คำค้นหา : โรค NCDs

คำนี้ค้นหามาแล้ว : 1 ครั้ง
“การใช้แอลกอฮอล์เป็นทางออกของความเครียด อาจดูเหมือนช่วยได้ชั่วคราว แต่ระยะยาวกลับทำให้ทั้งการนอน อารมณ์ และสุขภาพจิตแย่ลง”
https://cas.or.th/content?id=1037
Tags : -

“การใช้แอลกอฮอล์เป็นทางออกของความเครียด อาจดูเหมือนช่วยได้ชั่วคราว แต่ระยะยาวกลับทำให้ทั้งการนอน อารมณ์ และสุขภาพจิตแย่ลง”
------------

อ.พญ.ปองขวัญ ยิ้มสอาด
อาจารย์ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ร่วมให้ข้อมูลในเวทีเสวนา “แอลกอฮอล์: ตัวเร่งโรค NCDs และทางออกเพื่อปกป้องสุขภาพคนไทย” เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 ณ โรงแรมเบสเวสเทิร์น จตุจักร กรุงเทพฯ

อ.พญ.ปองขวัญ กล่าวว่า ถ้าพูดถึงเรื่องสุขภาพจิต หลายคนอาจเคยได้ยิน หรืออาจเคยรู้สึกด้วยตัวเองว่า เวลาเครียด เหนื่อย หรือมีปัญหาเรื่องการนอน แอลกอฮอล์ดูเหมือนจะเป็นตัวช่วยที่เข้าถึงง่าย ดื่มแล้วรู้สึกผ่อนคลาย หลับง่ายขึ้น แต่ในมุมมองทางการแพทย์ เราพบว่า แอลกอฮอล์ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาสุขภาพจิตอย่างที่หลายคนเข้าใจ ตรงกันข้าม มันกลับเป็นตัวที่รบกวนระบบการทำงานของสมอง โดยเฉพาะวงจรการนอนและการควบคุมอารมณ์

ในระยะสั้น อาจรู้สึกง่วง หลับเร็วขึ้น แต่การนอนที่เกิดจากแอลกอฮอล์ไม่ใช่การนอนที่มีคุณภาพ สมองไม่ได้พักจริง วงจรการนอนถูกรบกวน ทำให้ตื่นมาไม่สดชื่น และเมื่อสะสมไปเรื่อย ๆ จะส่งผลต่ออารมณ์ ความเครียด ความหงุดหงิด และภาวะซึมเศร้าในระยะยาว

สิ่งที่น่ากังวล คือ คนจำนวนไม่น้อยเริ่มใช้แอลกอฮอล์เป็นเครื่องมือจัดการอารมณ์ โดยไม่รู้ตัว จากดื่มเพื่อผ่อนคลาย กลายเป็นดื่มเพื่อรับมือกับความเครียด ความเศร้า หรือความกดดันในชีวิตประจำวัน และเมื่อดื่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็อาจพัฒนาไปสู่ภาวะติดแอลกอฮอล์ โดยข้อมูลทางการแพทย์และงานวิจัย เราพบความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนระหว่างปัญหาการดื่มแอลกอฮอล์ กับความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะความเสี่ยงในการทำร้ายตนเอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องไกลตัว และไม่ใช่เรื่องของคนกลุ่มเล็ก ๆ ดังนั้น สิ่งสำคัญ คือ เราต้องเปลี่ยนมุมมองต่อแอลกอฮอล์ ไม่มองว่าเป็นทางออกของความเครียดหรือการนอนหลับ แต่ต้องมองว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้ปัญหาสุขภาพจิตรุนแรงขึ้น หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม

สุดท้ายนี้ อยากย้ำว่า หากใครเริ่มรู้สึกว่าการดื่มเริ่มควบคุมยาก หรือส่งผลต่ออารมณ์ การนอน หรือการใช้ชีวิตประจำวัน การขอความช่วยเหลือไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็นก้าวสำคัญของการดูแลสุขภาพ สามารถขอคำปรึกษาได้ที่สายด่วน 1413 หรือที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน

“เวลาพูดถึงโรคมะเร็ง หลายคนอาจนึกถึงพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม หรืออาหารการกิน แต่มีปัจจัยหนึ่งที่อยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด นั่นคือ ‘แอลกอฮอล์’ ซึ่งในทางการแพทย์ เรามีหลักฐานชัดเจนว่าแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งหลายชนิด”
https://cas.or.th/content?id=1038
Tags : -

“เวลาพูดถึงโรคมะเร็ง หลายคนอาจนึกถึงพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม หรืออาหารการกิน แต่มีปัจจัยหนึ่งที่อยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด นั่นคือ ‘แอลกอฮอล์’ ซึ่งในทางการแพทย์ เรามีหลักฐานชัดเจนว่าแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งหลายชนิด”
------------

 

รศ.ดร.พญ.ภัทรพิมพ์ สรรพวีรวงศ์
หน่วยมะเร็งวิทยา สาขาวิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ผู้แทนจาก มะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย (TSCO)
ร่วมให้ข้อมูลในเวทีเสวนา “แอลกอฮอล์: ตัวเร่งโรค NCDs และทางออกเพื่อปกป้องสุขภาพคนไทย” เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 ณ โรงแรมเบสเวสเทิร์น จตุจักร กรุงเทพฯ

รศ.ดร.พญ.ภัทรพิมพ์ กล่าวว่า จากงานวิจัยจำนวนมากพบว่า การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีความเชื่อมโยงกับการเกิดมะเร็งที่พบได้บ่อยในคนไทย ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งช่องปากและลำคอ มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งล้วนเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญของประเทศ

ในเชิงกลไกทางชีวภาพ แอลกอฮอล์ที่เราดื่มเข้าไปไม่ได้หายไปเฉย ๆ แต่จะถูกเปลี่ยนเป็นสารที่ชื่อว่า อะซีทัลดีไฮด์ (Acetaldehyde) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งโดยตรง สารนี้สามารถทำลายสารพันธุกรรมหรือ DNA ของเซลล์ และยังไปรบกวนกระบวนการซ่อมแซม DNA ของร่างกาย พูดง่าย ๆ คือ แอลกอฮอล์ทำให้เซลล์เสียหาย และทำให้ร่างกายซ่อมตัวเองได้แย่ลง นอกจากนี้ แอลกอฮอล์ยังส่งผลให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายเพิ่มขึ้น ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งเต้านม รวมถึงทำให้ระบบต่อต้านอนุมูลอิสระของร่างกายทำงานได้ลดลง เซลล์จึงถูกทำลายได้ง่ายขึ้น และยังเพิ่มความเสี่ยงทางอ้อมผ่านภาวะน้ำหนักเกินจากการได้รับแคลอรีส่วนเกิน

ข่าวดีคือ งานวิจัยพบว่า การลดหรือเลิกดื่มแอลกอฮอล์สามารถช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งบางชนิดได้จริง โดยเฉพาะมะเร็งช่องปากและมะเร็งหลอดอาหาร นั่นหมายความว่า ความเสี่ยงของมะเร็งไม่ใช่สิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้ แต่การตัดสินใจลดหรือเลิกดื่ม คือการลดความเสี่ยงให้ตัวเองอย่างแน่นอน

ในขณะเดียวกัน ความเชื่อที่ว่า “ไวน์แดงหรือไวน์ขาวดีต่อสุขภาพ” ก็ไม่สอดคล้องกับหลักฐานทางวิชาการในเรื่องโรคมะเร็ง เพราะการดื่มไวน์ไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือมะเร็งต่อมลูกหมากแต่อย่างใด

สำหรับผู้ป่วยมะเร็ง แอลกอฮอล์ไม่เพียงแต่เพิ่มความเสี่ยงของโรค แต่ยังอาจทำให้อาการข้างเคียงจากการรักษารุนแรงขึ้น ลดประสิทธิภาพของยา ทำให้ตับทำงานหนัก และเพิ่มความเสี่ยงของการกลับเป็นซ้ำ หรือการเกิดมะเร็งชนิดใหม่

