คำค้นหา : เมาแล้วขับ

คำนี้ค้นหามาแล้ว : 279 ครั้ง
ป้ามีนาถูกฆ่า สังคมทำได้ดีกว่านี้ถ้าเรามีกฎหมาย
https://cas.or.th/content?id=988
Tags : -

ป้ามีนาถูกฆ่า สังคมทำได้ดีกว่านี้ถ้าเรามีกฎหมาย

        ใครที่ดูข่าวป้ามีนาถูกฆ่า เนื่องจากลูกค้าสาวที่เป็นลูกค้ามานั่งดื่มเบียร์จนเมามายไม่ได้สติ และถูกหนุ่มแปลกหน้าพากลับบ้านโดยที่ป้ามีนาไม่ได้ทักท้วง จนนำมาสู่ความโกรธแค้นของลูกค้าคนดังกล่าว และตามมาเอามีดจ้วงแทงภายหลัง เป็นความน่าสลดใจที่เราเสียคนสองคนไปพร้อมกัน คนหนึ่งเสียชีวิต อีกคนเสียอนาคต ทั้งที่ก่อนหน้านี้สองคนนี้ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีและไม่ได้มีเรื่องราวโกรธแค้นหรือหมางใจกัน

        ตามหลักการทางสถิติ สถานที่ที่มีโอกาสเกิดผลกระทบจากการดื่มแอลกอฮอล์มากที่สุด คือพื้นที่ที่มีการดื่ม และลดหลั่นกันไปตามระยะทางโดยรอบ เราสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าร้านอาหารหรือบริเวณที่มีการขายแอลกอฮอล์แล้วนั่งดื่มในร้านคือจุดที่มีความเสี่ยงจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันจากคนเมาได้มากที่สุด

        จำได้ไหมเราเคยมีคดี อ.ส.ที่หาดใหญ่ยิงครอบครัวที่มากินข้าวต้มและเป็นลูกค้าปกติ เพียงเพราะเมาและคิดว่าพนักงานเสิร์ฟเอาเบียร์ไปเก็บแล้วทั้ง ๆที่ตนยังกินไม่เสร็จ หรือข่าวล่าสุดของเป๊กผลิตโชค ที่เมามายจนเสียสติ และถูกแทงจากการมีเรื่องกับวัยรุ่น ก็เกิดขึ้นหลังจากที่คุณเป๊กกินเหล้าเสร็จและกำลังจะเดินทางไปที่ไหนสักที่

        ในเมื่อเรารู้แล้วว่าสถานที่ที่มีโอกาสจะเกิดความรุนแรงและอาชญากรรมจากเหล้าเบียร์มากที่สุดคือจุดขายที่นั่งดื่มได้ หลายประเทศเลยสร้างเกราะป้องกันไม่ให้จุดขายนั้นเสี่ยงจนเกินไป เราเรียกกฎหมายชุดนี้ว่า dram shop liability

        ในเมื่อคนที่ขายเหล้าตรงนั้นคือคนสุดท้ายที่จะปล่อยเหล้าเบียร์ให้กับลูกค้า เราก็ให้คนกลุ่มนี้เป็นคนพิจารณาว่าสมควรที่จะขายให้ต่อหรือไม่ถ้าเขาเมาจนเสียสติแล้วโอกาสที่จะไปทำเรื่องไม่คาดฝันมีมากขึ้นก็สมควรจะหยุดขาย ถ้ายังขายต่อทั้งๆที่รู้ว่าเมาเละเทะแล้ว หากมีความผิดเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเมาแล้วขับ ฆาตกรรมที่เกิดจากความมึนเมา อาชญากรรมที่เกิดจากความมึนเมา ผู้ขายก็ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย

        คดีของป้ามีนา นี่เป็นตัวอย่างของการไม่มีกฎหมายชุดนี้ และผู้ขายอย่างป้ามีนาต้องรับผิดชอบเกินกว่าเหตุไปมาก ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วตัวของผู้ดื่มเองที่ดื่มจนเมามายและเสียสติควรเป็นผู้ต้องรับผิดชอบหลักจากความเสียหายที่ตัวเองทำไว้ แต่เมื่อไม่มีกฎหมายชุดนี้ก็กลายเป็นว่าลูกค้าสาวท่านนั้นได้บันดาลโทสะและเข้าไปเอามีดจ้วงแทงป้ามีนาแทน

        เราลดความเสี่ยงให้กับผู้คนในสังคมได้ด้วยกฎหมายที่ดีป้องกันไม่ให้เกิดภาพคนเมามายจนเสียสติ นั่งดื่มเหล้าและคนขายก็ขายต่อยังไม่สะทกสะท้าน ทั้งที่รู้ว่าอาจจะมีเหตุร้ายขึ้นหลังจากนั้น

        ทั้งนี้ทั้งนั้นในส่วนของคดีป้ามีนาผู้ขายอย่างป้ามีนาเสียชีวิตไปแล้ว คนที่เป็นมือแทงก็ต้องไปชดใช้กรรมในเรือนจำ ส่วนคนที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรคือผู้ผลิตทั้งหลาย สังคมน่าเศร้าเพราะเช่นนี้

เขียนโดย ดร.นพ.มูฮัมมัดฟาห์มี ตาเละ
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานรินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

ขอขอบคุณรูปภาพจาก: https://www.thairath.co.th/news/crime/2877956

เมื่อโชคยังเข้าข้าง "เป๊ก" คนเมาไม่ได้โชคดีอย่างนี้ทุกคน
https://cas.or.th/content?id=985
Tags : -

เมื่อโชคยังเข้าข้าง "เป๊ก" คนเมาไม่ได้โชคดีอย่างนี้ทุกคน

        ข่าวคราวนักร้องดังที่มอบความสุขให้คนไทยนับล้านตลอดหลายปีที่ผ่านมา อย่างคุณเป๊กผลิตโชค ที่เริ่มต้นจากข่าวคุณเป๊กโดนทำร้ายร่างกาย โดยหนุ่มคนหนึ่งที่พกพามีดติดตัวไปทำงาน นับแต่ชั่วโมงแรกที่ออกข่าว แฟนคลับเชื่อว่านี่เป็นเรื่องโชคร้ายสุด ๆ ของนักร้องชื่อดังเสียงดี ที่โดนทำร้ายร่างกายในสภาพที่ไม่มีทางสู้ และคนที่ทำร้ายร่างกายดาราที่มีชื่อเสียงขนาดนี้ ย่อมไม่มีใช่สุจริตชน หรือ คนดีแน่ ๆ

        และเรื่องกลายเป็นหนังคนละม้วน เมื่อภาพจากกล้องวงจรปิด แสดงให้เห็นนาทีที่เป๊กถูกมีดฟันเข้าคาง และย้อนไปไกลก่อนหน้านั้นตั้งแต่ที่เป๊กออกจากร้านอาหารในสภาพที่เมาเสียทรงไม่เหลือสติโดยสิ้นเชิง ทั้งปีนป่ายรถแท็กซี่ รถกระบะ และมีเรื่องมีราวกับหนุ่มคู่กรณีจนกลายเป็นคดีดัง

        นี่อาจจะเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่คุณเป๊กโชคดีที่สุดในชีวิต ที่เมาสิ้นสภาพขนาดนี้ ยังเหลือชีวิตและชื่อเสียงให้ใช้ทำมาหากินต่อได้ เพราะพิจารณาดูจากเหตุการณ์ทั้งหมด นับแต่ออกจากร้านอาหาร ทั้งเดินไปมาบนท้องถนน เกาะกระโปรงรถกระบะ และมีเรื่องกับหนุ่มพกมีด หากมีสักเหตุการณ์ที่ทำให้อันตรายถึงชีวิตได้ไม่ใช่เรื่องยากเลย ความโชคดีชั้นที่สองคือ การเมาลักษณะเช่นนี้ผลกระทบท้ายที่สุดแล้ว ไม่ได้ทำให้ไปขับรถชนใครตาย หรือ ไปข่มขืนใครให้เป็นคดีอาญาที่หนักกว่าโดนทำร้ายร่างกายอย่างเดียว ถือว่าชื่อเสียงของเป๊กในวงการบันเทิง ยังไม่ถูกทำลายมากนัก และเร็ว ๆ นี้คงกลับมารับงานต่อได้

