คำค้นหา : แอลกอฮอล์

คำนี้ค้นหามาแล้ว : 453 ครั้ง
“แอลกอฮอล์เป็นเพื่อนหรือศัตรูของหัวใจ?” ไขทุกข้อสงสัย แอลกอฮอล์กับสุขภาพหัวใจ จากใจหมอโรคหัวใจ
https://cas.or.th/content?id=994
Tags : -

 

“แอลกอฮอล์เป็นเพื่อนหรือศัตรูของหัวใจ?”
ไขทุกข้อสงสัย แอลกอฮอล์กับสุขภาพหัวใจ จากใจหมอโรคหัวใจ
#29กันยายนวันหัวใจโลก #WorldHeartDay

สวัสดีครับ ในฐานะแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจอยู่ทุกวัน ผมมักจะได้ยินคำถามที่น่าสนใจและพบบ่อยที่สุดคำถามหนึ่งคือ “คุณหมอครับ/คะ ดื่มไวน์วันละแก้ว บำรุงหัวใจได้จริงไหม?” หรือ “ดื่มเบียร์เย็นๆ ให้เลือดลมสูบฉีดดีใช่ไหม?”

ผมเข้าใจดีว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นส่วนหนึ่งของการสังสรรค์และการผ่อนคลายของใครหลายคน และมีความเชื่อบางอย่างที่ส่งต่อกันมาว่าการดื่มในปริมาณน้อย ๆ อาจมีประโยชน์ต่อหัวใจ วันนี้ ผมจึงอยากใช้โอกาสนี้พูดคุยกับทุกท่านอย่างตรงไปตรงมา เพื่อไขข้อข้องใจทั้งหมด และให้ข้อมูลที่ชัดเจนที่สุดว่าในความเป็นจริงแล้ว แอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเป็นเหล้า เบียร์ หรือไวน์ ส่งผลต่อหัวใจของเราอย่างไรกันแน่

 

ความเชื่อที่โด่งดัง "ดื่มพอดีมีประโยชน์" มาจากไหน?

ท่านอาจเคยได้ยินเรื่อง "ปรากฏการณ์ J-shaped curve" ซึ่งเป็นกราฟรูปตัว J ที่แสดงให้เห็นว่าคนที่ดื่มแอลกอฮอล์เล็กน้อย มีความเสี่ยงโรคหัวใจต่ำกว่าคนที่ไม่ดื่มเลย ทำให้เกิดความเชื่อว่าการดื่มแต่พอดี นั้นดีต่อสุขภาพ แต่ในวงการแพทย์ปัจจุบัน เราพบว่าข้อมูลนี้อาจมีข้อบกพร่องซ่อนอยู่ครับ (1,2) ลองนึกภาพตามนะครับ ในกลุ่ม "คนที่ไม่ดื่มเลย" นั้น มีหลายคนที่ "เคยดื่มหนัก" มาก่อนแล้วป่วยด้วยโรคต่าง ๆ จนต้องหยุดดื่ม เมื่อนำคนกลุ่มนี้มารวมกับคนที่ไม่เคยดื่มเลย จึงทำให้ค่าเฉลี่ยสุขภาพของกลุ่ม "ไม่ดื่ม" ดูแย่กว่าความเป็นจริง

สมาคมหัวใจและองค์กรสุขภาพระดับโลกจึงได้ข้อสรุปใหม่ที่ชัดเจนกว่าเดิมว่า ไม่มีระดับการดื่มแอลกอฮอล์ใดที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ 100% (3) ประโยชน์ที่อาจได้รับนั้นน้อยมากเมื่อเทียบกับความเสี่ยงมากมายที่ตามมาครับ

สรุปได้ว่า "การดื่มแอลกอฮอล์ไม่เป็นผลดีต่อหัวใจ ไม่ว่าจะดื่มมากหรือน้อย เพราะไม่มีคำว่าปริมาณที่ปลอดภัยจริง ๆ"

 

แอลกอฮอล์เดินทางไปทำร้ายหัวใจของเราได้อย่างไร?

เมื่อเราดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป มันไม่ได้อยู่แค่ในแก้ว แต่จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดและเดินทางไปทั่วร่างกาย รวมถึง "หัวใจ" ซึ่งเป็นอวัยวะที่ทำงานหนักที่สุด และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นครับ

1. ทำให้หัวใจ "เมา" จนเต้นผิดจังหวะ

ลองนึกภาพว่าหัวใจของเรามีระบบไฟฟ้าที่แม่นยำคอยควบคุมการเต้นให้เป็นจังหวะสม่ำเสมอ เหมือนวงออเคสตราที่มีวาทยกรคอยควบคุม แอลกอฮอล์ก็เหมือนคนดูที่เข้าไปป่วนในห้องซ้อม ทำให้ระบบไฟฟ้าของหัวใจรวน เกิดการลัดวงจรชั่วขณะ หัวใจจึงเริ่มเต้นสะเปะสะปะ ไม่เป็นจังหวะ หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia) (4) ที่พบบ่อยที่สุดคือ ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (Atrial Fibrillation) อาการคือจะรู้สึกใจสั่น ๆ หวิว ๆ เหนื่อยง่าย ซึ่งอันตรายกว่าที่คิด เพราะเมื่อหัวใจห้องบนสั่นแทนที่จะบีบตัวตามปกติ เลือดจะไหลวนจนเกิดเป็น "ลิ่มเลือด"ก้อนเล็กๆ ขึ้นมา และวันดีคืนดี ลิ่มเลือดก้อนนี้อาจหลุดลอยตามกระแสเลือดขึ้นไปอุดตันที่เส้นเลือดสมอง ทำให้เกิด โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ได้ในทันที (5)

2. เพิ่มแรงดันในหลอดเลือด เหมือนบีบสายยางที่เปิดน้ำ

หลอดเลือดของเราปกติจะมีความยืดหยุ่น แต่แอลกอฮอล์จะทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและตีบแคบลงชั่วคราว (6) ลองนึกถึงสายยางรดน้ำต้นไม้ครับ ถ้าเราบีบปลายสายยางไว้ แรงดันน้ำข้างในจะสูงขึ้นทันที แอลกอฮอล์ก็ทำแบบเดียวกันกับหลอดเลือดของเรา ทำให้หัวใจซึ่งเป็น "ปั๊มน้ำ" ต้องทำงานหนักขึ้นอีกหลายเท่าเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย นี่คือสาเหตุของ โรคความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็น "ฆาตกรเงียบ" ที่จะทำลายหลอดเลือดทั่วร่างกายในระยะยาว และเป็นประตูสู่โรคหัวใจและโรคไตวาย (7)

3. ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจ "ย้วย" และอ่อนแอ

หัวใจของเราคือกล้ามเนื้อที่มีความแข็งแรงและยืดหยุ่นสูงมาก แต่แอลกอฮอล์มีพิษโดยตรงต่อเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ (8 ) ลองเปรียบเทียบกล้ามเนื้อหัวใจเหมือนหนังสติ๊กเส้นใหม่ที่ยิงได้แรงและไกล การดื่มแอลกอฮอล์หนักๆ และต่อเนื่อง ก็เหมือนกับการเอาหนังสติ๊กเส้นนั้นไปแช่น้ำ แช่แดดทุกวัน ไม่นานหนังสติ๊กก็จะเปื่อย ย้วย และหมดสภาพ เช่นเดียวกันกับหัวใจที่โดนพิษแอลกอฮอล์สะสม กล้ามเนื้อจะเริ่มบางลงและอ่อนแอ ห้องหัวใจจะขยายใหญ่ขึ้นเหมือนลูกโป่งที่ใกล้แตก สภาพนี้เรียกว่า โรคกล้ามเนื้อหัวใจเสื่อมจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic Cardiomyopathy) ทำให้หัวใจบีบตัวได้ไม่ดี เกิด ภาวะหัวใจล้มเหลว ตามมา ผู้ป่วยจะมีอาการเหนื่อยง่ายมาก เดินไม่กี่ก้าวก็หอบ นอนราบไม่ได้เพราะหายใจไม่ออก และขาบวม (9)

4. เปลี่ยนแอลกอฮอล์ให้เป็น "ไขมัน" อุดตันเส้นเลือด

หลายคนอาจไม่ทราบว่าเบียร์ ไวน์ หรือเหล้า ให้พลังงานสูงมาก และเป็น "แคลอรี่ว่างเปล่า" ที่ไม่มีสารอาหารอื่นใด เมื่อร่างกายได้รับพลังงานส่วนเกินนี้เข้าไป ก็จะเปลี่ยนมันไปเป็นไขมันชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) ลองนึกภาพท่อประปาในบ้านครับ ไขมันไตรกลีเซอไรด์ก็เหมือนคราบไขมันที่เราเทลงไปในท่อทุกวันๆ มันจะค่อยๆ สะสมและจับตัวกันหนาขึ้น ทำให้ท่อตีบและอุดตันในที่สุด เช่นเดียวกันกับหลอดเลือดหัวใจ เมื่อมีไขมันไปเกาะมากๆ ก็จะทำให้หลอดเลือดตีบแคบ เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่พอ ทำให้เกิด โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก และอาจนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันได้ (10)

 

อันตรายคูณสอง! เมื่อดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับ "ยาโรคหัวใจ"

สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจที่ต้องรับประทานยาเป็นประจำ การดื่มแอลกอฮอล์ถือเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง เพราะแอลกอฮอล์จะเข้าไป "ตีกัน" กับยาที่ท่านกินอยู่ เช่น:

• ยาละลายลิ่มเลือด/ยาต้านเกล็ดเลือด: ทำให้ยาออกฤทธิ์มากเกินไปจนเสี่ยงต่อภาวะเลือดออกง่ายผิดปกติ หรือเลือดออกไม่หยุด

• ยาลดความดันโลหิต: อาจทำให้ความดันตกวูบจนหน้ามืด เป็นลม หรือในทางกลับกันก็ไปลดประสิทธิภาพของยา ทำให้ความดันคุมไม่อยู่

• ยาลดไขมันในเลือด: เพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงร้ายแรงต่อตับและกล้ามเนื้อ

 

แล้วเราควรทำอย่างไร? คำแนะนำจากใจหมอ

ข้อมูลทั้งหมดนี้ไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ท่านรู้สึกผิดหรือกลัว แต่เพื่อให้ท่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและใช้ในการตัดสินใจดูแลสุขภาพของตัวเองและคนที่รักได้ดีที่สุดครับ

  1. ถ้าท่านไม่เคยดื่ม: ยอดเยี่ยมมากครับ ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องเริ่มดื่มเพื่อหวังผลดีต่อสุขภาพหัวใจ
  2. ถ้าท่านดื่มเป็นครั้งคราว: ขอให้ตระหนักถึงความเสี่ยงเสมอ พยายามลดปริมาณและความถี่ลงให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ "ยิ่งดื่มน้อย ยิ่งปลอดภัย"
  3. ถ้าท่านเป็นโรคหัวใจ ความดัน หรือไขมันในเลือดสูง: คำแนะนำที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดสำหรับท่านคือ "การงดดื่มโดยเด็ดขาด" นี่คือหนึ่งในการรักษาที่ดีที่สุดที่ท่านสามารถมอบให้กับหัวใจของตัวเองได้
  4. มองหาทางเลือกอื่น: การสังสรรค์หรือการผ่อนคลายไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแอลกอฮอล์เสมอไป ลองเปลี่ยนเป็นเครื่องดื่มอื่นๆ ที่สดชื่น หรือหากิจกรรมอื่นทำ เช่น การออกกำลังกาย การพูดคุย หรือทำงานอดิเรกที่ชอบ

หัวใจของเรามีเพียงดวงเดียว และทำงานเพื่อเราตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่เคยหยุดพัก การดูแลหัวใจจึงเป็นหน้าที่สำคัญของทุกคน เนื่องในโอกาสวันหัวใจโลก 29 กันยายน 2568 ขอเชิญชวนทุกท่าน “ลด ละ เลิก แอลกอฮอล์” เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ เพื่อเป็นการลงทุนเพื่อชีวิตที่ยืนยาวและคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นในวันข้างหน้าครับ

 

ด้วยความห่วงใยและปรารถนาดี
นพ.เปรมอานันท์ มโนเรศ
อายุรแพทย์โรคหัวใจ รพ.สงขลานครินทร์

 

________________________________________

อ้างอิงข้อมูลจาก:

1. Ronksley PE, Brien SE, Turner BJ, Mukamal KJ, Ghali WA. Association of alcohol consumption with selected cardiovascular disease outcomes: a systematic review and meta-analysis. BMJ. 2011;342:d671. doi:10.1136/bmj.d671.

2. Piano MR. Alcohol's effects on the cardiovascular system. Alcohol Res. 2017;38(2):219-41.

3. World Health Organization. No level of alcohol consumption is safe for our health [Internet]. Geneva: WHO; 2023 Jan 4. Available from: https://www.who.int/.../04-01-2023-no-level-of-alcohol...

4. Larsson SC, Drca N, Wolk A. Alcohol consumption and risk of atrial fibrillation: a prospective study and dose-response meta-analysis. J Am Coll Cardiol. 2014;64(3):281-9. doi:10.1016/j.jacc.2014.03.048.

5. Marcus GM, Vittinghoff E, Whitman IR, Singer DE, Newman AB, Siscovick DS, et al. Acute consumption of alcohol and discrete atrial fibrillation events. Ann Intern Med. 2021;174(11):1503-9. doi:10.7326/M21-0222.

6. Taylor B, Irving HM, Baliunas D, Roerecke M, Patra J, Mohapatra S, et al. Alcohol and hypertension: gender differences in dose-response relationships determined through systematic review and meta-analysis. Addiction. 2009;104(12):1981-90. doi:10.1111/j.1360-0443.2009.02694.x.

7. Roerecke M, Kaczorowski J, Tobe SW, Gmel G, Hasan OSM, Rehm J. The effect of a reduction in alcohol consumption on blood pressure: a systematic review and meta-analysis. Lancet Public Health. 2017;2(2):e108-20. doi:10.1016/S2468-2667(17)30003-8.