การป้องกันมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ระดับบุคคล แต่ต้องอาศัยการสร้างความตระหนักในสังคม ทั้งในประชาชนทั่วไป ผู้ป่วย และผู้รอดชีวิตจากมะเร็ง เพื่อให้เข้าใจความเสี่ยงอย่างถูกต้อง

“การลด ละ เลิกแอลกอฮอล์ ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพส่วนตัว แต่เป็นการลดภาระโรคของทั้งสังคม”

นักวิชาการ เตือนทุก 10 วินาที มีคนตายจากน้ำเมา 1 คน ชี้ “แอลกอฮอล์” ปัจจัยเร่งป่วยโรค NCDs เกินครึ่งป่วยไม่รู้ตัว
https://cas.or.th/content?id=1035

นักวิชาการ เตือนทุก 10 วินาที มีคนตายจากน้ำเมา 1 คน ชี้ “แอลกอฮอล์” ปัจจัยเร่งป่วยโรค NCDs เกินครึ่งป่วยไม่รู้ตัว สร้างความเสี่ยหายทางเศรษฐกิจ 1.65 แสนล้านบาท สสส.-ศวส. หนุนมาตรการป้องกันที่เหมาะสมกับบริบทพื้นที่-บูรณาการทุกภาคส่วน หวังลดผลกระทบจากน้ำเมา

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 11 ธ.ค. 2568 ที่โรงแรมเบสเวสเทิร์น กรุงเทพฯ ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) ร่วมกับ สมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อแห่งประเทศไทย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเวทีสาธารณะ “แอลกอฮอล์ : ตัวเร่งโรค NCDs และทางออกเพื่อปกป้องสุขภาพคนไทย”

โดย ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุน สสส. เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังก้าวสู่ “ภาวะวิกฤต NCDs” จากโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และพฤติกรรมเสี่ยง โดยเฉพาะการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งสร้างภาระทั้งด้านสุขภาพและเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง เฉพาะปี 2564 ไทยสูญเสียทางเศรษฐกิจกว่า 165,450 ล้านบาท และเกือบ 80% ของคนไทย เคยได้รับผลกระทบจากการดื่มของผู้อื่น ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และครอบครัว แอลกอฮอล์ได้ถูกจัดให้เป็นสารก่อมะเร็งกลุ่มที่ 1 เชื่อมโยงกับมะเร็งอย่างน้อย 8 ชนิด ได้แก่ มะเร็งช่องปาก กล่องเสียง คอหอย เต้านม (ในผู้หญิง) หลอดอาหาร ลำไส้ใหญ่/ทวารหนัก ตับ และตับอ่อน

“แต่ที่น่ากังวลจากงานวิจัยของศวส. สำรวจประชาชนไทย 3,924 คน จาก 12 จังหวัดทั่วประเทศ ในปี 2568 พบคนไทยกว่า 90% ไม่รู้ว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อมะเร็งได้ สะท้อนความจำเป็นของการสื่อสารความเสี่ยงที่ถูกต้องและทันต่อสถานการณ์ เพราะปัญหานี้ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นภารกิจร่วมของทั้งสังคม ทุกคนจึงควรช่วยกันสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ภาระโรคจะลดลง และคุณภาพชีวิตของคนไทยจะดีขึ้นอย่างยั่งยืน” ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าว

รศ.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช อาจารย์ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า จากการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย โดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 7 ปี2567-2568 พบว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา จำนวน 17.1 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ ดื่มอย่างหนัก 7.7 ล้านคน หรือ 45% ส่วนอัตราการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยในทุกกลุ่มอายุ แต่เป็นที่น่าสังเกตคือ แนวโน้มการดื่มในกลุ่มวัยรุ่นมีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันระหว่างวัยรุ่นชายและหญิง ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มวัยผู้ใหญ่หรือสูงอายุที่พบว่า เพศชายมักจะมีอัตราการดื่มสูงกว่าเพศหญิง ความแตกต่างของความชุกของการดื่มระหว่างชายและหญิงมีแนวโน้มแคบลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งใกล้เคียงกับสถานการณ์ในประเทศแถบยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งความเชื่อ หรือการมองว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสิ่งช่วยในการเข้าสังคม หรือความเท่าเทียม

“ในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ยังมีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสัดส่วนที่สูง และคนที่ยังดื่มส่วนมากไม่รู้ตัวว่าป่วยเป็นโรคเรื้อรังแล้ว เช่น ผู้ป่วยเบาหวานที่ยังดื่มแอลกอฮอล์1.4 ล้านคน ในจำนวนนี้ ยังไม่รู้ตัวเองว่าป่วยเป็นเบาหวาน 5.9 แสนคน และผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ยังดื่มแอลกอฮอล์ 4.8 ล้านคน ในจำนวนนี้ ยังไม่รู้ตัวเองว่าป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง 3.1 ล้านคน ซึ่งการดื่มแอลกอฮอล์จะส่งผลเสียต่อการควบคุมโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ยังพบว่าคนที่ดื่มแอลกอฮอล์มีระดับค่าเอนไซม์ตับที่ผิดปกติสูงกว่าคนที่ไม่ดื่มโดยเฉลี่ย 3-5 เท่า และมีระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ที่สูงขึ้นโดยเฉลี่ย 1-2 เท่า ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด” รศ.พญ.เริงฤดี กล่าว

ด้าน รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร ผู้อำนวยการ ศวส. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า คนไทยดื่มแอลกอฮอล์สูงเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน และเป็นอันดับ 1 ของประเทศรายได้ปานกลางระดับบน ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 ร่วมกับการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย โดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 7 ชี้ตรงกันว่า ปัญหาการดื่มแอลกอฮอล์ของคนไทยยังคงสูงมาก ปัจจุบันคนไทยเริ่มดื่มเร็วขึ้น มีอายุเฉลี่ยที่ดื่มครั้งแรกอยู่ที่ 19.9 ปี สะท้อนว่า “ผู้หญิงและเยาวชน” กลายเป็นกลุ่มเปราะบาง และเป้าหมายทางการตลาดของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นพื้นที่ที่มีอัตราการดื่มสูงที่สุดเมื่อเทียบกับภาคอื่น ความแตกต่างนี้ชี้ให้เห็นว่ามาตรการควบคุมต้องตอบโจทย์บริบทแต่ละพื้นที่ควบคู่ไปกับนโยบายระดับชาติ

“ทุก 10 วินาที มีคนตายจากแอลกอฮอล์ 1 คน หากยังปล่อยให้การดื่มเป็นเรื่องปกติ ความสูญเสียจะทวีขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ภาระโรคที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ในไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มากกว่า 1 ใน 10 ของการตาย หรือปีสุขภาวะที่สูญเสีย (DALYs) เกิดจากแอลกอฮอล์ ทั้งก่อให้เกิดการบาดเจ็บ และป่วยจากโรค NCDs เช่น โรคหัวใจ-หลอดเลือด โรคตับ และมะเร็งหลายชนิด โดยเฉพาะผู้ชายที่มีอัตราเสียชีวิตสูงกว่าผู้หญิงอย่างชัดเจน ดังนั้น ไทยจำเป็นต้องมีมาตรการควบคุมแอลกอฮอล์ที่เข้มแข็งขึ้น พร้อมบูรณาการการทำงานทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ นักวิชาการ แพทย์ ภาคประชาชน และชุมชน เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนในระยะยาว และลดภาระ NCDs ที่กำลังทวีความรุนแรง” ผู้อำนวยการ ศวส. กล่าว

------------------------------
เวทีสาธารณะ “แอลกอฮอล์: ตัวเร่งโรค NCDs และทางออกเพื่อปกป้องสุขภาพคนไทย”
เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 ณ โรงแรมเบสเวสเทิร์น จตุจักร กรุงเทพฯ

 

“ครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยตับแข็งมาจากแอลกอฮอล์” สัญญาณชัดว่าต้องลดการดื่ม ก่อนวิกฤตลุกลาม
https://cas.or.th/content?id=1036

“ครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยตับแข็งมาจากแอลกอฮอล์” สัญญาณชัดว่าต้องลดการดื่ม ก่อนวิกฤตลุกลาม
------------


