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีบทบาทอย่างไรในการตรวจสอบและแจ้งเบาะแส
  • จะมีระบบประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างไร
  • เสนอให้ระบุช่องทางร้องเรียน E-Complaint หรือ Hotline ในระเบียบ เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมตรวจสอบ

6. การตีความเกี่ยวกับ “งานเลี้ยงตามประเพณี” และ “กิจกรรมพิเศษ”

ร่างประกาศบางฉบับ (เช่น ประกาศว่าด้วยทางรถไฟ และรัฐวิสาหกิจ) อนุญาตให้บริโภคได้ใน “งานเลี้ยงตามประเพณี” หรือ “กิจกรรมพิเศษ” เสนอให้ระบุเกณฑ์ชัด ๆ เช่น

  • ต้องเป็นงานที่มีลักษณะตามวัฒนธรรมท้องถิ่นหรือศาสนา
  • ได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดหรือหน่วยงานที่กำกับพื้นที่
  • มีมาตรการควบคุมไม่ให้เยาวชนหรือบุคคลเมาเข้าร่วม

7. ผลกระทบต่อการบังคับใช้และความเข้าใจของประชาชน

หากข้อความในประกาศยังใช้ภาษากฎหมายทั่วไปโดยไม่ระบุแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม จะเกิดปัญหาการตีความต่างกันระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชน เสนอให้มี “คู่มือการตีความและการบังคับใช้ (Implementation Guideline)” ออกพร้อมกับกฎหมายลำดับรอง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทั่วประเทศยึดแนวเดียวกัน

8. ความจำเป็นของกลไกติดตามประเมินผล

เสนอให้จัดตั้งคณะอนุกรรมการติดตามผลการบังคับใช้กฎหมายลำดับรอง เพื่อติดตามปัญหา ข้อร้องเรียน และเสนอปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง โดยมีภาควิชาการและภาคประชาสังคมร่วมเป็นกรรมการ

ดังนั้น การออกกฎหมายลำดับรองภายใต้พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ถือเป็นหัวใจสำคัญของการแปลง “เจตนารมณ์ของกฎหมาย” ให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง ภารกิจหลังจากนี้จึงไม่ใช่เพียง “การเขียนถ้อยคำให้ครบถ้วนตามมาตรา” แต่คือการทำให้กฎหมายเหล่านั้น สะท้อนคุณค่าของสังคมที่ให้ความสำคัญกับชีวิต สุขภาพ และศักดิ์ศรีของประชาชนไทยทุกคน ยิ่งไปกว่านั้น กฎหมายแม่บทที่ประกาศใช้แล้วจะมีความหมายต่อสุขภาพของคนไทยได้ ก็ต่อเมื่อกฎหมายลำดับรองเหล่านี้สามารถ กำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน โปร่งใส เป็นธรรม และยึดผลประโยชน์สาธารณะเป็นที่ตั้ง เพราะในที่สุดแล้ว “กฎหมาย” มิใช่เพียงเครื่องมือควบคุม หากคือพันธะร่วมของรัฐและสังคมไทยในการปกป้องสุขภาพของประชาชน และสร้างสังคมที่เห็นคุณค่าของชีวิตมากกว่าผลประโยชน์ทางการค้า

วันลอยกระทง กับความเสี่ยงใหม่ที่น่ากลัวของสังคมไทย
https://cas.or.th/content?id=1022
Tags : -

วันลอยกระทง กับความเสี่ยงใหม่ที่น่ากลัวของสังคมไทย



ในอดีต สองเทศกาลอันเป็นเสาหลักแห่งความสุขของคนไทย คือ สงกรานต์ และ ปีใหม่ไทย เป็นช่วงเวลาที่ครื้นเครง สายลมเย็นของบทเพลงประเพณี พาผู้คนเดินหน้าสู่การเฉลิมฉลองอย่างอิสระท่ามกลางครอบครัวและเพื่อนฝูง อย่างไรก็ดี เบื้องหลังเสียงหัวเราะนั้น กลับมีเรื่องราวของความสูญเสียที่ซุกซ่อนอยู่ เสียงเครื่องยนต์ไซเรนบนท้องถนนที่ไม่มีใครอยากได้ยินมากนัก เพราะมันคือเสียงของชีวิตคนหลายพันรายที่ถูกคร่าชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนน ซึ่งยิ่งใหญ่ขึ้นทุกปี และสาเหตุคือการ เมาเหล้า

แต่วันนี้ เราอาจมองข้ามอีกหนึ่งเทศกาล ที่แฝงความสุขไว้และแฝงภัยไว้เช่นกัน นั่นคือ วันลอยกระทง เทศกาลอันเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมไทย ที่ถูกยกระดับให้เป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยวและการเฉลิมฉลองในเมืองใหญ่และชนบททั่วประเทศ แต่เมื่อเรามองลึกเข้าไป พบว่า เทศกาลซึ่งควรจะเป็น “คืนแห่งความรื่นเริง” กลับกลายเป็น “คืนแห่งความเสี่ยง” ที่คุกคามชีวิตของผู้คนมากขึ้นทุกปี