        เรื่องของคุณเป๊กอาจจะไม่ตรงกับคนโชคร้าย อีกหลายคนที่เรื่องร้ายจากความเมาของเขา ทำลายทั้งชีวิตที่ก่อร่างสร้างตัวมาทั้งหมดด้วยการถูกพ่วงคดีอาญาจากความมึนเมา ทั้งการเมาแล้วขับ ทะเลาะวิวาท ข่มขืน ในขณะที่ขาดสติ และอีกหลายคนที่ต้องเสียชีวิตจากความมึนเมาของคนอื่น

        วงการบันเทิงและสิ่งมึนเมา เป็นของคู่กันมาช้านาน หวังว่ากรณีเช่นนี้ จะช่วยให้คนวงการบันเทิงเพลา ๆ ความสนุกจนเกินขอบเขต วัฒนธรรมของการฉลองดื่มกินจนขาดสติ เป็นเรื่องที่ควรทำให้หายไปจากสังคมไทยได้แล้ว นี่คือวัฒนธรรมที่ "ผลิตโชคร้าย" ให้คนนับแสนในไทย และควรเพียงพอแค่นี้

เขียนโดย ดร.นพ.มูฮัมมัดฟาห์มี ตาเละ
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานรินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

ข้อห่วงใยต่อปัญหาการดื่มแอลกอฮอล์ในกาสิโน ผลสืบเนื่องจากความพยายามผลักดัน พ.ร.บ. Entertainment complex ของไทย
https://cas.or.th/content?id=898

ข้อห่วงใยต่อปัญหาการดื่มแอลกอฮอล์ในกาสิโน ผลสืบเนื่องจากความพยายามผลักดัน พ.ร.บ. Entertainment complex ของไทย

โดย ดร.นพ.มูฮัมมัดฟาห์มี ตาเละ 
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

จากความพยายามอย่างเร่งรีบของพรรคร่วมรัฐบาลในการผลักดัน พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร หรือที่เราเรียกสั้น ๆ ว่า พ.ร.บ.กาสิโน ในช่วงรอบสองสัปดาห์ที่ผ่านมา สังคมได้รับข้อมูลความคิดเห็นทั้งจากฝั่งสนับสนุนและคัดค้านจำนวนมากซึ่งถือเป็นข้อดีของสังคมเสรีที่ความคิดเห็นและข้อมูลสื่อสารและถ่ายทอดอย่างรวดเร็ว ข้อมูลจากฝั่งสนับสนุน ที่เชื่อว่าจากฐานทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่เป็นประเทศที่มีรายได้หลักจากการท่องเที่ยว หากมีการเปิดกาสิโนได้จริงจะเป็นเครื่องมือพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้ทั้งเอกชน ภาคการท่องเที่ยวมีรายได้มากขึ้น ส่วนรัฐบาลก็เก็บภาษีเพิ่มขึ้นเช่นกัน ในขณะที่ฝ่ายคัดค้านนั้นเชื่อว่าเบื้องหลังของโมเดลนี้ มีการซ่อนต้นทุนทางสังคมและเศรษฐกิจที่ใหญ่หลวงไม่แพ้กัน

ในฐานะนักวิชาการด้านนโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เราพบว่าในร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว มีเรื่องคาบเกี่ยวกับพื้นที่ทางวิชาการที่หน่วยงานเราได้ทำข้อมูลตลอดมานั่นคือ ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว จะยกเว้นกาสิโนจากกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และยาสูบ ซึ่งหมายความว่าผู้เข้าไปเล่นในกาสิโนจะมีอิสระอย่างเต็มที่ในการดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่เรื่องประหลาดแต่อย่างใดหากนับว่าในอบายมุขสถานจะให้อิสระมากที่สุดเพื่อเอื้อให้เกิดความบันเทิงอย่างที่สุดแก่ผู้ใช้บริการและนำมาซึ่งการจับจ่ายใช้สอยมากยิ่งขึ้น “อบายมุขเมื่อรวมตัวกัน จะสร้างความต้องการซึ่งกันและกันมากยิ่งขึ้น” ข้อความนี้ไม่ได้มาจากความรู้สึกนึกคิดส่วนตัวของผู้เขียนแต่มาจากงานวิจัยที่สะสมข้อมูลจากหลายแหล่ง

  • การพนัน – เหล้า

​การศึกษาของ Cronce และ Corbin ในปี 2010 (1) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการดื่มเหล้าและการพนัน โดยเฉพาะขนาดของวงเงินเดิมพันและความเร็วในการสูญเสียเงินทุน ​โดยในการศึกษาดังกล่าวได้แบ่งผู้เข้าร่วมจำนวน 130 คน เป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งถูกสุ่มให้กินเหล้าจริง และอีกกลุ่มให้ดื่มเหล้าปลอม หลังจากนั้นให้ผู้เข้าร่วม เล่นเกมสล็อตจำลองที่ถูกตั้งโปรแกรมให้มีผลลัพธ์เริ่มต้นที่แตกต่างกัน (ชนะ, เสมอ, หรือแพ้) ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงที่มีการสูญเสียเพิ่มขึ้น ผลการศึกษาพบว่าคนที่ดื่มเหล้าจริงมีแนวโน้มที่จะวางเดิมพันที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และเสียเงินทุนทั้งหมดเร็วขึ้นเมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ดื่มเหล้า อันที่จริงเวลาที่เราเข้าไปในกาสิโน จะมีพนักงานบริการที่เสิร์ฟเหล้าฟรีให้เราตลอดเวลา เหมือนอย่างที่เราเคยดูในหนังฮอลีวูดส์ทั้งหลาย ถ้ามีฉากที่มีการดวลกันในกาสิโนยิ่งเป็นกาสิโนหรู ๆ จะมีเด็กเติมเหล้า แชมเปญ ให้กันไม่อั้นเลย นี่เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้นักพนันหุนหันพลันแล่นและกล้าได้กล้าเสีย และนำมาซึ่งการเพิ่มวงเงินในการเล่นพนันมากยิ่งขึ้น (ซึ่งต้องมากกว่าค่าเหล้าแพง ๆ ที่เขาให้ฟรีแน่นอน)

  • กาสิโน - เหล้าฟรี - อุบัติเหตุจากเมาแล้วขับ

แน่นอนว่าคนขี้สงสัยบางคนสงสัยต่อว่า ถ้ามีกาสิโน และมีการเสิร์ฟเหล้าไม่อั้นแบบนี้ มันจะทำให้อุบัติเหตุจากคนเมาเหล้าเพิ่มขึ้นไหม ซึ่งเราพบว่ามันเพิ่มขึ้นจริง ๆ

การศึกษาของ Chad D. Cotti และ Douglas M. Walker ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Health Economics ในปี 2010 (2) ได้ศึกษาสัมพันธ์ระหว่างการเปิดกาสิโนกับจำนวนอุบัติเหตุทางถนนที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ที่มีผู้เสียชีวิตในสหรัฐอเมริกา ​เพื่อวิเคราะห์ว่าการเปิดกาสิโนในพื้นที่ต่าง ๆ มีผลกระทบต่อจำนวนอุบัติเหตุทางถนนที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์และมีผู้เสียชีวิตหรือไม่​ โดยใช้ข้อมูลจากช่วงเวลา 10 ปีที่มีการเปิดกาสิโนในสหรัฐอเมริกา​ และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการมีกาสิโนในเขตพื้นที่ (county) กับจำนวนอุบัติเหตุทางถนนที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ที่มีผู้เสียชีวิต​ ผลการศึกษาพบว่ามีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่างการมีกาสิโนในพื้นที่กับจำนวนอุบัติเหตุทางถนนที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ที่มีผู้เสียชีวิต