8. Fernández-Solà J. The effects of ethanol on the heart: alcoholic cardiomyopathy. Nutrients. 2020;12(2):572. doi:10.3390/nu12020572.

9. Mirijello A, Tarli C, Vassallo GA, Sestito L, Antonelli M, Ferrulli A, et al. Alcoholic cardiomyopathy: what is known and what is not known. J Clin Med. 2019;8(10):1549. doi:10.3390/jcm8101549.

10. Mostofsky E, Chahal HS, Mukamal KJ, Rimm EB, Mittleman MA. Alcohol and immediate risk of cardiovascular events: a systematic review and dose-response meta-analysis. Circulation. 2016;133(10):979-87. doi:10.1161/CIRCULATIONAHA.115.019743.

28 กรกฎาคม – วันมะเร็งศีรษะและลำคอโลก
https://cas.or.th/content?id=981
Tags : -

28 กรกฎาคม – วันมะเร็งศีรษะและลำคอโลก

        รู้หรือไม่? แอลกอฮอล์ไม่ได้แค่ทำลายตับ แต่มันคือ “สารก่อมะเร็งระดับ 1” ที่เพิ่มความเสี่ยง มะเร็งศีรษะและลำคออย่างมีนัยสำคัญ

        รศ.นพ.ธนเดช และ รศ.พญ.อรุณี เดชาพันธุ์กุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งศีรษะและลำคอ และมะเร็งวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ระบุว่า 75% ของผู้ป่วยมะเร็งศีรษะและลำคอ เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่

        แต่… คนไทยกว่า 90% ยังไม่รู้เลยว่า “เหล้า” ก็เป็นสาเหตุของมะเร็งชนิดนี้! แอลกอฮอล์ (เอทานอล) เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนเป็น อะเซทัลดีไฮด์ (Acetaldehyde) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่ทำให้เกิดการทำลายดีเอ็นเอในเซลล์เยื่อบุช่องปาก กล่องเสียง และคอหอย

        นอกจากนี้แอลกอฮอล์ยัง ทำลายเยื่อบุผิวทางเดินอาหารส่วนต้น ทำให้เซลล์ซ่อมแซมตัวเองได้น้อยลง และเพิ่มการดูดซึมสารพิษจากบุหรี่หรือมลภาวะอื่นเข้าสู่ร่างกายมากขึ้น ดื่มบ่อย + สูบร่วมกัน = ความเสี่ยง “ทวีคูณ”

        ทางออกเชิงนโยบาย: ผู้เชี่ยวชาญเสนอว่า ประเทศไทยควรเร่งออก “คำเตือนสุขภาพบนฉลากแอลกอฮอล์” เพื่อเพิ่มการรับรู้ ลดความเสี่ยง ป้องกันมะเร็งตั้งแต่ต้นทาง

ข้อมูลจาก: การศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพในประเด็นเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และนโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประชาชนไทย : กรณีศึกษาประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไปใน 12 จังหวัดทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ

มาตรการควบคุมการบริโภคและปัญหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
https://cas.or.th/content?id=13

องค์การอนามัยโลกและวงการแพทย์และสาธารณสุขทั่วโลก จัดให้แอลกอฮอล์ เป็นสารเสพติดและเป็นสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างไม่มีข้อถกเถียง โดยสามารถ ส่งเสริมให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้กว่า 200 ชนิด ที่สำคัญ เช่น โรคมะเร็งหลอดอาหารจนถึง ลำ ไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม และมะเร็งตับ โรคของระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะโรค ตับและโรคตับอ่อน โรคติดเชื้อ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคสมองเสื่อม รวมถึง โรคเก๊าท์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุทำ ให้เกิดการบาดเจ็บทางถนนและเสียชีวิต อีกปีละหลายหมื่นคน ก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาทและความรุนแรง ดังที่ปรากฎเป็น ข่าวเกือบทุกวัน ประเทศต่าง ๆ จึงถือว่าแอลกอฮอล์ไม่ใช่สินค้าธรรมดา แต่เป็นสินค้า ที่ต้องมีการควบคุมไม่สามารถปล่อยให้ขายแบบเสรีไร้ข้อกำ หนดเหมือนเครื่องดื่ม ต่าง ๆ ได้ อย่างไรก็ดีกระแสประชาธิปไตยที่เติบโตขึ้นในสังคมและประเทศต่าง ๆ ทำ ให้ ผู้ประกอบการผลิต การขาย ได้เรียกร้องให้ลดการควบคุมหรือให้ปล่อยเสรีโดยให้ เหตุผลว่า เป็นความรับผิดชอบของคนดื่มต่างหากที่ต้องดื่มอย่างมีสติและรับผิดชอบ แม้ว่าจะฟังดูดี แต่เนื่องจากผลของแอลกอฮอล์นั้นก่อให้เกิดการเสพติดและไปลด การมีสติสัมปชัญญะโดยตรง ดังนั้นการจะปล่อยให้เป็นความรับผิดชอบของผู้ดื่มฝ่าย เดียวจึงไม่ถูกต้อง และยังเป็นการทำ ให้ผู้ไม่ดื่มต้องพลอยรับผลร้ายไปด้วย เช่น เรื่อง การดื่มแล้วขับจนเกิดเหตุ การเกิดความรุนแรงในสังคมและครอบครัว ซึ่งรัฐมีความ ชอบธรรมในการเข้าไปควบคุม ประเทศไทยเองก็อยู่ในกระแสประชาธิปไตยและกระแส ตลาดเสรี จึงเกิดความขัดแย้งจากมุมของผู้ผลิตที่รู้สึกว่ารัฐควบคุมมากไป ในขณะ เดียวกันนักวิชาการและประชาชนจำ นวนมากก็รู้สึกว่ารัฐยังสามารถทำอะไรได้มากกว่า นี้เพื่อปกป้องประชาชน ดังบทสุดท้ายซึ่งเป็นเจตนารมย์ที่แสดงออกในการประชุม วิชาการสุราแห่งชาติเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา คณะทำ งานด้านวิชาการฯ จึงได้ระดมอาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่เป็นนักวิจัยด้านแอลกอฮอล์ หารือกัน หลายครั้งและตกลงว่าจะรวบรวมแนวคิดและมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่ควรดำ เนินการและได้รวบรวมเพิ่มเติมเป็นเอกสารนี้

 10 กรกฎาคม 2568 วันอาสาฬหบูชา
https://cas.or.th/content?id=979
Tags : -

 10 กรกฎาคม 2568 | วันอาสาฬหบูชา
"งดสุราในวันอาสาฬหบูชา: ทางเลือกเพื่อชีวิตที่ดีกว่า"