จากข้อมูลของหน่วยงานสาธารณสุข ระบุว่าในช่วงปี พ.ศ. 2559–2563 มีผู้เสียชีวิตจากการจมน้ำในวันลอยกระทงรวมประมาณ 60 คน เฉลี่ยปีละ 12 คน และที่น่าตกใจคือ “วันถัดจากงาน” ตัวเลขจะเพิ่มขึ้นอีก 1–2 เท่า และที่เป็นปัจจัยชี้ชัดคือ การดื่มสุรา การลงไปเก็บเงินในกระทงอย่างไม่ทันระวัง และการปล่อยให้เด็กอยู่ใกล้แหล่งน้ำโดยลำพัง

ยิ่งกว่านั้น เทศกาลลอยกระทงยังเริ่ม “ขยับเข้าใกล้” ภัยที่เรามองว่าเป็นของสงกรานต์ กล่าวคือ อุบัติเหตุทางถนนในช่วงวันลอยกระทง มีความเสี่ยงรองจากเทศกาลสงกรานต์แล้ว โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ในเวลากลางคืน และการดื่มสุราในพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำ กลายเป็นสัดส่วนสูงของอุบัติเหตุทั้งหมด

จึงพึงกล่าวได้ว่า เทศกาลลอยกระทงไม่ใช่เพียง “คืนแห่งการปล่อยกระทง” แต่มีความหมายอื่นแฝงอยู่ คือคืนแห่งความเปราะบางของชีวิต หากไม่มีการเตรียมตัวอย่างรัดกุม ผู้ใหญ่ที่ดื่มจนเมาแล้วขับ เด็กที่อยู่ตามลำพังบริเวณน้ำ สายชูชีพที่ไม่มี ใช้ไฟส่องพื้นที่ไม่พอ รั้วกั้นตลิ่งไม่ชัด พวกนี้คือองค์ประกอบของโศกนาฎกรรมเล็ก ๆ ที่เราปล่อยให้เกิดซ้ำ

เราทุกฝ่ายควรร่วมกันสะท้อน:

  • ทำไมเราจึงรณรงค์เรื่อง “ไม่เมา” “ไม่ขับ” “ไม่ปล่อยเด็ก” ในช่วงสงกรานต์และปีใหม่ได้อย่างเข้มข้น แต่ สำหรับวันลอยกระทงกลับเหมือนองค์กรรัฐ หน่วยงานท้องถิ่น และสังคม ตระหนักน้อยกว่า?
  • ทำไมเทศกาลที่ควรเป็นสัญลักษณ์ของการขอขมาพระแม่คงคา กลับกลายเป็น “คืนแห่งการจมน้ำ” และ “คืนแห่งอุบัติเหตุบนถนน” โดยที่ได้รับความสนใจในเรื่องผลกระทบจากภัยแอลกอฮอล์น้อยกว่าสองเทศกาลหลักของประเทศอย่างมาก

เทศกาลลอยกระทง ต้องได้รับการรณรงค์เรื่องความปลอดภัยในระดับเดียวกับสงกรานต์และปีใหม่ ภัยของลอยกระทง — ภัยของสงกรานต์ — ภัยของปีใหม่ ทั้งหมด ล้วนมี “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” เป็นตัวแปรร่วม ถ้ารัฐบาล หน่วยงานท้องถิ่น สังคม และประชาชน ไม่ตั้งมาตรการควบคุมการดื่มเหล้าในวันสำคัญและวันรื่นเริงให้ดีกว่านี้ ก็อาจปล่อยให้ความสูญเสียดำเนินต่อไปอีกโดยไม่ยุติ

ให้คืนของวัฒนธรรมคืนนี้เป็นคืนแห่งความสุขอย่างแท้จริง ไม่ใช่คืนแห่งความเสียใจ

เรียบเรียงโดย ดร.นพ.มูฮัมมัดฟาห์มี ตาเละ
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานรินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

อ้างอิงข้อมูลจาก:

  1. https://www.tnnthailand.com/tnnexclusive/216297/
  2. https://www.bangkokbiznews.com/health/social/1036367?
ศวส. ห่วง เปิดผับตีสี่-เลิกโซนนิ่ง "ทางลัดเศรษฐกิจ หรือ ทางตันสาธารณสุข!?"
https://cas.or.th/content?id=1020
Tags : -

ศวส. ห่วง เปิดผับตีสี่-เลิกโซนนิ่ง "ทางลัดเศรษฐกิจ หรือ ทางตันสาธารณสุข!?"


 

ข้อสั่งการล่าสุดของท่านนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่สั่งการให้กระทรวงมหาดไทยและสาธารณสุขร่วมหารือศึกษาแนวทาง “เปิดเสรีแอลกอฮอล์” ไม่ว่าจะเป็น การยกเลิกโซนนิ่งพื้นที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขยายเวลาเปิดสถานบันเทิงถึง 04.00 น. และยกเลิกข้อห้ามขายช่วงบ่าย 14.00–17.00 น. ภายในเดือนมกราคม 2569 ถูกนำเสนอในฐานะมาตรการการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มของรัฐและการกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยว แต่คำถามสำคัญคือ — เรากำลังแลกเศรษฐกิจด้วยชีวิตคนไทยหรือไม่?