  • การพนัน - ปัญหาสังคมอื่น ๆ

ความตั้งใจจริงของการเขียนบทความนี้ไม่ได้เขียนเพื่อค้านทุกอย่างทุกประเด็นสำหรับการพัฒนา ผู้เขียนเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศย่อมเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกในสังคมและประเทศชาติ และหากข้อเสนอเรื่องกาสิโนจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมจริงแล้ว ผู้เขียนย่อมไม่คัดค้าน แต่กระนั้นก็ตามความกังวลอย่างยิ่งยวดของผู้เขียนไม่ได้อยู่ที่รายละเอียดเนื้อหาใน พ.ร.บ.กาสิโน ที่มีมาตรการควบคุมความเสียหายไว้พอสมควร เช่น การจำกัดคนไทยที่จะเข้าไปเล่นการพนันต้องมีวงเงินฝากไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท หรือต้องเสียค่าเข้ากาสิโนครั้งละ 5,000 บาท เพื่อคัดกรองเฉพาะคนไทยผู้มีรายได้สูงเท่านั้น และเน้นไปที่การดึงดูดนักพนันต่างชาติ เหมือนที่กัมพูชา มาเลเซีย สิงคโปร์ได้สร้างกาสิโนคอมเพล็กซ์ขึ้นมาก่อนหน้านี้ไปแล้ว แต่กระนั้นก็ตามความน่ากังวลจริง ๆ ของผู้เขียนคือสังคมไทยที่โครงสร้างทางสังคมไม่ได้แข็งแรงขนาดนั้น เราจำเรื่องการเร่งผ่านกฎหมายเพื่อผ่อนปรนอบายมุขอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ พ.ร.บ.กัญชา ที่เคยถูกนำเสนอเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ในช่วงเวลาแรกนั้น ณ วันนี้เราพบว่ามันช่วยใครที่เจ็บป่วยด้วยโรคได้จริงหรือไม่ กัญชากลายเป็นสินค้าในธุรกิจการท่องเที่ยวมากกว่าสินค้าทางการแพทย์ และการซื้อกัญชาในประเทศไทยนั้นง่ายกว่าการซื้อเหล้าเบียร์เสียอีก ภาพที่อันตรายสำหรับสังคมคือ การรับกฎหมายให้รวดเร็วแล้วไปแก้ไขหรือออกกฎหมายเพิ่มเพื่อป้องกันทีหลัง ไม่มีประสิทธิภาพจริงในการป้องกันปัญหาทางสังคมจากอบายมุข 

“อบายมุข” ที่แปลว่า ทางแห่งความเสื่อม เป็นคำที่มีอายุนานหลายพันปี เพราะวิวัฒนาการทางสังคมและภูมิปัญญาที่มนุษย์ร่วมกันสร้างพิสูจน์เสมอว่า ท้ายที่สุดแล้วเมื่อสังคมรับความสุขความสนุกจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป มันจะกัดกร่อนและทำลายสังคม การพัฒนาเศรษฐกิจโดยใช้ฐานรากทางอบายมุขและความบันเทิงถือเป็นหลักการพัฒนาที่น่ากังวลใจว่าจะทำให้สังคมแย่ลง มีงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่ทำในยุคสมัยแห่งวิทยาศาสตร์สมัยใหม่แล้ว และพิสูจน์ว่า “อบายมุข” ที่ถูกนิยามส่งต่อมานับพันปีและมีคำเตือนให้สังคมหนีห่าง นั้นเป็นข้อความที่เป็นจริง งานวิจัยนี้เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลต่อเนื่องยาวนานและทำการวิเคราะห์จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ระดับประเทศของสหรัฐ ของ Grinols และ Mustard (2006) (3) ที่ศึกษาข้อมูลจาก 167 มณฑลในสหรัฐอเมริกา ช่วงปี 1977–1996 พบว่าพื้นที่ที่เปิดกาสิโนมีอัตราอาชญากรรมเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8% ภายใน 5 ปีหลังเปิด โดยเฉพาะอาชญากรรมประเภทการปล้น ลักขโมย การทำร้ายร่างกาย และการขโมยรถยนต์ การศึกษานี้ใช้วิธีวิเคราะห์เปรียบเทียบก่อน-หลัง (difference-in-differences analysis) และควบคุมตัวแปรเศรษฐกิจสังคมอย่างละเอียด เพื่อแยกผลกระทบของกาสิโนอย่างแท้จริง นี่คือผลการศึกษาที่สะท้อนให้เห็นว่าการพนันเรื่องเดียวเพิ่มโอกาสในการเกิดอาชญากรรมได้อีกหลายอย่าง

ถึงแม้ในปัจจุบันหลายประเทศในโลกจะอนุญาตให้มีการพนันถูกกฎหมายเกิดขึ้น อังกฤษ อเมริกา หรือ อีกหลายประเทศในโลกตะวันตก การพนันสร้างเศรษฐกิจใหม่ให้กับประเทศเหล่านี้ แต่สิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญคือ คนนับแสนนับล้านที่เป็นทาสการพนัน การพนันออนไลน์ทำงาน 24/7 ไม่หยุดไม่หย่อน สิ่งที่รัฐบาลพวกเขาทำได้ตอนนี้คือประนีประนอมกับนักเล่นพนัน เพราะคน 2/3 ของประเทศเล่นการพนันจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว หากรัฐบาลไม่อนุญาตท้ายที่สุดก็จะมีการพนันผิดกฎหมายอยู่ดีจากนักเล่นและเจ้าของบ่อนเถื่อนที่พร้อมเสี่ยงด้วยกัน นี่เป็นสิ่งที่น่ากังวลว่าจะเกิดขึ้นกับประเทศเล็ก ๆ อย่างไทยด้วย เราเริ่มต้นจากการอนุญาตให้เปิดกาสิโนเฉพาะในเมืองท่องเที่ยว วันต่อไปไม่รู้ว่าการพนันออนไลน์ บ่อนตามตำบลอำเภอ จะถูกอนุญาตหรือไม่  หากกาสิโนมีเหตุผลให้เปิดได้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่นานกิจการพนันออนไลน์ บ่อนรายเล็ก ทั้งหลายคงใช้เหตุผลเช่นเดียวกันในการเรียกร้องให้การพนันเป็นเรื่องปกติของสังคม เมื่อคนจำนวนมากถูกมอมเมาเช่นนี้ รัฐคงไปขวางทางน้ำเชี่ยวไม่ทันแล้ว

อ้างอิง (References)
1. Cronce JM, Corbin WR. Effects of Alcohol and Initial Gambling Outcomes on Within-Session Gambling Behavior. Exp Clin Psychopharmacol. 2010 Apr;18(2):145–57.
2. Cotti CD, Walker DM. The impact of casinos on fatal alcohol-related traffic accidents in the United States. J Health Econ. 2010 Dec 1;29(6):788–96.
3. Mustard D, Grinols E. Casinos, Crime, and Community Costs. Rev Econ Stat. 2006 Feb 1;88:28–45.

เราทำเต็มที่แล้วหรือยังเพื่อให้ได้กฎหมายที่ช่วยให้พวกเราทุกคนปลอดภัย!? ทั้งจากคนที่ไม่ดี ปืนที่อยู่ในมือคนไม่ดี และเหล้าที่พร้อมจะทำให้คนดีกลายเป็นคนไม่ดี
https://cas.or.th/content?id=26

เราทำเต็มที่แล้วหรือยังเพื่อให้ได้กฎหมายที่ช่วยให้พวกเราทุกคนปลอดภัย!? ทั้งจากคนที่ไม่ดี ปืนที่อยู่ในมือคนไม่ดี และเหล้าที่พร้อมจะทำให้คนดีกลายเป็นคนไม่ดี

จากข่าวที่ อส. ในอำเภอหาดใหญ่ กราดยิงลูกค้าร้านข้าวต้มเนื่องจากโมโหและทะเลาะกับเจ้าของร้าน จนทำให้ครอบครัวที่มาฉลองจัดงานวันเกิดให้ลูกเสียชีวิตไป 2 คน และเจ้าของร้านได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกยิงที่ศีรษะ ก่อนอื่นผมต้องขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวของผู้เสียชีวิตที่ควรจะเป็นวันที่มีความสุขวันหนึ่งของครอบครัว แต่กลายเป็นวันที่เศร้าที่สุด ครอบครัวของเจ้าของร้านข้าวต้มที่ทำมาหากินปกติแต่มาเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเช่นนี้ จนทำให้หัวหน้าครอบครัวบาดเจ็บสาหัสอาจจะพิการตลอดชีวิต ทั้งหมดนี้เกิดจากสามองค์ประกอบคือ คน ปืน และเหล้า ทั้งสามเป็นส่วนผสมที่มีโอกาสนำมาซึ่งความเลวร้าย แม้ว่าในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ทุกคนในเรื่องจะเป็นสุจริตชนก็ตาม