        วันอาสาฬหบูชา เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือนแปด เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ปฐมเทศนา แก่ปัญจวัคคีย์ เรื่อง “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” ซึ่งอธิบายหลักธรรมสำคัญ ได้แก่ ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ และทางนำไปสู่ความดับทุกข์ อันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา วันอาสาฬหบูชาจึงเป็นช่วงเวลาที่ชาวพุทธมักใช้ในการปฏิบัติธรรม เพื่อชำระจิตใจให้บริสุทธิ์และหันกลับมาใคร่ครวญชีวิตอย่างมีสติ (พระไพศาล วิสาโล, 2560)

        ในโอกาสนี้ ประเทศไทยได้กำหนดให้วันอาสาฬหบูชาเป็นหนึ่งในวันห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามกฎหมาย ร่วมกับวันพระใหญ่อื่น ๆ เช่น วันมาฆบูชา วิสาขบูชา เข้าพรรษา และออกพรรษา (ราชกิจจานุเบกษา, 2551) เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนงดเว้นจากการบริโภคสุรา และใช้เวลานี้ในการละกิเลส ฝึกจิต และเสริมสร้างสุขภาวะ

        แอลกอฮอล์หรือสุรา แม้จะเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวันของใครหลายคน แต่แท้จริงแล้วเป็นหนึ่งในต้นเหตุสำคัญของทุกข์ทั้งทางกายและทางใจ ไม่เพียงก่อให้เกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคตับ โรคหัวใจ หรือปัญหาระบบประสาท (Rehm et al., 2009) แต่ยังส่งผลกระทบต่อสังคม เช่น อุบัติเหตุบนท้องถนน ความรุนแรงในครอบครัว และการละเมิดสิทธิผู้อื่น พระพุทธศาสนาถือว่าสุราเป็นหนึ่งในอบายมุข และการงดเว้นจากการดื่มสุราก็เป็นหนึ่งในศีล 5 ซึ่งพุทธศาสนิกชนควรยึดถือ

        จากข้อมูลของศูนย์วิจัยปัญหาสุรา พบว่า การดื่มสุรามีความเชื่อมโยงกับปัญหาอุบัติเหตุ การใช้ความรุนแรง และการเจ็บป่วยจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อย่างชัดเจน (ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา, 2565) นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังระบุว่า แอลกอฮอล์เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงอันดับต้น ๆ ของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและวัยแรงงาน ซึ่งเป็นกำลังสำคัญของประเทศ (WHO, 2018)

        วันอาสาฬหบูชาจึงอาจเป็นโอกาสสำคัญในการเริ่มต้น “ละเลิกเหล้า” และทบทวนเส้นทางชีวิตของตนเอง เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นทั้งต่อร่างกาย จิตใจ และความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง และหากผู้คนสามารถรักษาพฤติกรรมนี้ไว้ตลอดช่วงเข้าพรรษา ก็อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่จะทำให้ “การงดเหล้า” กลายเป็นวิถีชีวิตระยะยาว

เอกสารอ้างอิง:
1) พระไพศาล วิสาโล. (2560). พุทธธรรมในชีวิตประจำวัน. กรุงเทพฯ: สวนเงินมีมา.
2) ราชกิจจานุเบกษา. (2551). พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551.
3) Rehm J, Mathers C, Popova S, et al. (2009). Global burden of disease and injury and economic cost attributable to alcohol use and alcohol-use disorders. Lancet, 373(9682), 2223–2233.
4) ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา. (2565). รายงานสถานการณ์แอลกอฮอล์ประเทศไทย.
5) World Health Organization (WHO). (2018). Global Status Report on Alcohol and Health 2018. Geneva: WHO."

วิจัยใหม่ชี้! “แอลกอฮอล์” เชื่อมโยงกับมะเร็งตับอ่อน – เพิ่มอีกหนึ่งในกลุ่มมะเร็งที่แอลกอฮอล์มีส่วนเกี่ยวข้อง
https://cas.or.th/content?id=933

 

วิจัยใหม่ชี้! “แอลกอฮอล์” เชื่อมโยงกับมะเร็งตับอ่อน – เพิ่มอีกหนึ่งในกลุ่มมะเร็งที่แอลกอฮอล์มีส่วนเกี่ยวข้อง

ที่ผ่านมา แอลกอฮอล์ถูกจัดเป็นสารก่อมะเร็งกลุ่มที่ 1 โดยองค์การอนามัยโลก (IARC) ซึ่งหมายถึง มีหลักฐานชัดเจนในมนุษย์ว่าก่อมะเร็งได้ ปัจจุบันเราทราบดีว่า แอลกอฮอล์มีความเชื่อมโยงกับมะเร็งอย่างน้อย 7 ชนิด ได้แก่:

  • มะเร็งช่องปาก
  • มะเร็งคอหอย
  • มะเร็งกล่องเสียง
  • มะเร็งหลอดอาหาร
  • มะเร็งตับ
  • มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก
  • มะเร็งเต้านมในผู้หญิง

ล่าสุด! งานวิจัยขนาดใหญ่ระดับโลกที่ตีพิมพ์เมื่อพฤษภาคม 2025 วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้คนกว่า 2.4 ล้านคน ใน 30 ประเทศทั่วโลก พบว่า แอลกอฮอล์เชื่อมโยงกับ “มะเร็งตับอ่อน” อย่างมีนัยสำคัญ

ประเด็นสำคัญที่ค้นพบ:

  • ทุกๆ การเพิ่มแอลกอฮอล์ 10 กรัม/วัน (≈ 1 แก้วเครื่องดื่มมาตรฐาน) เสี่ยงมะเร็งตับอ่อนเพิ่มขึ้น 3%
  • ผู้หญิงที่ดื่ม 15–30 กรัม/วัน เสี่ยงเพิ่มขึ้น 12%
  • ผู้ชายที่ดื่ม 30–60 กรัม/วัน และ >60 กรัม/วัน เสี่ยงเพิ่มขึ้น 15% และ 36% ตามลำดับ
  • เบียร์และสุรา มีความสัมพันธ์กับมะเร็งตับอ่อนชัดเจน — แต่ ไวน์ ไม่พบความสัมพันธ์
  • ผลวิจัยสอดคล้องในกลุ่มประชากรยุโรป ออสเตรเลีย และอเมริกา — แต่ยังไม่ชัดเจนในเอเชีย

แล้วเราควรทำอย่างไร?