ศูนย์วิจัยปัญหาสุรามีความห่วงกังวลอย่างยิ่ง เนื่องจากมีหลักฐานวิชาการที่มีการประเมินนโยบายในลักษณะเดียวกันที่ดำเนินการในพื้นที่นำร่อง 5 จังหวัดในปี 2567 บ่งชี้ชัดว่า การผ่อนคลายกฎหมายลักษณะนี้ไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่ตั้งเป้า แต่กลับสร้างผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ

หลักฐานจากพื้นที่นำร่อง: บทเรียนที่ไม่ควรมองข้าม
การประเมินผลกระทบจากการขยายเวลาเปิดสถานบันเทิงใน 5 จังหวัดนำร่อง ปี 2567 พบข้อค้นพบที่ควรทำให้ผู้กำหนดนโยบายต้องทบทวนอย่างจริงจัง

  • อุบัติเหตุและการบาดเจ็บเพิ่มขึ้นทันที หลังจากขยายเวลา ผู้บาดเจ็บทางถนนเพิ่มขึ้น 12% และผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 13% โดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวใหญ่ที่มีสถานบันเทิงจำนวนมากอย่างกรุงเทพฯ ชลบุรี และภูเก็ต การเสียชีวิตพุ่งสูงถึง 22%
  • คดีเมาแล้วขับเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว เพิ่มขึ้นถึง 115% ในช่วงเวลาเดียวกัน และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่นำร่อง
  • ภาระระบบสาธารณสุขและความปลอดภัย โรงพยาบาลต้องรองรับผู้บาดเจ็บฉุกเฉินเพิ่มกว่า 740 ราย ภายในไม่กี่เดือนแรก และเจ้าหน้าที่ต้องแบกรับภาระตรวจตราความสงบเรียบร้อยมากกว่าที่ผ่านมา
  • เศรษฐกิจไม่ได้เติบโตตามที่อ้าง จังหวัดที่ไม่ได้ขยายเวลาปิดสถานบันเทิงกลับมีอัตราการเติบโตด้านรายได้และจำนวนนักท่องเที่ยวสูงกว่าเกือบ 2 เท่า แสดงว่าการท่องเที่ยวคุณภาพไม่ได้ขึ้นอยู่กับการดื่มแอลกอฮอล์จนดึก

ความเสี่ยงใหม่: เยาวชนและกลุ่มเปราะบาง
หากข้อสั่งการใหม่นี้ถูกขยายทั่วประเทศ ผลกระทบย่อมรุนแรงขึ้นหลายเท่า

  • การเลิกโซนนิ่ง จะทำให้สถานบันเทิงกระจายไปทั่ว เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ควบคุมยากขึ้น
  • การขยายเวลาเปิดถึงตีสี่ จะเพิ่มการดื่มต่อเนื่องยาวนาน ความเสี่ยงเมาแล้วขับสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด
  • การยกเลิกห้ามขายช่วงบ่าย จะเปิดช่องให้เยาวชนและผู้ใช้แรงงานเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ในช่วงเวลาที่เดิมออกแบบมาเพื่อป้องกันการดื่มต่อเนื่อง

นี่ไม่ใช่เพียงประเด็น “เศรษฐกิจ” แต่คือเรื่อง “สุขภาพและความปลอดภัยของคนทั้งประเทศ” โดยเฉพาะเยาวชนและกลุ่มเปราะบางที่มักเป็นผู้รับผลกระทบโดยตรง

ข้อเสนอเชิงนโยบาย

  1. รัฐบาลควรทบทวนและไม่ขยายเสรีการขายเหล้า เนื่องจากหลักฐานชี้ชัดว่า “ต้นทุนทางสุขภาพและสังคมสูงกว่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ”
  2. หากมีการดำเนินการใด ๆ ต้อง คงระบบโซนนิ่ง และเสริมมาตรการควบคุม เช่น การตรวจบัตรจริงจัง การตรวจวัดแอลกอฮอล์ก่อนออกจากสถานบันเทิง และบทลงโทษที่ชัดเจน
  3. ควรหันไป พัฒนาเศรษฐกิจท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ เช่น วัฒนธรรม ธรรมชาติ และสุขภาพ ที่สร้างรายได้ระยะยาวโดยไม่เพิ่มภาระต่อสุขภาพและความปลอดภัยของสังคม

 

นโยบายเปิดเสรีแอลกอฮอล์อาจถูกเสนอว่าเป็น “ทางลัดทางเศรษฐกิจ” แต่หลักฐานเชิงวิชาการยืนยันแล้วว่านี่คือ ทางตันด้านสาธารณสุขและความปลอดภัย ศวส. จึงขอเรียกร้องให้ผู้กำหนดนโยบายใช้ข้อมูลและข้อเท็จจริงประกอบการตัดสินใจอย่างรอบคอบ เพราะเศรษฐกิจที่ได้เพียงเล็กน้อย ไม่ควรแลกด้วยสุขภาพและความมั่นคงทางสังคมของประชาชนทั้งประเทศและที่สำคัญ ความย้อนแย้งเชิงนโยบายนี้ยิ่งตอกย้ำข้อกังวล รัฐบาลนี้เป็นพรรคที่คัดค้าน พ.ร.บ. Entertainment Complex โดยอ้างความห่วงใยผลกระทบต่อสังคม แต่กลับใช้เหตุผลอีกแบบในการขยายเวลาขายและยกเลิกโซนนิ่ง แม้จะมีหลักฐานเชิงประจักษ์ชี้ชัดถึงผลเสีย หากการใช้ข้อมูลยังมีสองมาตรฐานเช่นนี้ ประชาชนจะเชื่อมั่นได้อย่างไรว่าการตัดสินใจด้านนโยบายทำขึ้นเพื่อสาธารณะประโยชน์อย่างแท้จริง