ปัญหาความรุนแรงในสังคม หลายครั้งที่มีเหล้าเป็นองค์ประกอบ ซึ่งที่น่าเศร้าใจคือ บางครั้งผู้รับเคราะห์นั้นไม่ได้เป็นคนดื่มด้วยซ้ำ อย่างเช่นกรณีนี้ สำหรับประเทศที่คำนึงถึงความปลอดภัยของคนในสังคมเขาอย่างเข้มงวด กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีหน้าที่ปกป้องคนทั้งที่ดื่มและไม่ดื่มเหล้าเบียร์ให้ปลอดภัยจากอันตรายของมัน อันตรายโดยตรงของมันคือทำให้คนมึนเมาขาดสติ ซึ่งคนมึนเมาขาดสติหยิบจับอะไรก็ดูอันตรายไปหมด ที่เห็นชัดคือจับพวงมาลัยรถกับจับปืน คนที่เมาแอ๋ไปแล้วแม้กระทั่งจับโทรศัพท์ยังอันตรายเลย การทำให้เคสนี้หายไปจากความทรงจำของคนไทยทุกคนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้ว แต่สำหรับอนาคตข้างหน้าเราจะสามารถลดโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้หากกฎหมายเกี่ยวข้องกับการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่หย่อนยาน และคุ้มครองพวกเราทุกคนจากสถานการณ์ที่จะนำไปสู่อันตรายจากเหล้าเบียร์ได้จริง ๆ

อย่างเช่นในกรณีที่เกิดขึ้นนี้หากเรามีกฎหมายทั้งฝั่งควบคุมอาวุธปืน และควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เข้มแข็ง เราจะลดโอกาสการเกิดเหตุการณ์นี้ไปได้หลายอย่างเลย ประการแรกสถานที่จำหน่ายถ้าทุกร้านที่จำหน่ายคนขายมีความรู้มีความเข้าใจความเสี่ยงจะประเมินคนซื้อได้ ในต่างประเทศเขามีการให้ใบอนุญาต (license) สำหรับการขายแบบนั่งดื่มในร้าน เข้าใจว่า เคสนี้คนขายในร้านไม่ต้องขออนุญาตสำหรับการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประการที่สอง: เวลาจำหน่าย เหตุการณ์เกิดเวลาใกล้ 22.00 น.แล้ว ซึ่งเป็นยามวิกาล โอกาสเกิดอาชญากรรมง่าย บางประเทศควบคุมหรือห้ามจำหน่ายในเวลาดังกล่าว เช่นในประเทศสิงคโปร์ ที่ห้ามจำหน่ายตั้งแต่ 22.30 น. การจำหน่ายสุราในช่วงเวลากลางคืน มีความเสี่ยงมากกว่าช่วงเวลากลางวัน กฎหมายที่เข้มงวดจึงมีการห้ามขายในช่วงเวลานี้ เพื่อลดโอกาสเกิดอาชญากรรม

นอกจากนั้นในบางประเทศมีกฎหมายเรียกว่า dram shop liability ซึ่งมีเนื้อหาใจความคือ ผู้ขายต้องประเมินได้ว่าผู้ซื้ออยู่ในอาการครองสติได้หรือไม่ หากไม่มีการประเมินหรือประเมินผิดพลาด และจำหน่ายสุราให้คนครองสติไม่ได้ หากผู้ซื้อไปก่อเหตุอะไรก็ตามที่ผิดกฎหมาย ไม่ว่าอาชญากรรมหรือเมาแล้วขับ ผู้ขายต้องมีส่วนรับผิดชอบทางแพ่งด้วย

ความมึนเมาทำให้คนเป็นปิศาจ เพราะขาดความยับยั้งชั่งใจ เราเรียกความยับยั้งชั่งใจนี้ในภาษาการแพทย์ว่า inhibitory process กล่าวคือถ้าคนปกติโกรธโมโห ในความคิดมีเรื่องร้าย ๆ ที่อยากจะทำ ความยับยั้งชั่งใจของคนปกติจะทำงานและบอกว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่เมื่อความโกรธเจอกับคนเมาระบบยั้งคิดนี้จะเสียไปแล้ว ความคิดอะไรที่ไม่ดีก็จะทำทันที กลายเป็นโศกนาฏกรรมอย่างที่เห็นในข่าว
ประชาชนคนไทยตัวเล็กตัวน้อยรับเคราะห์จากเหล้าเบียร์ ตายกันหลายหมื่นคนต่อปี ในขณะที่เจ้าสัวแสนล้านนอนหลับสบายใจ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่าทำไมเหตุร้ายที่ระบุสาเหตุร่วมของการกระทำได้อย่างการผลิตและจำหน่ายเหล้าเบียร์ คนที่ได้ประโยชน์จากกำไรและการควบคุมตลาดแบบผูกขาด รวมทั้งผู้ผลิตเหล้าเบียร์รายย่อยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดภายใต้สโลแกน “soft power” แทบไม่เคยร่วมรับผิดชอบผลกระทบด้านลบต่อสังคมจากสิ่งที่ทำให้เขาร่ำรวยเลย

ในช่วงวาระนี้จะมีการผลักดันกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ด้วย กลุ่มทุนอุตสาหกรรมสุราพยายามเต็มที่ที่จะผลักดันกฎหมายหนึ่ง ที่จะให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ทำหน้าที่ควบคุมกลั่นกรองกฎหมายต่าง ๆ ในการควบคุมทั้งการผลิตและจำหน่ายแอลกอฮอล์ โดยความพยายามหนึ่งคือ ต้องการให้ตำแหน่งในคณะกรรมการนี้มีที่นั่งจากผู้ผลิตและจำหน่ายเหล้าเบียร์ด้วย หากกรรมการชุดนี้เกิดขึ้นจริงและมีคนจากอุตสาหกรรมเข้ามามีส่วนร่วมด้วย กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของไทยคงไปในทางหย่อนยานลงเรื่อย ๆ

อย่าให้เคสแบบนี้เกิดขึ้นอีกและทำได้แค่เพียงแสดงความเสียใจ เราเห็นกันชัดเจนว่า เหตุการณ์ที่โศกเศร้าเช่นนี้เกิดจากปัจจัยสามอย่างคือ คน ปืน และ เหล้าที่เข้าปาก เราทำเต็มที่แล้วหรือยังเพื่อให้ได้กฎหมายที่ช่วยให้พวกเราทุกคนปลอดภัย ทั้งจากคนไม่ดี ปืนที่อยู่ในมือคนไม่ดี และเหล้าที่พร้อมจะทำให้คนดีกลายเป็นคนไม่ดี และเมื่อคนไม่ดีถือปืน ย่อมมีอันตรายต่อสังคม เราต้องใช้สิทธิและเสียงของเราปกป้องอนาคตเรา ผมมีความรู้เรื่องกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมอาวุธปืนไม่มาก แต่ความรู้ที่ผมมีคือ เรื่องการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยกฎหมาย สิ่งที่ผมพอจะทำให้สังคมเราปลอดภัยมากขึ้นสำหรับคนไทยทุกคน คือทำให้กฎหมายควบคุมเหล้าเบียร์ของเราแข็งแรง ไม่ปล่อยให้โอกาสเกิดร้าย ๆ แบบนี้เกิดขึ้นได้ง่าย และหากเกิดขึ้นแล้วก็ต้องมีคนรับผิดชอบอย่างเต็มกำลัง

เรียบเรียงโดย ดร.นพ.มูฮัมมัดฟาห์มี ตาเละ
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานรินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

เราทำเต็มที่แล้วหรือยัง เพื่อให้ได้กฎหมายที่ช่วยให้พวกเราทุกคนปลอดภัย!? ปืนที่อยู่ในมือคนไม่ดี และเหล้าที่พร้อมจะทำให้คนดีกลายเป็นคนไม่ดี
https://cas.or.th/content?id=511

เราทำเต็มที่แล้วหรือยังเพื่อให้ได้กฎหมายที่ช่วยให้พวกเราทุกคนปลอดภัย!? ทั้งจากคนที่ไม่ดี ปืนที่อยู่ในมือคนไม่ดี และเหล้าที่พร้อมจะทำให้คนดีกลายเป็นคนไม่ดี

จากข่าวที่ อส. ในอำเภอหาดใหญ่ กราดยิงลูกค้าร้านข้าวต้มเนื่องจากโมโหและทะเลาะกับเจ้าของร้าน จนทำให้ครอบครัวที่มาฉลองจัดงานวันเกิดให้ลูกเสียชีวิตไป 2 คน และเจ้าของร้านได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกยิงที่ศีรษะ ก่อนอื่นผมต้องขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวของผู้เสียชีวิตที่ควรจะเป็นวันที่มีความสุขวันหนึ่งของครอบครัว แต่กลายเป็นวันที่เศร้าที่สุด ครอบครัวของเจ้าของร้านข้าวต้มที่ทำมาหากินปกติแต่มาเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเช่นนี้ จนทำให้หัวหน้าครอบครัวบาดเจ็บสาหัสอาจจะพิการตลอดชีวิต ทั้งหมดนี้เกิดจากสามองค์ประกอบคือ คน ปืน และเหล้า ทั้งสามเป็นส่วนผสมที่มีโอกาสนำมาซึ่งความเลวร้าย แม้ว่าในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ทุกคนในเรื่องจะเป็นสุจริตชนก็ตาม