รศ.นพ.ศิษฏ์ ศิรมลพิวัฒน์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติจุฬาภรณ์
และคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้แทนจากสมาคมโรคตับแห่งประเทศไทย ร่วมให้ข้อมูลในเวทีเสวนา “แอลกอฮอล์: ตัวเร่งโรค NCDs และทางออกเพื่อปกป้องสุขภาพคนไทย” เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 ณ โรงแรมเบสเวสเทิร์น จตุจักร กรุงเทพฯ

โดย รศ.นพ.ศิษฏ์ กล่าวว่า...
"ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาโรคตับจากแอลกอฮอล์ที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการดื่มแอลกอฮอล์สามารถทำให้เกิดภาวะไขมันสะสมในตับ ตับอักเสบ ตับแข็ง และมะเร็งตับ โดยเฉพาะในปัจจุบัน พบว่า ผู้ที่มีโรคอ้วน เบาหวาน หรือปัจจัยเสี่ยงอื่น เช่น ไวรัสตับอักเสบ เป็นตัวเร่งให้เกิดโรคตับจากแอลกอฮอล์เร็วขึ้น

ปัญหาหนึ่งที่พบได้บ่อย คือ คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่า ไม่มีอาการผิดปกติ หรือค่าเลือดปกติแปลว่าตับไม่เป็นโรค ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากมาพบแพทย์เมื่อเข้าสู่ระยะรุนแรงแล้ว ก่อให้เกิดภาระทางสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคมอย่างมหาศาล จากการศึกษาในประเทศไทย พบว่า ร้อยละ 30-50 ของผู้ป่วยโรคตับแข็งที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมีสาเหตุจากแอลกอฮอล์ และผู้ป่วยโรคตับอักเสบเฉียบพลันจากแอลกอฮอล์มีอัตราเสียชีวิตภายใน 1 เดือน สูงถึงร้อยละ 30-50 สะท้อนความจำเป็นเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันลดการบริโภคแอลกอฮอล์ และผลักดันมาตรการป้องกันเชิงระบบเพื่อปกป้องสุขภาพคนไทย"

 

เวทีสาธารณะ “แอลกอฮอล์: ตัวเร่งโรค NCDs และทางออกเพื่อปกป้องสุขภาพคนไทย”
https://cas.or.th/content?id=1033


เวทีสาธารณะ“แอลกอฮอล์: ตัวเร่งโรค NCDs และทางออกเพื่อปกป้องสุขภาพคนไทย”

ร่วมทำความเข้าใจความเสี่ยงจากแอลกอฮอล์ต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ผ่านข้อมูลวิชาการล่าสุด และแลกเปลี่ยนข้อเสนอเชิงนโยบายจากผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา

วันที่ 11 ธันวาคม 2568 เวลา 09.00–12.00 น.
ณ โรงแรมเบสเวสเทิร์น จตุจักร กรุงเทพมหานคร
ถ่ายทอดสดทางเพจเฟซบุ๊ก: Centre for Alcohol Studies : CAS

ภายในงานพบกับ

  • ปาฐกถาเปิดเวที โดย ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุน สสส.
  • นำเสนอข้อมูลสำคัญจากการสำรวจสุขภาพคนไทยและสถิติการดื่ม
  • เวทีเสวนาโดยแพทย์และนักวิชาการจากหลายสถาบัน

เพื่อร่วมกันมองหาทางออกในการลดผลกระทบจากแอลกอฮอล์และปกป้องสุขภาพคนไทย

อย่าพลาด! รับชมสดเพื่อร่วมเรียนรู้ ร่วมคิด และร่วมผลักดันการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายไปด้วยกัน


 

ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.)

Centre for Alcohol Studies (CAS)

สาขาวิชาเวชศาสตร์ครอบครัวและเวชศาสตร์ป้องกัน อาคารศรีเวชวัฒน์ ชั้น 11 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เลขที่ 15 ถนนกาญจนวนิช ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 90110

083-5775533

https://www.facebook.com/cas.org.th

เข้าชมแล้ว 0 ครั้ง
Copyright © 2025 CAS All rights reserved.