เอกสารอ้างอิง: คณะผู้ทรงคุณวุฒิอิสระเพื่อศึกษานโยบายการขยายเวลา. การประเมินผลกระทบของนโยบายการขยายเวลาปิดสถานบริการจากตีสองเป็นตีสี่ในพื้นที่นำร่อง 5 จังหวัดของประเทศไทย 2567. วารสารการสร้างเสริมสุขภาพไทย. 2567;3(2):1–6

 

ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา ร่วมสร้างเครือข่ายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระดับภูมิภาค ในงาน APAPA-SEAAPA Regional Networking Meeting 2025
https://cas.or.th/content?id=1002
Tags : -

ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา ร่วมสร้างเครือข่ายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระดับภูมิภาค

รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา และ ศ.ดร.พญ.สาวิตรี อัษณางค์กรชัย ที่ปรึกษาศูนย์วิจัยปัญหาสุรา ได้เข้าร่วม APAPA-SEAAPA Regional Networking Meeting 2025 ระหว่างวันที่ 8–10 ตุลาคม 2568 ณ กรุงเทพฯ

การประชุมครั้งนี้มีผู้แทนภาคีรวม 26 คน จาก ประเทศไทย อินเดีย เนปาล ศรีลังกา นอร์เวย์ และฟิลิปปินส์ มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เสริมสร้างความร่วมมือ และระดมความคิดเห็นเชิงนโยบาย เพื่อขับเคลื่อนการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างมีประสิทธิภาพในระดับภูมิภาค

“แอลกอฮอล์เป็นเพื่อนหรือศัตรูของหัวใจ?” ไขทุกข้อสงสัย แอลกอฮอล์กับสุขภาพหัวใจ จากใจหมอโรคหัวใจ
https://cas.or.th/content?id=994
Tags : -

 

“แอลกอฮอล์เป็นเพื่อนหรือศัตรูของหัวใจ?”
ไขทุกข้อสงสัย แอลกอฮอล์กับสุขภาพหัวใจ จากใจหมอโรคหัวใจ
#29กันยายนวันหัวใจโลก #WorldHeartDay

สวัสดีครับ ในฐานะแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจอยู่ทุกวัน ผมมักจะได้ยินคำถามที่น่าสนใจและพบบ่อยที่สุดคำถามหนึ่งคือ “คุณหมอครับ/คะ ดื่มไวน์วันละแก้ว บำรุงหัวใจได้จริงไหม?” หรือ “ดื่มเบียร์เย็นๆ ให้เลือดลมสูบฉีดดีใช่ไหม?”

ผมเข้าใจดีว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นส่วนหนึ่งของการสังสรรค์และการผ่อนคลายของใครหลายคน และมีความเชื่อบางอย่างที่ส่งต่อกันมาว่าการดื่มในปริมาณน้อย ๆ อาจมีประโยชน์ต่อหัวใจ วันนี้ ผมจึงอยากใช้โอกาสนี้พูดคุยกับทุกท่านอย่างตรงไปตรงมา เพื่อไขข้อข้องใจทั้งหมด และให้ข้อมูลที่ชัดเจนที่สุดว่าในความเป็นจริงแล้ว แอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเป็นเหล้า เบียร์ หรือไวน์ ส่งผลต่อหัวใจของเราอย่างไรกันแน่

 

ความเชื่อที่โด่งดัง "ดื่มพอดีมีประโยชน์" มาจากไหน?

ท่านอาจเคยได้ยินเรื่อง "ปรากฏการณ์ J-shaped curve" ซึ่งเป็นกราฟรูปตัว J ที่แสดงให้เห็นว่าคนที่ดื่มแอลกอฮอล์เล็กน้อย มีความเสี่ยงโรคหัวใจต่ำกว่าคนที่ไม่ดื่มเลย ทำให้เกิดความเชื่อว่าการดื่มแต่พอดี นั้นดีต่อสุขภาพ แต่ในวงการแพทย์ปัจจุบัน เราพบว่าข้อมูลนี้อาจมีข้อบกพร่องซ่อนอยู่ครับ (1,2) ลองนึกภาพตามนะครับ ในกลุ่ม "คนที่ไม่ดื่มเลย" นั้น มีหลายคนที่ "เคยดื่มหนัก" มาก่อนแล้วป่วยด้วยโรคต่าง ๆ จนต้องหยุดดื่ม เมื่อนำคนกลุ่มนี้มารวมกับคนที่ไม่เคยดื่มเลย จึงทำให้ค่าเฉลี่ยสุขภาพของกลุ่ม "ไม่ดื่ม" ดูแย่กว่าความเป็นจริง

สมาคมหัวใจและองค์กรสุขภาพระดับโลกจึงได้ข้อสรุปใหม่ที่ชัดเจนกว่าเดิมว่า ไม่มีระดับการดื่มแอลกอฮอล์ใดที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ 100% (3) ประโยชน์ที่อาจได้รับนั้นน้อยมากเมื่อเทียบกับความเสี่ยงมากมายที่ตามมาครับ

สรุปได้ว่า "การดื่มแอลกอฮอล์ไม่เป็นผลดีต่อหัวใจ ไม่ว่าจะดื่มมากหรือน้อย เพราะไม่มีคำว่าปริมาณที่ปลอดภัยจริง ๆ"

 

แอลกอฮอล์เดินทางไปทำร้ายหัวใจของเราได้อย่างไร?