ปัญหาความรุนแรงในสังคม หลายครั้งที่มีเหล้าเป็นองค์ประกอบ ซึ่งที่น่าเศร้าใจคือ บางครั้งผู้รับเคราะห์นั้นไม่ได้เป็นคนดื่มด้วยซ้ำ อย่างเช่นกรณีนี้ สำหรับประเทศที่คำนึงถึงความปลอดภัยของคนในสังคมเขาอย่างเข้มงวด กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีหน้าที่ปกป้องคนทั้งที่ดื่มและไม่ดื่มเหล้าเบียร์ให้ปลอดภัยจากอันตรายของมัน อันตรายโดยตรงของมันคือทำให้คนมึนเมาขาดสติ ซึ่งคนมึนเมาขาดสติหยิบจับอะไรก็ดูอันตรายไปหมด ที่เห็นชัดคือจับพวงมาลัยรถกับจับปืน คนที่เมาแอ๋ไปแล้วแม้กระทั่งจับโทรศัพท์ยังอันตรายเลย การทำให้เคสนี้หายไปจากความทรงจำของคนไทยทุกคนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้ว แต่สำหรับอนาคตข้างหน้าเราจะสามารถลดโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้หากกฎหมายเกี่ยวข้องกับการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่หย่อนยาน และคุ้มครองพวกเราทุกคนจากสถานการณ์ที่จะนำไปสู่อันตรายจากเหล้าเบียร์ได้จริง ๆ

อย่างเช่นในกรณีที่เกิดขึ้นนี้หากเรามีกฎหมายทั้งฝั่งควบคุมอาวุธปืน และควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เข้มแข็ง เราจะลดโอกาสการเกิดเหตุการณ์นี้ไปได้หลายอย่างเลย ประการแรกสถานที่จำหน่ายถ้าทุกร้านที่จำหน่ายคนขายมีความรู้มีความเข้าใจความเสี่ยงจะประเมินคนซื้อได้ ในต่างประเทศเขามีการให้ใบอนุญาต (license) สำหรับการขายแบบนั่งดื่มในร้าน เข้าใจว่า เคสนี้คนขายในร้านไม่ต้องขออนุญาตสำหรับการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประการที่สอง: เวลาจำหน่าย เหตุการณ์เกิดเวลาใกล้ 22.00 น.แล้ว ซึ่งเป็นยามวิกาล โอกาสเกิดอาชญากรรมง่าย บางประเทศควบคุมหรือห้ามจำหน่ายในเวลาดังกล่าว เช่นในประเทศสิงคโปร์ ที่ห้ามจำหน่ายตั้งแต่ 22.30 น. การจำหน่ายสุราในช่วงเวลากลางคืน มีความเสี่ยงมากกว่าช่วงเวลากลางวัน กฎหมายที่เข้มงวดจึงมีการห้ามขายในช่วงเวลานี้ เพื่อลดโอกาสเกิดอาชญากรรม

นอกจากนั้นในบางประเทศมีกฎหมายเรียกว่า dram shop liability ซึ่งมีเนื้อหาใจความคือ ผู้ขายต้องประเมินได้ว่าผู้ซื้ออยู่ในอาการครองสติได้หรือไม่ หากไม่มีการประเมินหรือประเมินผิดพลาด และจำหน่ายสุราให้คนครองสติไม่ได้ หากผู้ซื้อไปก่อเหตุอะไรก็ตามที่ผิดกฎหมาย ไม่ว่าอาชญากรรมหรือเมาแล้วขับ ผู้ขายต้องมีส่วนรับผิดชอบทางแพ่งด้วย

ความมึนเมาทำให้คนเป็นปิศาจ เพราะขาดความยับยั้งชั่งใจ เราเรียกความยับยั้งชั่งใจนี้ในภาษาการแพทย์ว่า inhibitory process กล่าวคือถ้าคนปกติโกรธโมโห ในความคิดมีเรื่องร้าย ๆ ที่อยากจะทำ ความยับยั้งชั่งใจของคนปกติจะทำงานและบอกว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่เมื่อความโกรธเจอกับคนเมาระบบยั้งคิดนี้จะเสียไปแล้ว ความคิดอะไรที่ไม่ดีก็จะทำทันที กลายเป็นโศกนาฏกรรมอย่างที่เห็นในข่าว
ประชาชนคนไทยตัวเล็กตัวน้อยรับเคราะห์จากเหล้าเบียร์ ตายกันหลายหมื่นคนต่อปี ในขณะที่เจ้าสัวแสนล้านนอนหลับสบายใจ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่าทำไมเหตุร้ายที่ระบุสาเหตุร่วมของการกระทำได้อย่างการผลิตและจำหน่ายเหล้าเบียร์ คนที่ได้ประโยชน์จากกำไรและการควบคุมตลาดแบบผูกขาด รวมทั้งผู้ผลิตเหล้าเบียร์รายย่อยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดภายใต้สโลแกน “soft power” แทบไม่เคยร่วมรับผิดชอบผลกระทบด้านลบต่อสังคมจากสิ่งที่ทำให้เขาร่ำรวยเลย

ในช่วงวาระนี้จะมีการผลักดันกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ด้วย กลุ่มทุนอุตสาหกรรมสุราพยายามเต็มที่ที่จะผลักดันกฎหมายหนึ่ง ที่จะให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ทำหน้าที่ควบคุมกลั่นกรองกฎหมายต่าง ๆ ในการควบคุมทั้งการผลิตและจำหน่ายแอลกอฮอล์ โดยความพยายามหนึ่งคือ ต้องการให้ตำแหน่งในคณะกรรมการนี้มีที่นั่งจากผู้ผลิตและจำหน่ายเหล้าเบียร์ด้วย หากกรรมการชุดนี้เกิดขึ้นจริงและมีคนจากอุตสาหกรรมเข้ามามีส่วนร่วมด้วย กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของไทยคงไปในทางหย่อนยานลงเรื่อย ๆ

อย่าให้เคสแบบนี้เกิดขึ้นอีกและทำได้แค่เพียงแสดงความเสียใจ เราเห็นกันชัดเจนว่า เหตุการณ์ที่โศกเศร้าเช่นนี้เกิดจากปัจจัยสามอย่างคือ คน ปืน และ เหล้าที่เข้าปาก เราทำเต็มที่แล้วหรือยังเพื่อให้ได้กฎหมายที่ช่วยให้พวกเราทุกคนปลอดภัย ทั้งจากคนไม่ดี ปืนที่อยู่ในมือคนไม่ดี และเหล้าที่พร้อมจะทำให้คนดีกลายเป็นคนไม่ดี และเมื่อคนไม่ดีถือปืน ย่อมมีอันตรายต่อสังคม เราต้องใช้สิทธิและเสียงของเราปกป้องอนาคตเรา ผมมีความรู้เรื่องกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมอาวุธปืนไม่มาก แต่ความรู้ที่ผมมีคือ เรื่องการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยกฎหมาย สิ่งที่ผมพอจะทำให้สังคมเราปลอดภัยมากขึ้นสำหรับคนไทยทุกคน คือทำให้กฎหมายควบคุมเหล้าเบียร์ของเราแข็งแรง ไม่ปล่อยให้โอกาสเกิดร้าย ๆ แบบนี้เกิดขึ้นได้ง่าย และหากเกิดขึ้นแล้วก็ต้องมีคนรับผิดชอบอย่างเต็มกำลัง

เรียบเรียงโดย ดร.นพ.มูฮัมมัดฟาห์มี ตาเละ
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานรินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

รู้จัก.. มาตรการความรับผิดของร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กับ ผศ.ดร.สมัย โกรทินธาคม
https://cas.or.th/content?id=627

รู้จัก.. มาตรการความรับผิดของร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กับ ผศ.ดร.สมัย โกรทินธาคม

Q1: เจ้าของร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะต้องมีความรับผิดทางกฎหมาย อย่างไร?
A1: ถ้าเราดู กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของไทย ปี 2551 จะห้ามขายให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี, ห้ามขายนอกเวลาที่กฎหมายกำหนด, ห้ามขายในสถานที่ต้องห้าม, และ ห้ามขายให้ลูกค้าผู้ซึ่งมีอาการมึนเมาแล้วครองสติไม่ได้ ผู้ฝ่าฝืน จะเจอบทลงโทษ ตามระบุ