แม้มะเร็งตับอ่อนจะพบไม่บ่อยเท่ามะเร็งชนิดอื่น แต่กลับ อันตรายที่สุดชนิดหนึ่ง เพราะมักตรวจพบช้าและมีอัตราการเสียชีวิตสูง การลดหรืองดแอลกอฮอล์ คือวิธีป้องกันที่ “ไม่ซับซ้อนแต่ได้ผลจริง”

วันนี้เรารู้แล้วว่า — แอลกอฮอล์ไม่ใช่แค่เรื่องของตับหรืออุบัติเหตุ แต่คือ “ภัยเงียบที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งมากขึ้นเรื่อยๆ”

14 กุมภาพันธ์ วันวาเลนไทน์
https://cas.or.th/content?id=516

14 กุมภาพันธ์ วันวาเลนไทน์

ให้ความรักเป็นตัวนำ ไม่ใช่แอลกอฮอล์ งดและลดการดื่มเพื่ออยู่กับคนรักอย่างเต็มที่ สร้างความทรงจำที่ชัดเจนและอบอุ่น หลีกเลี่ยงความเสี่ยงและการตัดสินใจที่อาจผิดพลาด

 

 

 

เพราะการดื่มแอลกอฮอล์ในวันวาเลนไทน์อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์และสุขภาพของคุณ ดังนี้:

1. การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ตั้งใจ: การดื่มแอลกอฮอล์อาจลดความสามารถในการควบคุมตนเองและการตัดสินใจ ทำให้เกิดการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ตั้งใจหรือไม่ปลอดภัย ซึ่งอาจนำไปสู่การตั้งครรภ์ไม่พร้อมหรือการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์

2. ความรุนแรงในความสัมพันธ์: แอลกอฮอล์เป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดความรุนแรงในครอบครัวและความสัมพันธ์ จากข้อมูลพบว่าในปี 2565 มีเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ถึง 30.7%

3. การนอกใจและความไม่ซื่อสัตย์: การดื่มแอลกอฮอล์อาจนำไปสู่พฤติกรรมการนอกใจ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์เป็นพิษ

เพื่อป้องกันปัญหาเหล่านี้ ควรลดหรือหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ในวันวาเลนไทน์ และให้ความสำคัญกับการสื่อสารที่ชัดเจนและการเคารพซึ่งกันและกันในความสัมพันธ์

ที่มา:

1) สำนักสื่อสารและประชาสัมพันธ์ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ

2) https://www.thaipost.net/public-relations-news/535067

3) https://www.thaipost.net/education-news/84893/

 

 

 

แอลกอฮอล์เสี่ยงมะเร็ง: หมอสหรัฐเผยข้อมูลประชาชนและหนุนฉลากคำเตือน หมอไทยชี้ต้องปรับด่วน
https://cas.or.th/content?id=22

แอลกอฮอล์เสี่ยงมะเร็ง: หมอสหรัฐเผยข้อมูลประชาชนและหนุนฉลากคำเตือน หมอไทยชี้ต้องปรับด่วน

ข่าวใหญ่ในวงการแพทย์สหรัฐล่าสุดเลย คือการออกมาเรียกร้องของ Dr. Vivek Murthy ประธานองค์กรสาธารณสุขระดับสูงสุดของอเมริกา (US Surgeon General) ให้มีการติดฉลากคำเตือนบนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ Dr.Vivek กล่าวถึงความสำคัญของปัญหานี้ว่า “แอลกอฮอล์คือปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อมะเร็ง แต่สังคมไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้สักเท่าไหร่ บางทีเราต้องปรับปรุงฉลากบนผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น” ซึ่งคำสัมภาษณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับข้อมูลวิจัยปัจจุบัน ที่พบว่า แอลกอฮอล์เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็ง 7 ชนิด ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งช่องปาก มะเร็งคอหอย และมะเร็งกล่องเสียง

ที่คิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ในประเทศสหรัฐอเมริกา อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใหญ่มาก market cap ของตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีมูลค่าประมาณปีละ 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 10 ล้านล้านบาท (มากกว่างบแผ่นดินของไทย 2.5 เท่า) เป็นรองแค่ตลาดในประเทศจีนที่มีมูลค่าประมาณ 320,000 ล้านเหรียญเท่านั้น แต่อย่าลืมว่า ประชากรของสหรัฐน้อยกว่าจีนหลายเท่า (340 ล้านคน vs 1,400 ล้านคน) การที่ผู้บริหารสูงสุดขององค์กรสาธารณสุขที่มีอิทธิพลมากที่สุดองค์กรหนึ่ง พูดถึงเรื่องคำแนะนำที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการกำหนดกฎหมายใหม่ในเรื่องฉลากบนเครื่องดื่ม และจะส่งผลต่อยอดขายของอุตสาหกรรมที่ใหญ่มากอย่างแอลกอฮอล์ หากไม่ยืนอยู่บนหลักฐานที่แม่นยำ มีน้ำหนัก และยืนอยู่บนหลักประโยชน์ทางสุขภาพต่อประชาชนและประโยชน์ต่อระบบสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกา รับรองว่า คำแนะนำที่เป็น hard line suggestion เช่นนี้จะถูกอัดกลับมาอย่างหนักแน่นอน หากความเห็นนี้สามารถแปลงไปเป็นกฎหมายระดับประเทศได้ (ซึ่งมีโอกาสสูง) จะทำให้ประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกมีบรรทัดฐานในการออกแบบกฎหมายเพื่อดูแลสวัสดิภาพและความปลอดภัยของประชาชนจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

▶️ ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำในประเทศไทย
รศ.นพ.รังสรรค์ ภูรยานนทชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการดูแลประชากรใน 14 จังหวัดภาคใต้ กล่าวว่า “โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ มีภารกิจสำคัญทั้งในด้านการรักษาและป้องกันโรคในประชากรภาคใต้ การที่แอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อมะเร็ง ไม่เพียงเพิ่มภาระให้กับระบบสาธารณสุข แต่ยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวมอีกด้วย ดังนั้น ในฐานะผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ผมขอสนับสนุนข้อเสนอของ Dr. Vivek Murthy ประธานองค์กรสาธารณสุขระดับสูงสุดของสหรัฐอเมริกา (US Surgeon General) ในการให้มีการติดฉลากคำเตือนบนผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์อย่างชัดเจนและทันสมัยมากขึ้น เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพจากการบริโภคแอลกอฮอล์อย่างแท้จริง มาตรการนี้จะช่วยส่งเสริมสุขภาพประชาชน ลดอัตราการเกิดโรคมะเร็ง และส่งเสริมความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโทษของแอลกอฮอล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์มีความมุ่งมั่นที่จะเผยแพร่ความรู้ทางการแพทย์และส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพที่ดีในสังคม เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายแรงและสร้างชุมชนสุขภาพดีอย่างยั่งยืน”

นอกจากนั้นแล้ว ในฐานะอายุรแพทย์เวชบำบัดวิกฤต ที่ทำงานกับผู้ป่วยในสภาวะวิกฤตในห้อง ICU นพ.รังสรรค์ ยังให้ข้อคิดเห็นว่า “ผลกระทบของการดื่มสุราไม่เพียงแต่ทำให้เมา ขาดสติ ก่อการทะเลาะวิวาท หรืออุบัติเหตุในระยะสั้น แต่ยังส่งผลต่อระบบอวัยวะสำคัญ เช่น ตับและหัวใจในระยะยาว ซึ่งเป็นปัจจัยที่อาจทำให้ผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะวิกฤตได้ง่ายขึ้น”

ศ.นพ.วรวิทย์ จิตติถาวร หัวหน้าสาขาวิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้แสดงความคิดเห็นว่า “ในฐานะศัลยแพทย์ เราพบผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากการดื่มสุราในหลายมิติ โดยเฉพาะมะเร็งที่เกี่ยวข้อง เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ ซึ่งมักมาพบแพทย์ในระยะลุกลามจนยากต่อการรักษา ประชากรในภาคใต้รวมทั้งในภาคอื่นๆ ของประเทศไทยยังขาดความเข้าใจในความเสี่ยงนี้ “

รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้เน้นย้ำถึงบทบาทของการวิจัยและการปรับปรุงนโยบาย “ปัจจุบันฉลากคำเตือนบนผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ในประเทศไทยมีข้อจำกัดในด้านความชัดเจน ข้อความเตือนส่วนใหญ่ยังเน้นที่ผลกระทบต่อการขับขี่หรือการตั้งครรภ์ แต่ไม่ได้ให้ข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านมะเร็ง การปรับปรุงฉลากให้ระบุข้อมูลเชิงลึก เช่น ‘การบริโภคแอลกอฮอล์เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมและลำคอ’ รวมถึงการใช้กราฟิกที่ชัดเจน จะช่วยเพิ่มการรับรู้ในหมู่ประชาชนได้อย่างมาก”

นพ.พลเทพ ยังให้ข้อแนะนำเพิ่มเติมว่า “การกำหนดให้ฉลากมีขนาดใหญ่ขึ้น และวางในตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจนบนบรรจุภัณฑ์ เช่นเดียวกับที่ประเทศไอร์แลนด์เริ่มดำเนินการ จะเป็นแนวทางที่ประเทศไทยควรพิจารณาเพื่อลดผลกระทบของแอลกอฮอล์ต่อสุขภาพ”

▶️ ไอร์แลนด์: ก้าวนำด้านฉลากคำเตือนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ไอร์แลนด์ถือเป็นประเทศแรกในยุโรปที่บังคับใช้ฉลากคำเตือนสุขภาพเกี่ยวกับมะเร็งบนผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ ซึ่งระบุข้อความเตือนอย่างเด่นชัดว่า การดื่มแอลกอฮอล์เสี่ยงต่อโรคมะเร็ง กฎหมายดังกล่าวยังรวมถึงข้อกำหนดเพิ่มเติม เช่น การระบุปริมาณแอลกอฮอล์เป็นหน่วยมาตรฐาน เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถประเมินความเสี่ยงจากการบริโภคได้ง่ายขึ้น การบังคับให้ฉลากมีตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจน เช่น ขนาดข้อความใหญ่ขึ้นและมีการใช้ภาพประกอบ และการแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด

▶️ แนวทางที่ประเทศไทยสามารถนำไปปรับใช้
การออกมาเตือนจากประธานองค์กรสาธารณสุขระดับสูงของสหรัฐอเมริกา (US Surgeon General) และมาตรการที่ไอร์แลนด์ได้ดำเนินการ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การปรับปรุงฉลากคำเตือนบนผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์สามารถสร้างความตระหนักรู้และลดผลกระทบด้านสุขภาพได้อย่างมีนัยสำคัญ ประเทศไทยควรนำบทเรียนเหล่านี้มาปรับใช้ โดยการปรับปรุงฉลากคำเตือนให้ครอบคลุมความเสี่ยงด้านมะเร็งและผลกระทบต่อสุขภาพอื่น ๆ พร้อมใช้ข้อความและกราฟิกที่ชัดเจนในตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจนบนบรรจุภัณฑ์

ในขณะเดียวกัน ควรสนับสนุนการวิจัยเชิงนโยบายเกี่ยวกับผลกระทบของแอลกอฮอล์ เพื่อให้ข้อมูลที่ชัดเจนในการสนับสนุนการออกกฎหมายใหม่ และจัดกิจกรรมให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับความเสี่ยงที่แท้จริงของการบริโภคแอลกอฮอล์

นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่ทุกภาคส่วนในสังคมจะต้องร่วมมือกัน ไม่ว่าจะเป็นภาควิชาการ ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อขับเคลื่อนนโยบายที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างสังคมที่มีสุขภาพดีขึ้น และลดผลกระทบในระยะยาวจากแอลกอฮอล์อย่างยั่งยืน

เอกสารอ้างอิง:
1) U.S. Department of Health and Human Services. Alcohol and cancer risk [Internet]. Washington, D.C.; [cited 2025 Jan 8]. Available from: https://www.hhs.gov/surgeongeneral/priorities/alcohol-cancer/index.html
2) CNN. Vivek Murthy discusses alcohol consumption and cancer risk [Internet]. Atlanta: CNN; 2025 Jan 3 [cited 2025 Jan 8]. Available from: https://edition.cnn.com/2025/01/03/health/video/vivek-murthy-alcohol-consumption-cancer-sitroom-digvid

แอลกอฮอล์เสี่ยงมะเร็ง: หมอสหรัฐเผยข้อมูลประชาชนและหนุนฉลากคำเตือน หมอไทยชี้ต้องปรับด่วน
https://cas.or.th/content?id=509

แอลกอฮอล์เสี่ยงมะเร็ง: หมอสหรัฐเผยข้อมูลประชาชนและหนุนฉลากคำเตือน หมอไทยชี้ต้องปรับด่วน

ข่าวใหญ่ในวงการแพทย์สหรัฐล่าสุดเลย คือการออกมาเรียกร้องของ Dr. Vivek Murthy ประธานองค์กรสาธารณสุขระดับสูงสุดของอเมริกา (US Surgeon General) ให้มีการติดฉลากคำเตือนบนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ Dr.Vivek กล่าวถึงความสำคัญของปัญหานี้ว่า “แอลกอฮอล์คือปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อมะเร็ง แต่สังคมไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้สักเท่าไหร่ บางทีเราต้องปรับปรุงฉลากบนผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น” ซึ่งคำสัมภาษณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับข้อมูลวิจัยปัจจุบัน ที่พบว่า แอลกอฮอล์เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็ง 7 ชนิด ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งช่องปาก มะเร็งคอหอย และมะเร็งกล่องเสียง

ที่คิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ในประเทศสหรัฐอเมริกา อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใหญ่มาก market cap ของตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีมูลค่าประมาณปีละ 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 10 ล้านล้านบาท (มากกว่างบแผ่นดินของไทย 2.5 เท่า) เป็นรองแค่ตลาดในประเทศจีนที่มีมูลค่าประมาณ 320,000 ล้านเหรียญเท่านั้น แต่อย่าลืมว่า ประชากรของสหรัฐน้อยกว่าจีนหลายเท่า (340 ล้านคน vs 1,400 ล้านคน) การที่ผู้บริหารสูงสุดขององค์กรสาธารณสุขที่มีอิทธิพลมากที่สุดองค์กรหนึ่ง พูดถึงเรื่องคำแนะนำที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการกำหนดกฎหมายใหม่ในเรื่องฉลากบนเครื่องดื่ม และจะส่งผลต่อยอดขายของอุตสาหกรรมที่ใหญ่มากอย่างแอลกอฮอล์ หากไม่ยืนอยู่บนหลักฐานที่แม่นยำ มีน้ำหนัก และยืนอยู่บนหลักประโยชน์ทางสุขภาพต่อประชาชนและประโยชน์ต่อระบบสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกา รับรองว่า คำแนะนำที่เป็น hard line suggestion เช่นนี้จะถูกอัดกลับมาอย่างหนักแน่นอน หากความเห็นนี้สามารถแปลงไปเป็นกฎหมายระดับประเทศได้ (ซึ่งมีโอกาสสูง) จะทำให้ประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกมีบรรทัดฐานในการออกแบบกฎหมายเพื่อดูแลสวัสดิภาพและความปลอดภัยของประชาชนจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