เมื่อเราดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป มันไม่ได้อยู่แค่ในแก้ว แต่จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดและเดินทางไปทั่วร่างกาย รวมถึง "หัวใจ" ซึ่งเป็นอวัยวะที่ทำงานหนักที่สุด และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นครับ

1. ทำให้หัวใจ "เมา" จนเต้นผิดจังหวะ

ลองนึกภาพว่าหัวใจของเรามีระบบไฟฟ้าที่แม่นยำคอยควบคุมการเต้นให้เป็นจังหวะสม่ำเสมอ เหมือนวงออเคสตราที่มีวาทยกรคอยควบคุม แอลกอฮอล์ก็เหมือนคนดูที่เข้าไปป่วนในห้องซ้อม ทำให้ระบบไฟฟ้าของหัวใจรวน เกิดการลัดวงจรชั่วขณะ หัวใจจึงเริ่มเต้นสะเปะสะปะ ไม่เป็นจังหวะ หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia) (4) ที่พบบ่อยที่สุดคือ ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (Atrial Fibrillation) อาการคือจะรู้สึกใจสั่น ๆ หวิว ๆ เหนื่อยง่าย ซึ่งอันตรายกว่าที่คิด เพราะเมื่อหัวใจห้องบนสั่นแทนที่จะบีบตัวตามปกติ เลือดจะไหลวนจนเกิดเป็น "ลิ่มเลือด"ก้อนเล็กๆ ขึ้นมา และวันดีคืนดี ลิ่มเลือดก้อนนี้อาจหลุดลอยตามกระแสเลือดขึ้นไปอุดตันที่เส้นเลือดสมอง ทำให้เกิด โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ได้ในทันที (5)

2. เพิ่มแรงดันในหลอดเลือด เหมือนบีบสายยางที่เปิดน้ำ

หลอดเลือดของเราปกติจะมีความยืดหยุ่น แต่แอลกอฮอล์จะทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและตีบแคบลงชั่วคราว (6) ลองนึกถึงสายยางรดน้ำต้นไม้ครับ ถ้าเราบีบปลายสายยางไว้ แรงดันน้ำข้างในจะสูงขึ้นทันที แอลกอฮอล์ก็ทำแบบเดียวกันกับหลอดเลือดของเรา ทำให้หัวใจซึ่งเป็น "ปั๊มน้ำ" ต้องทำงานหนักขึ้นอีกหลายเท่าเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย นี่คือสาเหตุของ โรคความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็น "ฆาตกรเงียบ" ที่จะทำลายหลอดเลือดทั่วร่างกายในระยะยาว และเป็นประตูสู่โรคหัวใจและโรคไตวาย (7)

3. ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจ "ย้วย" และอ่อนแอ

หัวใจของเราคือกล้ามเนื้อที่มีความแข็งแรงและยืดหยุ่นสูงมาก แต่แอลกอฮอล์มีพิษโดยตรงต่อเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ (8 ) ลองเปรียบเทียบกล้ามเนื้อหัวใจเหมือนหนังสติ๊กเส้นใหม่ที่ยิงได้แรงและไกล การดื่มแอลกอฮอล์หนักๆ และต่อเนื่อง ก็เหมือนกับการเอาหนังสติ๊กเส้นนั้นไปแช่น้ำ แช่แดดทุกวัน ไม่นานหนังสติ๊กก็จะเปื่อย ย้วย และหมดสภาพ เช่นเดียวกันกับหัวใจที่โดนพิษแอลกอฮอล์สะสม กล้ามเนื้อจะเริ่มบางลงและอ่อนแอ ห้องหัวใจจะขยายใหญ่ขึ้นเหมือนลูกโป่งที่ใกล้แตก สภาพนี้เรียกว่า โรคกล้ามเนื้อหัวใจเสื่อมจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic Cardiomyopathy) ทำให้หัวใจบีบตัวได้ไม่ดี เกิด ภาวะหัวใจล้มเหลว ตามมา ผู้ป่วยจะมีอาการเหนื่อยง่ายมาก เดินไม่กี่ก้าวก็หอบ นอนราบไม่ได้เพราะหายใจไม่ออก และขาบวม (9)

4. เปลี่ยนแอลกอฮอล์ให้เป็น "ไขมัน" อุดตันเส้นเลือด

หลายคนอาจไม่ทราบว่าเบียร์ ไวน์ หรือเหล้า ให้พลังงานสูงมาก และเป็น "แคลอรี่ว่างเปล่า" ที่ไม่มีสารอาหารอื่นใด เมื่อร่างกายได้รับพลังงานส่วนเกินนี้เข้าไป ก็จะเปลี่ยนมันไปเป็นไขมันชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) ลองนึกภาพท่อประปาในบ้านครับ ไขมันไตรกลีเซอไรด์ก็เหมือนคราบไขมันที่เราเทลงไปในท่อทุกวันๆ มันจะค่อยๆ สะสมและจับตัวกันหนาขึ้น ทำให้ท่อตีบและอุดตันในที่สุด เช่นเดียวกันกับหลอดเลือดหัวใจ เมื่อมีไขมันไปเกาะมากๆ ก็จะทำให้หลอดเลือดตีบแคบ เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่พอ ทำให้เกิด โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก และอาจนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันได้ (10)

 

อันตรายคูณสอง! เมื่อดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับ "ยาโรคหัวใจ"

สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจที่ต้องรับประทานยาเป็นประจำ การดื่มแอลกอฮอล์ถือเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง เพราะแอลกอฮอล์จะเข้าไป "ตีกัน" กับยาที่ท่านกินอยู่ เช่น:

• ยาละลายลิ่มเลือด/ยาต้านเกล็ดเลือด: ทำให้ยาออกฤทธิ์มากเกินไปจนเสี่ยงต่อภาวะเลือดออกง่ายผิดปกติ หรือเลือดออกไม่หยุด

• ยาลดความดันโลหิต: อาจทำให้ความดันตกวูบจนหน้ามืด เป็นลม หรือในทางกลับกันก็ไปลดประสิทธิภาพของยา ทำให้ความดันคุมไม่อยู่

• ยาลดไขมันในเลือด: เพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงร้ายแรงต่อตับและกล้ามเนื้อ

 

แล้วเราควรทำอย่างไร? คำแนะนำจากใจหมอ

ข้อมูลทั้งหมดนี้ไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ท่านรู้สึกผิดหรือกลัว แต่เพื่อให้ท่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและใช้ในการตัดสินใจดูแลสุขภาพของตัวเองและคนที่รักได้ดีที่สุดครับ

  1. ถ้าท่านไม่เคยดื่ม: ยอดเยี่ยมมากครับ ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องเริ่มดื่มเพื่อหวังผลดีต่อสุขภาพหัวใจ
  2. ถ้าท่านดื่มเป็นครั้งคราว: ขอให้ตระหนักถึงความเสี่ยงเสมอ พยายามลดปริมาณและความถี่ลงให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ "ยิ่งดื่มน้อย ยิ่งปลอดภัย"
  3. ถ้าท่านเป็นโรคหัวใจ ความดัน หรือไขมันในเลือดสูง: คำแนะนำที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดสำหรับท่านคือ "การงดดื่มโดยเด็ดขาด" นี่คือหนึ่งในการรักษาที่ดีที่สุดที่ท่านสามารถมอบให้กับหัวใจของตัวเองได้
  4. มองหาทางเลือกอื่น: การสังสรรค์หรือการผ่อนคลายไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแอลกอฮอล์เสมอไป ลองเปลี่ยนเป็นเครื่องดื่มอื่นๆ ที่สดชื่น หรือหากิจกรรมอื่นทำ เช่น การออกกำลังกาย การพูดคุย หรือทำงานอดิเรกที่ชอบ

หัวใจของเรามีเพียงดวงเดียว และทำงานเพื่อเราตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่เคยหยุดพัก การดูแลหัวใจจึงเป็นหน้าที่สำคัญของทุกคน เนื่องในโอกาสวันหัวใจโลก 29 กันยายน 2568 ขอเชิญชวนทุกท่าน “ลด ละ เลิก แอลกอฮอล์” เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ เพื่อเป็นการลงทุนเพื่อชีวิตที่ยืนยาวและคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นในวันข้างหน้าครับ

 

ด้วยความห่วงใยและปรารถนาดี
นพ.เปรมอานันท์ มโนเรศ
อายุรแพทย์โรคหัวใจ รพ.สงขลานครินทร์

 

________________________________________

อ้างอิงข้อมูลจาก:

1. Ronksley PE, Brien SE, Turner BJ, Mukamal KJ, Ghali WA. Association of alcohol consumption with selected cardiovascular disease outcomes: a systematic review and meta-analysis. BMJ. 2011;342:d671. doi:10.1136/bmj.d671.

2. Piano MR. Alcohol's effects on the cardiovascular system. Alcohol Res. 2017;38(2):219-41.

3. World Health Organization. No level of alcohol consumption is safe for our health [Internet]. Geneva: WHO; 2023 Jan 4. Available from: https://www.who.int/.../04-01-2023-no-level-of-alcohol...

4. Larsson SC, Drca N, Wolk A. Alcohol consumption and risk of atrial fibrillation: a prospective study and dose-response meta-analysis. J Am Coll Cardiol. 2014;64(3):281-9. doi:10.1016/j.jacc.2014.03.048.

5. Marcus GM, Vittinghoff E, Whitman IR, Singer DE, Newman AB, Siscovick DS, et al. Acute consumption of alcohol and discrete atrial fibrillation events. Ann Intern Med. 2021;174(11):1503-9. doi:10.7326/M21-0222.

6. Taylor B, Irving HM, Baliunas D, Roerecke M, Patra J, Mohapatra S, et al. Alcohol and hypertension: gender differences in dose-response relationships determined through systematic review and meta-analysis. Addiction. 2009;104(12):1981-90. doi:10.1111/j.1360-0443.2009.02694.x.

7. Roerecke M, Kaczorowski J, Tobe SW, Gmel G, Hasan OSM, Rehm J. The effect of a reduction in alcohol consumption on blood pressure: a systematic review and meta-analysis. Lancet Public Health. 2017;2(2):e108-20. doi:10.1016/S2468-2667(17)30003-8.

8. Fernández-Solà J. The effects of ethanol on the heart: alcoholic cardiomyopathy. Nutrients. 2020;12(2):572. doi:10.3390/nu12020572.

9. Mirijello A, Tarli C, Vassallo GA, Sestito L, Antonelli M, Ferrulli A, et al. Alcoholic cardiomyopathy: what is known and what is not known. J Clin Med. 2019;8(10):1549. doi:10.3390/jcm8101549.