Q2: ในต่างประเทศ เจ้าของร้านมีความรับผิดในเรื่องนี้ อย่างไรบ้าง?
A2: ไทยและทั่วโลกมีข้อกำหนดคล้ายกัน แต่บางประเทศเช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา มีกำหนดเพิ่มเติมคือ ผู้ที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะร้านมีที่นั่งให้ดื่ม (On-Premises sale) ต้องมีหน้าที่ พึงระวังไม่ให้ลูกค้าดื่มจนเมามาย ถ้าลูกค้ารายนั้นมีอาการมึนเมาออกจากร้าน แล้วขับขี่ยานพาหนะ จนสร้างความเสียหายแก่ผู้อื่น ผู้ขายจะต้องมีส่วนร่วมรับผิดต่อความเสียหายนั้นด้วย ข้อกำหนดนี้เรียกว่า “Commercial Host Liability หรือ Dram Shop Liability”

Q3: เหตุผล ของการมีข้อบังคับอย่างนั้น คืออะไร?
A3: ฟังดู เป็นเรื่องใหม่สำหรับสังคมไทย เหตุผลเรื่องนี้มาจากปัญหาเมาแล้วขับในอเมริกา สร้างความเสียหายเกิดขึ้นเป็นวงกว้างมาหลายสิบปี มีสถิติชี้ว่า ผู้ก่อเหตุที่เมาจากร้านที่นั่งดื่ม มีถึง 30-50% ของการเกิดเหตุ ศาลต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกา จึงเปลี่ยนกรอบคิดจากเดิม ที่มุ่งเอาผิดเฉพาะผู้ดื่ม ซึ่งเป็นผู้ก่อเหตุโดยตรง ส่วนผู้ขายไม่ได้มีส่วนผิดใด ๆ เพราะผู้ขายอยู่ไกลแก่เหตุความเสียหาย คือ Remote Causation มันก็แค่ขาย ไง ไม่ได้เป็นผู้ที่ขับรถไปชนผู้อื่น นี่
แต่หลักคิด ทางนิติเศรษฐศาสตร์ (Law and Economics) ศาลจึงพิจารณาว่า เมื่อมีผู้ได้รับความเสียหายจากคนมึนเมา ฝ่ายใดควรต้องมีส่วนรับผิดบ้าง สรุปคือ มีเหตุผลอยู่ ที่ผู้ขายควรต้องร่วมรับผิดต่อผู้เสียหาย หากไม่ได้ระวัง ถือว่ามีส่วนก่อช่องภัย (Enabling) และ เป็นผู้ใกล้แก่เหตุแห่งความเสียหาย (Proximate Causation) ผู้ขายพึงต้องมีหน้าที่ยับยั้งปัญหาไว้แต่แรก การเพิกเฉยหน้าที่ดังกล่าว ย่อมนำพาให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น

จริงอยู่ ที่ผู้ขายมีสิทธิเสรีภาพในการขาย จะขายมากเพียงใดก็ได้ เพื่อให้มีรายได้สูงสุด แต่การขายเพื่อเป้าหมายรายได้สูงสุด โดยมิได้คำนึงความปลอดภัยต่อลูกค้าและผู้อื่น ที่อาจได้รับความเสียหายเลย ซึ่งเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดจากการขายและการดื่มนั้น มันก็ใช้ไม่ได้ เพราะสร้างภัยคุกคามต่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยของทุกคนในสังคม

เหตุผลของมาตรการนี้ มีไว้เพื่อให้ผู้ดื่มมีการดื่มอย่างพอประมาณ กำกับให้ผู้ขายปลีก ร้านอาหาร สถานบันเทิง ที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ให้มีการขายอย่างรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อลดปัญหาจากการดื่มและการขาย

Q4: อาจารย์ ช่วยยกตัวอย่างคดีความในต่างประเทศ มีกรณีใดบ้าง?
A4: ตัวอย่างที่ 1) คดีในแคนาดา Schmidt v. Sharpe et al. (1983) ในมลรัฐ Ontario ปี 2526 เยาวชน 2 คน ชื่อ Schmidt (อายุ 16 ปี) และ Sharpe (อายุ 19 ปี) เข้าไปบาร์ในโรงแรม AH104 ทั้งคู่สั่งเบียร์มาดื่ม รวม 3 ขวด จากนั้นเดินทางกลับ โดย Sharpe เป็นคนขับรถ ส่วน Schmidt เป็นผู้โดยสาร ต่อมารถเสียหลักช่วงเข้าทางโค้งจนพลิกคว่ำ Sharpe บาดเจ็บเล็กน้อย ส่วน Schmidt บาดเจ็บสาหัส ร่างกายเป็นอัมพาต ไม่มีอาการตอบสนองตั้งแต่บริเวณหน้าอกลงไป และ ปอดด้านซ้ายไม่ทำงาน

หลังประสบเหตุนั้น พบว่า Sharpe มีอาการมึนเมา ทนายของ Schmidt ฟ้องศาลว่า Sharpe ขับรถไม่ระวัง ทำให้ Schmidt ได้รับความเสียหาย และฟ้องเจ้าของโรงแรม ซึ่งพนักงานเสิร์ฟในความดูแล น่าจะประเมินได้ว่า Schmidt และ Sharpe เป็นเยาวชน อายุไม่ถึงเกณฑ์ที่กฎหมายอนุญาตให้ดื่ม และ Sharpe มีอาการมึนเมาแล้ว จึงขอให้ Sharpe และ เจ้าของโรงแรม ชดใช้ค่าเสียหาย

ศาลชั้นต้นเห็นว่า พนักงานเสิร์ฟน่าจะทราบว่า ทั้งคู่เป็นเยาวชน แล้วยังขายให้ดื่มจนมึนเมา จึงมีความเสี่ยงแก่ผู้อื่นอาจได้รับความเสียหาย ส่วน Sharpe อ้างต่อศาลว่า ก่อนเกิดเหตุ Schmidt ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย ศาลจึงตัดสินให้ Sharpe รับผิด 55% เจ้าของโรงแรมรับผิด 15% ที่ขายให้ผู้มีอายุต่ำกว่าเกณฑ์ และ Schmidt มีส่วนรับผิด 30% ที่ประมาทร่วมด้วย (Contributory Negligence) เพราะไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ทั้งยอมโดยสารไปกับรถที่ผู้ขับมีอาการมึนเมา ศาลอุทธรณ์ และ ศาลสูงสุด ยืนยันตามคำตัดสินนั้น Schmidt ได้เงินชดเชยราว 163,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากถูกปรับลดลงไปแล้ว 30% ในฐานะที่ตนประมาทร่วม

ตัวอย่างที่ 2) ในอเมริกา เช่น ข่าวเมื่อ 19 พฤษภาคม 2566 นักข่าวสถานีโทรทัศน์ช่อง CBS8 แห่งมหานครซานดิเอโก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย รายงานว่า นายโจนาธาน ซาราโกซา (Jonathan Ortiz Zaragoza) เด็กหนุ่มวัย 20 ปี ไปรับประทานอาหารที่ร้าน “Las Tres Cantinas” เมือง Chula Vista ในมหานครซานดิเอโก โดยเขาสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย ภายหลังออกจากร้านไปแล้ว ขับรถประสบอุบัติเหตุ จนเสียชีวิตคาที่

นักข่าวอ้างถึง เอกสารของสำนักงานควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (The Department of Alcoholic Beverage Control-ABC) ที่เผยเหตุก่อนหน้า ระบุว่า นายซาราโกซา ไปนั่งดื่มในร้านนั้น ซึ่งเป็นอีกครั้งหนึ่งที่พนักงานเสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยไม่ได้ตรวจสอบบัตรประชาชนว่า เขามีอายุถึงเกณฑ์ตามกฎหมายอนุญาตให้ดื่มหรือไม่ ซึ่งในทุกมลรัฐของสหรัฐอเมริกา ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 21 ปี ก็แสดงว่า พนักงานฝ่าฝืนข้อบังคับดังกล่าว ใช่มั้ย