▶️ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำในประเทศไทย
รศ.นพ.รังสรรค์ ภูรยานนทชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการดูแลประชากรใน 14 จังหวัดภาคใต้ กล่าวว่า “โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ มีภารกิจสำคัญทั้งในด้านการรักษาและป้องกันโรคในประชากรภาคใต้ การที่แอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อมะเร็ง ไม่เพียงเพิ่มภาระให้กับระบบสาธารณสุข แต่ยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวมอีกด้วย ดังนั้น ในฐานะผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ผมขอสนับสนุนข้อเสนอของ Dr. Vivek Murthy ประธานองค์กรสาธารณสุขระดับสูงสุดของสหรัฐอเมริกา (US Surgeon General) ในการให้มีการติดฉลากคำเตือนบนผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์อย่างชัดเจนและทันสมัยมากขึ้น เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพจากการบริโภคแอลกอฮอล์อย่างแท้จริง มาตรการนี้จะช่วยส่งเสริมสุขภาพประชาชน ลดอัตราการเกิดโรคมะเร็ง และส่งเสริมความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโทษของแอลกอฮอล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์มีความมุ่งมั่นที่จะเผยแพร่ความรู้ทางการแพทย์และส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพที่ดีในสังคม เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายแรงและสร้างชุมชนสุขภาพดีอย่างยั่งยืน”

นอกจากนั้นแล้ว ในฐานะอายุรแพทย์เวชบำบัดวิกฤต ที่ทำงานกับผู้ป่วยในสภาวะวิกฤตในห้อง ICU นพ.รังสรรค์ ยังให้ข้อคิดเห็นว่า “ผลกระทบของการดื่มสุราไม่เพียงแต่ทำให้เมา ขาดสติ ก่อการทะเลาะวิวาท หรืออุบัติเหตุในระยะสั้น แต่ยังส่งผลต่อระบบอวัยวะสำคัญ เช่น ตับและหัวใจในระยะยาว ซึ่งเป็นปัจจัยที่อาจทำให้ผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะวิกฤตได้ง่ายขึ้น”

ศ.นพ.วรวิทย์ จิตติถาวร หัวหน้าสาขาวิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้แสดงความคิดเห็นว่า “ในฐานะศัลยแพทย์ เราพบผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากการดื่มสุราในหลายมิติ โดยเฉพาะมะเร็งที่เกี่ยวข้อง เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ ซึ่งมักมาพบแพทย์ในระยะลุกลามจนยากต่อการรักษา ประชากรในภาคใต้รวมทั้งในภาคอื่นๆ ของประเทศไทยยังขาดความเข้าใจในความเสี่ยงนี้ “

รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้เน้นย้ำถึงบทบาทของการวิจัยและการปรับปรุงนโยบาย “ปัจจุบันฉลากคำเตือนบนผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ในประเทศไทยมีข้อจำกัดในด้านความชัดเจน ข้อความเตือนส่วนใหญ่ยังเน้นที่ผลกระทบต่อการขับขี่หรือการตั้งครรภ์ แต่ไม่ได้ให้ข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านมะเร็ง การปรับปรุงฉลากให้ระบุข้อมูลเชิงลึก เช่น ‘การบริโภคแอลกอฮอล์เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมและลำคอ’ รวมถึงการใช้กราฟิกที่ชัดเจน จะช่วยเพิ่มการรับรู้ในหมู่ประชาชนได้อย่างมาก”

นพ.พลเทพ ยังให้ข้อแนะนำเพิ่มเติมว่า “การกำหนดให้ฉลากมีขนาดใหญ่ขึ้น และวางในตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจนบนบรรจุภัณฑ์ เช่นเดียวกับที่ประเทศไอร์แลนด์เริ่มดำเนินการ จะเป็นแนวทางที่ประเทศไทยควรพิจารณาเพื่อลดผลกระทบของแอลกอฮอล์ต่อสุขภาพ”

▶️ไอร์แลนด์: ก้าวนำด้านฉลากคำเตือนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ไอร์แลนด์ถือเป็นประเทศแรกในยุโรปที่บังคับใช้ฉลากคำเตือนสุขภาพเกี่ยวกับมะเร็งบนผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ ซึ่งระบุข้อความเตือนอย่างเด่นชัดว่า การดื่มแอลกอฮอล์เสี่ยงต่อโรคมะเร็ง กฎหมายดังกล่าวยังรวมถึงข้อกำหนดเพิ่มเติม เช่น การระบุปริมาณแอลกอฮอล์เป็นหน่วยมาตรฐาน เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถประเมินความเสี่ยงจากการบริโภคได้ง่ายขึ้น การบังคับให้ฉลากมีตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจน เช่น ขนาดข้อความใหญ่ขึ้นและมีการใช้ภาพประกอบ และการแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด

▶️แนวทางที่ประเทศไทยสามารถนำไปปรับใช้
การออกมาเตือนจากประธานองค์กรสาธารณสุขระดับสูงของสหรัฐอเมริกา (US Surgeon General) และมาตรการที่ไอร์แลนด์ได้ดำเนินการ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การปรับปรุงฉลากคำเตือนบนผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์สามารถสร้างความตระหนักรู้และลดผลกระทบด้านสุขภาพได้อย่างมีนัยสำคัญ ประเทศไทยควรนำบทเรียนเหล่านี้มาปรับใช้ โดยการปรับปรุงฉลากคำเตือนให้ครอบคลุมความเสี่ยงด้านมะเร็งและผลกระทบต่อสุขภาพอื่น ๆ พร้อมใช้ข้อความและกราฟิกที่ชัดเจนในตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจนบนบรรจุภัณฑ์

ในขณะเดียวกัน ควรสนับสนุนการวิจัยเชิงนโยบายเกี่ยวกับผลกระทบของแอลกอฮอล์ เพื่อให้ข้อมูลที่ชัดเจนในการสนับสนุนการออกกฎหมายใหม่ และจัดกิจกรรมให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับความเสี่ยงที่แท้จริงของการบริโภคแอลกอฮอล์

นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่ทุกภาคส่วนในสังคมจะต้องร่วมมือกัน ไม่ว่าจะเป็นภาควิชาการ ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อขับเคลื่อนนโยบายที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างสังคมที่มีสุขภาพดีขึ้น และลดผลกระทบในระยะยาวจากแอลกอฮอล์อย่างยั่งยืน

เอกสารอ้างอิง:
1) U.S. Department of Health and Human Services. Alcohol and cancer risk [Internet]. Washington, D.C.; [cited 2025 Jan 8]. Available from: https://www.hhs.gov/surgeongeneral/priorities/alcohol-cancer/index.html
2) CNN. Vivek Murthy discusses alcohol consumption and cancer risk [Internet]. Atlanta: CNN; 2025 Jan 3 [cited 2025 Jan 8]. Available from: https://edition.cnn.com/2025/01/03/health/video/vivek-murthy-alcohol-consumption-cancer-sitroom-digvid