10. Mostofsky E, Chahal HS, Mukamal KJ, Rimm EB, Mittleman MA. Alcohol and immediate risk of cardiovascular events: a systematic review and dose-response meta-analysis. Circulation. 2016;133(10):979-87. doi:10.1161/CIRCULATIONAHA.115.019743.

ความคิดเห็นต่อการยกเลิกประกาศ ปว.253
https://cas.or.th/content?id=992
Tags : -

 

ความคิดเห็นต่อการยกเลิกประกาศ ปว.253

การยกเลิก คำสั่ง ปว.253 ก่อให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในสังคมอย่างกว้างขวาง หลายคนตีความว่า ประเทศไทย “ปลดล็อก” เวลาการขายเหล้าเบียร์แล้ว สามารถซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งแท้จริงแล้ว ไม่ใช่ข้อเท็จจริง

การยกเลิก ปว. 253 ถูกตราไว้ใน พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2568 เป็นการลบข้อกฎหมายเดิมที่ซ้ำซ้อน ส่วนพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ซึ่งได้ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องกำหนดเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2568 ยังคงให้จำหน่ายสุราในเวลา 11.00 น.-14.00 น.และเวลา 17.00 น.-24.00 น. เท่านั้น โดยมีข้อยกเว้นเพียง 3 กรณีคือ (1) การขายในอาคารที่ให้บริการแก่ผู้โดยสารภายในสนามบินที่ให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ (2) การขายในสถานบริการซึ่งเป็นไปตามกำหนดเวลาเปิดปิดของสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ และ (3) การขายในโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม ดังนั้นสถานที่ขายสุราอื่นนอกจากสามข้อดังกล่าว ต้องขายในเวลาที่กำหนดไว้เดิมทั้งสิ้น แต่อย่างไรก็ตามก็ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการควบคุมฯ ที่จะมีขึ้นตาม พรบ.ใหม่ จะมีมติในเรื่องนี้อย่างไร ก็ต้องติดตามกันต่อไป

 

ทำไมเวลาห้ามขายจึงสำคัญต่อสังคมไทย

  1. ลดความสะดวกในการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หลังเลิกงานหรือช่วงกลางคืน การจำกัดเวลาเป็น “เกราะบาง” สำคัญในการชะลอการบริโภค
  2. ลดอุบัติเหตุและความรุนแรงทางสังคม งานวิจัยจำนวนมากทั้งในและต่างประเทศยืนยันว่า ความพร้อมในการซื้อเครื่องดื่มทุกเวลา สัมพันธ์กับอัตราอุบัติเหตุบนท้องถนน การทะเลาะวิวาท และอาชญากรรมที่สูงขึ้น
  3. คุ้มครองเยาวชน เวลาห้ามขายช่วยป้องกันไม่ให้เยาวชนเข้าถึงเครื่องดื่มได้ง่ายเกินไป โดยเฉพาะในชั่วโมงที่ครอบครัวและโรงเรียนไม่สามารถดูแลได้เต็มที่
  4. เป็นต้นแบบด้านนโยบายสาธารณะ ประเทศไทยได้รับการยกย่องในเวทีโลกว่าเป็นประเทศที่มีมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เข้มแข็งและสร้างสมดุลระหว่างเสรีภาพกับประโยชน์สาธารณะ การคงไว้ซึ่งเวลาห้ามขายถือเป็นเสาหลักสำคัญที่ไม่ควรถูกบั่นทอน

ดังนั้นข้อสรุปของเรื่องนี้คือ การยกเลิกคำสั่ง ปว.253 มิได้แปลว่าประชาชนจะซื้อขายสุราได้ตลอดเวลา เวลาห้ามขายยังคงอยู่ และยังคงจำเป็น ประเทศไทยไม่ควรเดินย้อนกลับไปสู่สังคมที่เปิดช่องให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถูกซื้อขายได้อย่างไร้ขอบเขต เพราะนั่นหมายถึงต้นทุนทางสุขภาพ อุบัติเหตุ และความรุนแรงที่จะตกกับครอบครัวและสังคมโดยรวม

การจำกัดเวลาขายจึงไม่ใช่การจำกัดเสรีภาพ หากแต่เป็น ภูมิคุ้มกันทางสังคมที่สำคัญ ที่ช่วยให้สังคมไทยปลอดภัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

โดย ดร.นพ.มูฮัมมัดฟาห์มี ตาเละ
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานรินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

แอลกอฮอล์กับสุขภาพจิต: ความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม
https://cas.or.th/content?id=991
Tags : -

แอลกอฮอล์กับสุขภาพจิต: ความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม

เนื่องในโอกาสวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเศษ นายแพทย์ปราการ ถมยางกูร นายกสมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายไทย ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับพฤติกรรมเสี่ยงทางจิตใจ โดยระบุว่าแอลกอฮอล์มีฤทธิ์กดการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ส่งผลให้ผู้ดื่มสูญเสียความสามารถในการควบคุมตนเองและเกิดพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น โดยเฉพาะในผู้ที่มีความคิดฆ่าตัวตายอยู่แล้ว การดื่มอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ลงมือกระทำจริง แม้ในบางกรณีจะไม่ได้มีเจตนาโดยตรง แต่การขาดสติอาจนำไปสู่อุบัติเหตุร้ายแรง เช่น การพลัดตกจากที่สูงโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกที่ระบุว่า ทุก 40 วินาทีมีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย และทุก 10 วินาทีมีผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเป็นจากอุบัติเหตุหรือพฤติกรรมเสี่ยงอื่น ๆ