แล้วเจ้าหน้าที่ ยังสืบทราบว่า ก่อนที่นายซาราโกซา จะประสบเหตุร้าย เขามีอาการมึนเมาจากร้านนั้น จึงสั่งพักใบอนุญาตขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ร้านดังกล่าว เป็นเวลา 1 เดือน และ เตือนว่า หากทางร้านมีการขายโดยผิดกฎหมายซ้ำอีกครั้ง จะถูกยกเลิกใบอนุญาตอย่างถาวร ทั้งนี้ เพื่อปกป้องชีวิตเยาวชนและความปลอดภัยของประชาชน

ส่วนเจ้าของร้านต้องมีส่วนชดใช้อย่างไรนั้น ไม่ปรากฏรายละเอียดในรายงานข่าว แต่เดาได้เลยว่า จะต้องเป็นไปตามกฎหมายของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งมีข้อกำหนดเรื่องความรับผิดของผู้ขาย ที่ขายให้ผู้มีอายุไม่ถึงเกณฑ์ จนมีอาการมึนเมา (Intoxicated Minors) แล้วเกิดความเสียหายขึ้นนั้น ต้องเจอบทลงโทษอย่างไร

ตัวอย่างที่ 3) หญิงสาวคนหนึ่งชื่อ โจน่า เบจโก้ (Jona Bejko) วัย 21 ปี เมืองเนเปิลส์ รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ได้เสียชีวิตอย่างน่าเศร้าในวันที่ 29 ตุลาคม 2566 เมื่อรถของเธอพุ่งชนและตกลงไปในคลอง แม่ของเธอ ตัดสินใจฟ้องร้านอาหาร ในข้อหาร้านนั้นละเมิดกฎหมาย Dram Shop Liability ของมลรัฐฟลอริดา ที่เสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป และ ร้านยังปล่อยให้ลูกของตนขับรถออกจากร้าน จนทำให้เสียชีวิต
จากรายงานของเจ้าหน้าที่ พบว่า โจน่า มีระดับแอลกอฮอล์ในเลือด สูงถึง 0.30% ซึ่งเกินกว่ากฎหมายในฟลอริดา ที่กำหนดไว้ คือ 0.08% ในแถลงการณ์ของทางครอบครัวของโจน่า กล่าวว่า การฟ้องร้องดังกล่าว พวกเขาต้องการสนับสนุน ให้มีการเตือนพนักงานบาร์และร้านอาหาร ถึงความรับผิดชอบในการเสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ หวังว่า การให้สถานประกอบการมีความรับผิดชอบ จะสามารถช่วยป้องกันครอบครัวอื่น ๆ ไม่ต้องเผชิญความโศกเศร้าเช่นนี้

Q5: ในรายละเอียดของมาตรการนั้น เป็นอย่างไร?
A5: เรื่องนี้เป็นเทคนิคทางกฎหมาย หลายมลรัฐของอเมริกา ยึดหลัก “ให้ผู้เสียหายเป็นฝ่ายพิสูจน์ว่า เจ้าของร้าน ประมาทเลินเล่ออย่างไร (Negligence Rule) ถึงเป็นสาเหตุให้ตนได้รับความเสียหาย จากผู้ขับที่เมาจากร้านนั้น” ซึ่งเป็นหลักการทางแพ่งโดยทั่วไป แต่ว่า หลายกรณีมันเป็นเรื่องยาก ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า เจ้าของร้านหรือทีมพนักงานเสิร์ฟ ประมาณเลินเล่ออย่างไร ร้านค้าย่อมต้องพ้นผิด
มลรัฐ Illinois จึงแก้เกม เพื่อลดภาระในการพิสูจน์ (Burden of Proof) โดยกำหนดกติกาว่า ให้สันนิษฐานก่อนไว้ก่อนเลยว่า เจ้าของร้านหรือทีมพนักงานเสิร์ฟมีความผิด “โดยเคร่งครัด (Strict Liability Rule)” เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่า ได้มีการขายตามกฎหมาย หรือ เป็นเพราะความประมาทเลินเล่อ ของผู้ที่ได้รับความเสียหายจากลูกค้าของตนเอง
จากงานศึกษาต่าง ๆ พบว่า การกำหนดความรับผิดของผู้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในกรณีนี้ สามารถช่วยลดอุบัติเหตุร้ายแรงในสหัรัฐอเมริกา ได้อย่างมีนัยสำคัญ

Q6: อาจารย์คิดว่า ถ้าจะนำหลักการนี้ มาประยุกต์ใช้กับประเทศไทย มีความเป็นไปได้หรือไม่ อย่างไร
A6: ผมว่า เป็นไปได้ คือเอาตรง ๆ นะ บทลงโทษเมาแล้วขับ ตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก ในปัจจุบันนี้ แม้จะมีบทลงโทษหนัก แต่ก็ เอาไม่อยู่
1) พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2551 เปิดช่องไว้แล้วว่า ให้สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เสนอต่อรัฐมนตรี เพื่อขอปรับเรื่อง “วิธีหรือลักษณะการจำหน่ายที่ต้องห้าม” ได้
2) ควรพิจารณาแก้คำว่า “ขายให้ผู้ที่มึนเมาครองสติไม่ได้” เพราะบังคับใช้ไม่ได้ จากการพูดคุยกับร้านค้าต่าง ๆ ส่วนใหญ่เห็นว่า การประเมินอาการลูกค้า “เมา หรือ ไม่เมา” ดูยาก จึงควรปรับเป็นคำว่า “ผู้มีอาการมึนเมาอย่างเห็นได้ชัด (Visibly Intoxicated)” อย่างในคู่มือของมลรัฐ Oregon เพื่อแนะนำร้านค้าต่าง ๆ
3) ประเทศไทย ควรเลือกหลักการ “ความรับผิดโดยเคร่งครัด (Strict Liability Rule)” ให้ผู้ขายต้องร่วมรับผิดในผลเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ผู้อื่น จากลูกค้าผู้ซึ่งมึนเมาออกจากร้านตน โดยผู้ขายต้องมีภาระการพิสูจน์ในการนั้น ยกเว้นเป็นเหตุสุดวิสัย หรือ เป็นความประมาทเลินเล่อของผู้ได้รับความเสียหายนั้นเอง ผู้ขายจึงจะพ้นผิด พวกเราจะได้ไม่ต้องปวดหัว กับหลักการ “ประมาทเลินเล่อ (Negligence Rule)” ครับ

______
ผศ.ดร.สมัย โกรทินธาคม
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

เมื่อรัฐบาล จะลดภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์!?
https://cas.or.th/content?id=654

“ความวัว” ยังไม่ทันจะจางหายไป แล้ว “ความควาย” กำลังจะเข้ามาทับถม เริ่มจากรัฐบาลปัจจุบัน ได้ประกาศปลดล็อค ให้สถานบริการในโรงแรม และนอกโรงแรมของ 5 พื้นที่นำร่อง สามารถขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้ถึงเวลาตี 4 แล้วถัดมาไม่กี่วัน กรมสรรพสามิตเผยว่าอยู่ในระหว่างปรับโครงสร้างภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้มีความเหมาะสม เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศ จึงเสนอให้รัฐบาลลดภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเน้นการลดภาษีไวน์ และสุราชุมชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวให้กระจายทั่วไทย

ในทางวิชาการนั้น หลักการเก็บภาษีจากผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็น “ทำนบกั้น” มิให้ปัญหา ต่าง ๆ ลุกลาม ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกประเทศล้วนต้องจำกัดปัญหาต่อสังคมจากการขายและการดื่ม ถ้ารัฐบาลจะลดทำนบนั้นลง โดยลดภาษีให้แก่ผู้ผลิต ประชาชนเราทั่วไป เดาได้ไม่ยากเลยว่า ราคาขายปลีก ย่อมลดลง แล้วผลลัพธ์อันไม่พึงประสงค์จะมีตามมา อย่างไรบ้าง

ผลการศึกษาในต่างประเทศ เช่น ฟินแลนด์ กับ เดนมาร์ก ภายหลังปรับลดภาษีเหล้า เบียร์ ไวน์ 45% ปรากฏว่า ราคาขายได้ลดลงไป 25% คนในประเทศฟินแลนด์ มีการดื่มเพิ่มขึ้น 10% เพราะราคาขายปลีกถูกลง ส่วนคนในประเทศเดนมาร์ก มีการดื่มเท่าเดิม ซึ่งดูเหมือนว่า จะมีการอิ่มตัวของการบริโภคในเดนมาร์ก แต่ถ้าเราตีความจากผลการศึกษาในเดนมาร์ก ให้พึงนึกถึงบริบทวัฒนธรรมการกินดื่มในยุโรปหลายประเทศนั้น ต่างจากในไทยเราอย่างสิ้นเชิง