งานวิจัยชี้! ร้านขายเหล้าเยอะ วัยรุ่นดื่มมากขึ้น เด็กหญิงไทยเสี่ยงดื่มหนักเพิ่ม 23%
https://cas.or.th/content?id=28

งานวิจัยล่าสุดจากศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานวิจัยระบบสุขภาพ (สวรส.) ภายใต้การนำของหัวหน้าโครงการวิจัย รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เผยข้อมูลชัดเจนว่า ความหนาแน่นของร้านขายสุราส่งผลให้พฤติกรรมการดื่มของวัยรุ่นไทยพุ่งสูงขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นหญิงที่มีแนวโน้มดื่มหนักเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 23

งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567 โดยใช้ข้อมูลจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติและข้อมูลใบอนุญาตจากกรมสรรพสามิตระหว่างปี พ.ศ. 2550 ถึง 2566 ครอบคลุมกลุ่มวัยรุ่นไทยอายุ 15 ถึง 19 ปี จำนวนกว่า 10,000 คน

 

 

รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร หัวหน้าทีมวิจัยให้ความคิดเห็นว่า “ความหนาแน่นของร้านขายเหล้าใกล้บ้านเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้วัยรุ่นเข้าถึงแอลกอฮอล์ได้ง่าย ผลลัพธ์ คือ พฤติกรรมการดื่มฯ เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเด็กผู้หญิงที่มีการดื่มหนัก (binge drinking) เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 23 ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจ สำหรับวัยรุ่นชายก็เพิ่มโอกาสในการดื่มฯ สุราในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาเช่นกัน ประมาณร้อยละ 9”

การเข้าถึงแอลกอฮอล์ตั้งแต่วัยเยาว์อาจนำไปสู่ผลกระทบทางสุขภาพในระยะยาว ดังนั้น “ถึงเวลาแล้วที่ภาครัฐต้องพิจารณาควบคุมจำนวนร้านขายสุราอย่างเข้มงวด เพื่อลดการเข้าถึงแอลกอฮอล์ในกลุ่มเยาวชนและปกป้องอนาคตของพวกเขา” รศ.ดร.นพ.พลเทพ กล่าวเสริม

จากการศึกษาพบว่า จำนวนใบอนุญาตขายสุราต่อประชากร 1,000 คน ระหว่างปี พ.ศ. 2550 ถึง 2566 มีค่าเฉลี่ยประมาณ 9 ใบอนุญาตฯ ต่อประชากร 1,000 คน ซึ่งความหนาแน่นระดับนี้ถือว่าสูงเกินธรรมดาเป็นอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ

รศ.ดร.นพ.พลเทพ กล่าวปิดท้ายว่า “ประเทศไทยควรมีการดำเนินการอย่างจริงจังในการลดจำนวนใบอนุญาตจำหน่าย ประเทศไทยควรมีการปรับและพัฒนาแนวทางและกระบวนการออกใบอนุญาตรายใหม่และต่อใบอนุญาตรายเก่าให้เข้มงวดมากขึ้น ควรมีการใช้ข้อมูลต่าง ๆ ในระดับพื้นที่ มาพิจารณาการต่อใบอนุญาต เช่น การละเมิดกฎระเบียบ การมีผลกระทบต่อชุมชน ความคิดเห็นของประชาชนหรือหน่วยงานต่าง ๆ ในชุมชน”


เสียงจากเยาวชน: การเข้าถึงแอลกอฮอล์ง่ายเกินไป เสี่ยงทำร้ายอนาคตเยาวชนไทย

นักศึกษาแพทย์ เขมจิรา เจ๊ะบา นักศึกษาแพทย์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และนักกิจกรรมเยาวชน ให้ความเห็นว่า “ถึงแม้ว่าตามกฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศได้ขีดเส้นไว้ชัดเจนว่า ผู้ที่สามารถซื้อและบริโภคแอลกอฮอล์ได้ต้องมีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ แต่ความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น ในกลุ่มเยาวชนรู้ดีว่า แม้แต่เยาวชนอายุ 15 ปี ก็สามารถเข้าถึงแอลกอฮอล์ได้ เส้นที่รัฐธรรมนูญขีดไว้เป็นเพียงอุดมคติ ในฐานะเยาวชนไทยผู้ซึ่งถูกเรียกว่าอนาคตของชาติ ดิฉันมีความกังวลใจเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับการเพิ่มตัวของร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ขัดกับความหนักแน่นของรัฐธรรมนูญ”นอกจากนั้นแล้ว นักศึกษาแพทย์ เขมจิรา ยังให้ข้อคิดเห็นที่น่าสนใจว่า “เป็นที่ทราบกันดีว่า แอลกอฮอล์นั้นสามารถเป็นต้นเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ และการทำร้ายร่างกาย ดิฉันเชื่อว่า เยาวชนทุกคนมีสิทธิในการอาศัยอยู่ในประเทศนี้อย่างปลอดภัย ปลอดภัยในที่นี้รวมทั้งสุขภาพกาย จิตและการอยู่อาศัย แต่ปัจจุบันสังคมและสื่อกำลังสนับสนุนภาพลักษณ์ของการดื่มแอลกอฮอล์ในทางบวก สร้างความสวยงามและความหรูหราในยาพิษ นั้นเปรียบเสมือนว่าสังคมกำลังค่อยๆ ละเมิดสิทธิของพวกเราที่ต้องการเติบโตขึ้นอย่างปลอดภัย” นักศึกษาแพทย์ เขมจิรา เจ๊ะบา ทิ้งท้ายไว้ว่า “ดิฉันขอเป็นตัวแทนของเยาวชนเพื่อส่งสาสน์ถึงผู้ใหญ่หรือรัฐบาลในการเรียกร้องสิทธิที่พวกเราควรได้รับความปลอดภัยที่เป็นพื้นฐาน สังคมที่ดีและสุขภาพที่มั่นคง”

 

งานวิจัยที่อ้างอิง:
Vichitkunakorn P, Assanangkornchai S, Thaikla K, Buya S, Rungruang S, Talib M, Duangpaen W, Bunyanukul W, Sittisombut M. Alcohol outlet density and adolescent drinking behaviors in Thailand, 2007-2017: A spatiotemporal mixed model analysis. PLoS One. 2024 Oct 31;19(10):e0308184. doi: 10.1371/journal.pone.0308184.

ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.)

Centre for Alcohol Studies (CAS)

สาขาวิชาเวชศาสตร์ครอบครัวและเวชศาสตร์ป้องกัน อาคารศรีเวชวัฒน์ ชั้น 11 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เลขที่ 15 ถนนกาญจนวนิช ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 90110

083-5775533

https://www.facebook.com/cas.org.th

เข้าชมแล้ว 0 ครั้ง
Copyright © 2025 CAS All rights reserved.