ในบริบทของประเทศไทย รายงานจากพื้นที่ภาคเหนือ พบว่า การลดการบริโภคแอลกอฮอล์ในบางจังหวัดส่งผลให้จำนวนการฆ่าตัวตายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มที่เผชิญกับความผิดหวังทางอารมณ์ เช่น ความรักหรือความเครียดจากชีวิตส่วนตัว การดื่มเพื่อหลีกหนีความทุกข์กลับกลายเป็นการเปิดช่องให้เกิดพฤติกรรมทำร้ายตนเอง ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างการบริโภคแอลกอฮอล์กับปัญหาสุขภาพจิตอย่างชัดเจน โดยมีข้อมูลระบุว่า ร้อยละ 20 ของผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายในประเทศไทยมีประวัติการดื่มแอลกอฮอล์ร่วมด้วย

แม้บางบุคคลจะใช้แอลกอฮอล์เป็นเครื่องมือในการบรรเทาความทุกข์หรือ “self-medication” แต่นายแพทย์ปราการเสนอแนวทางที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์มากกว่า ได้แก่ การพูดคุยกับบุคคลที่ไว้วางใจหรือสายด่วนสุขภาพจิต 1323 การใช้แอปพลิเคชันให้คำปรึกษาทางจิต เช่น Line: @Khuikun หรือแอปจากสถาบันการศึกษา เช่น DMIND การทำกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น ร้องเพลง เดินเล่น สวดมนต์ หรือออกกำลังกาย การฝึกคิดเชิงบวกและมีเมตตาต่อตนเอง รวมถึงการฝึกขอบคุณสิ่งรอบตัว เพื่อเสริมสร้างพลังใจและความมั่นคงทางอารมณ์ โดยนายแพทย์ปราการเน้นย้ำว่า “ทุกคนผิดพลาดได้ อย่าโทษตัวเองซ้ำ ๆ จนหมดพลัง” พร้อมเสนอว่าการช่วยเหลือผู้อื่นและการคิดบวกจะเป็นพลังสะท้อนกลับมาช่วยเยียวยาตนเองในยามที่ต้องการมากที่สุด

ในด้านนโยบายการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ องค์การอนามัยโลกได้เสนอกรอบแนวทาง “SAFER” เพื่อควบคุมการบริโภคแอลกอฮอล์อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วยการห้ามส่งเสริมและโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในทุกช่องทาง การจำกัดการเข้าถึงโดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน การเพิ่มภาษีเพื่อควบคุมการบริโภค การบังคับใช้กฎหมาย “ดื่มไม่ขับ ขับไม่ดื่ม” อย่างเข้มงวด และการส่งต่อผู้มีปัญหาการดื่มเข้าสู่ระบบบำบัดอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยมีการดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวในระดับหนึ่ง เช่น การห้ามโฆษณา การจำกัดอายุผู้ซื้อ และการลงโทษผู้ฝ่าฝืน อย่างไรก็ตาม ยังมีความจำเป็นต้องขยายผลกระทบของนโยบายไปสู่ระดับครอบครัวและชุมชน เพื่อป้องกันผลกระทบทางอ้อม เช่น ความรุนแรงในครอบครัวและภาวะซึมเศร้าในผู้ใกล้ชิด

แม้รายได้จากการจำหน่ายแอลกอฮอล์ในประเทศไทยจะสูงถึง 500,000 ล้านบาทต่อปี แต่ข้อมูลจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุว่า ค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพ อุบัติเหตุ และอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์สูงถึง 170,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งสะท้อนถึงภาระทางเศรษฐกิจและสังคมที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบ

ในด้านการรณรงค์ สมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายไทยมีบทบาทสำคัญในการดำเนินงานเชิงวิชาการ การสร้างเครือข่าย และการผลักดันนโยบายสาธารณะ โดยเน้นการให้ความรู้เรื่องสุขภาพจิต การลดการใช้แอลกอฮอล์ในสังคม และการสร้างภูมิคุ้มกันทางใจในกลุ่มเสี่ยง เช่น เยาวชน ผู้สูงอายุ และผู้ประสบปัญหาชีวิต นอกจากนี้ สมาคมยังสนับสนุนการรณรงค์เชิงสัญลักษณ์ เช่น การงดให้ของขวัญเป็นแอลกอฮอล์ และการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในชุมชน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการดูแลและคำปรึกษาได้อย่างเท่าเทียม โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการลดอัตราการฆ่าตัวตายและส่งเสริมสุขภาวะทางจิตใจของประชาชนในระยะยาว

โดย ผศ.(พิเศษ) นพ.ปราการ ถมยางกูร
นายกสมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายไทย

ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.)

Centre for Alcohol Studies (CAS)

สาขาวิชาเวชศาสตร์ครอบครัวและเวชศาสตร์ป้องกัน อาคารศรีเวชวัฒน์ ชั้น 11 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เลขที่ 15 ถนนกาญจนวนิช ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 90110

083-5775533

https://www.facebook.com/cas.org.th

เข้าชมแล้ว 0 ครั้ง
Copyright © 2025 CAS All rights reserved.