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในรอบ 4 ปีมานี้ พบว่า คนไทยมีผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 30% อีก 70% ไม่ได้ดื่ม คือ อาจเคยดื่มและเลิกแล้ว หรือไม่ดื่มเลย ที่น่าสนใจคือ ไทยเรามีนักดื่มหน้าใหม่ ที่อายุ 15 ปีขึ้นไปมากขึ้น อย่างในปี 2564 มีราว ๆ 1.4 ล้านคน ที่น่าตกใจกว่านั้น วัยรุ่นหญิงที่ดื่มในปัจจุบัน มีจำนวนเพิ่มขึ้น

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในทางเศรษฐศาสตร์นั้นเป็นสิ่งที่ผู้ซื้อ ไม่ได้สนใจราคามาก คือ ยามต้องการจะดื่ม แม้ราคาสูงขึ้น ก็ยินดีซื้อกินดื่ม แล้วถ้ายิ่งรัฐบาลจะลดภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยแล้ว ราคาขายปลีกจะถูกลง ย่อมมีผลจูงใจผู้ซื้ออย่างเยาวชน และผู้มีรายได้น้อย ให้ซื้อดื่มมากขึ้นไปอีก

ทำไมรัฐจึงไม่ห่วงใยสุขภาพและความปลอดภัยแก่สาธารณชนโดยรวมเลย แล้วไทยเรายังมีกรอบใหญ่อีกอันรออยู่ คือ กลุ่มประเทศยุโรป (EU) กำลังขอเจรจาเปิดเสรีการค้ากับไทย ซึ่งถ้าผลการเจรจาตกลงแล้วเสร็จ โดยไม่มีการยกเว้นสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ออกจากกรอบข้อตกลงการค้าเสรี สินค้าผ่านแดนเข้า-ออก ระหว่างไทยกับยุโรป อัตราภาษีจะเป็น 0% หรือ บางรายการเก็บในอัตราที่ต่ำมากในอนาคต รวมถึงไวน์กับเหล้า ที่รอหลากทะลัก เข้ามายังไทยอีกมากมาย

ที่น่ากังวลในทางสาธารณสุข คือ สถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจมีผู้ท้วงว่า การลดภาษีลง ราคาขายปลีกลดลง แล้วถ้าไม่ได้มีอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น ก็จะไม่เป็นปัญหาอันใด ซึ่งก็จริง แต่ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นเล่า ผลจะเป็นอย่างไร ไทยเรามีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน ปีละ 2 หมื่นคน แล้ว 1 ในสาเหตุนั้น เกิดจากการเมาแล้วขับ มีคนตายประมาณ 1,000–2,000 คน และได้รับบาดเจ็บอีกหลายพันคนต่อปี แล้วยังต้องสูญเสียทรัพย์สิน และสร้างภาระต่อเนื่องไปยังสมาชิกครอบครัวผู้อยู่ข้างหลังในระยะยาว

ดูผิวเผิน รัฐบาลมีเจตนาต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มการจ้างงานและรายได้ ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์นั้น มีอยู่หลายวิธี แต่ครั้นดูจากรายงานข่าว น่าประหลาดที่รัฐบาลจะเลือกวิธีกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวกินดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทยมากขึ้น และ แน่นอนว่าคนไทยเราเอง ย่อมดื่มเพิ่มขึ้นด้วย เพราะราคาถูกลง แล้วเช่นนั้น สังคมไทยจะต้องแลกอะไรบ้างกับนโยบายนี้ อย่างแรก รัฐจะเสียรายได้บางส่วนอันควรได้จากภาษี ต่อมา ถ้ามีผู้มึนเมาแล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้น มีผู้ได้รับความเสียหาย ย่อมเกิดภาระยุ่งยากแก่หลายฝ่ายตามมา

คนไทยเราได้รับความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากกองทุนประกันสังคม และสิทธิ์เบิกจ่ายข้าราชการ กลุ่มนี้มีจำนวนรวม 28% เท่านั้น อีก 70% ได้รับสิทธิ์หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า คือได้รักษาฟรี 16 อาการ ซึ่ง 1 ในนั้น เป็นการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เหตุเกิดที่ใด ให้เข้ารักษาโรงพยาบาลใกล้จุดนั้น เพื่อเยียวยาเบื้องต้น แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ประสบเหตุจะถูกส่งไปรักษาต่อ ในโรงพยาบาลที่ผู้นั้นได้ลงทะเบียนไว้แต่แรก โดยรัฐออกค่าใช้จ่ายเบื้องต้นให้ มีบางรายการที่ผู้ประสบเหตุต้องจ่ายเอง เช่น ค่าสแกนสมอง แล้วยังต้องแบกรับภาระการรักษาต่อเนื่อง การกายภาพบำบัด ความพิการ การสูญเสียหน้าที่การงาน หรือ แม้กระทั่งเสียชีวิต ซึ่งเป็นต้นทุนที่ต้องสูญไปไม่น้อยแก่ครอบครัวเลย

ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา รัฐบาลในอดีตเน้นการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อปกป้องสุขภาพและความปลอดภัยต่อสาธารณชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนาคตของเยาวชนและการป้องกันปัญหาดื่มเมาแล้วขับ การตัดสินใจของรัฐบาลปัจจุบัน ด้วยการหย่อนการควบคุมลง ย่อมนำพาให้เกิดการสูญเสียทางสังคมเพิ่มมากขึ้นไปอีก ประชาชนชาวบ้านอาจเกิดคำถามในใจว่า โดยเนื้อในหวังเพียงเพิ่มพูนรายได้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจเหล่านี้ โดยห่อหุ้มด้วยคำว่า “เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวไทย” รัฐบาลควรทบทวนว่า ประชาชนไทยส่วนใหญ่ คิดเห็นกันอย่างไร และสนับสนุนนโยบายลดทอนการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่ทยอยออกมากันเช่นนี้ จริงหรือไม่

____________
โดย…
ผศ.ดร.สมัย โกรทินธาคม
ดร.นัฐพร โรจนหัสดิน
คณะเศรษฐศาสตร์ และคณะทำงาน ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

การสังเคราะห์ผลการศึกษาประเด็นดื่มแล้วขับในประเทศไทย พ.ศ. 2564
https://cas.or.th/content?id=34

แม้ว่าการบาดเจ็บและการสูญเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทยจะมีแนวโน้มดีขึ้นเล็กน้อย แต่ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนสูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในเอเชีย อุบัติเหตุเหล่านี้สร้างความสูญเสียทั้งทางร่างกายและจิตใจให้กับผู้ประสบเหตุและครอบครัว รวมถึงส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม

ความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากอุบัติเหตุจราจรในประเทศไทยมีมูลค่าเฉลี่ยต่อปีประมาณ 545,435 ล้านบาท คิดเป็น ร้อยละ 6 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) โดยสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุและการเสียชีวิตส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมของผู้ขับขี่เอง เช่น การขับรถเร็วและการเมาแล้วขับ

ในปี พ.ศ. 2564 ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้สนับสนุนการวิจัยเพื่อศึกษาประเด็น ดื่มแล้วขับในบริบทของประเทศไทย ซึ่งนำไปสู่ข้อค้นพบสำคัญที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนานโยบายเพื่อลดปัญหานี้ในปัจจุบัน

เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อรวบรวมข้อค้นพบและสรุปสาระสำคัญของการศึกษาดังกล่าว ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านในการทำความเข้าใจปัจจัยที่ทำให้ พฤติกรรมดื่มแล้วขับ ยังคงเป็นปัญหาในสังคมไทย รวมถึงช่วยสะท้อนให้ผู้กำหนดนโยบายได้รับทราบและพัฒนาแนวทางในการลดปัญหานี้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนเป็นแนวทางในการพัฒนางานวิจัยต่อยอดเพื่อแก้ไขปัญหาการดื่มแล้วขับอย่างต่อเนื่อง

ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.)

Centre for Alcohol Studies (CAS)

สาขาวิชาเวชศาสตร์ครอบครัวและเวชศาสตร์ป้องกัน อาคารศรีเวชวัฒน์ ชั้น 11 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เลขที่ 15 ถนนกาญจนวนิช ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 90110

083-5775533

https://www.facebook.com/cas.org.th

เข้าชมแล้ว 0 ครั้ง
Copyright © 2025 CAS All rights reserved.