คำค้นหา : การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

คำนี้ค้นหามาแล้ว : 1124 ครั้ง
“เวลาพูดถึงโรคมะเร็ง หลายคนอาจนึกถึงพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม หรืออาหารการกิน แต่มีปัจจัยหนึ่งที่อยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด นั่นคือ ‘แอลกอฮอล์’ ซึ่งในทางการแพทย์ เรามีหลักฐานชัดเจนว่าแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งหลายชนิด”
https://cas.or.th/content?id=1038
Tags : -

“เวลาพูดถึงโรคมะเร็ง หลายคนอาจนึกถึงพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม หรืออาหารการกิน แต่มีปัจจัยหนึ่งที่อยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด นั่นคือ ‘แอลกอฮอล์’ ซึ่งในทางการแพทย์ เรามีหลักฐานชัดเจนว่าแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งหลายชนิด”
------------

 

รศ.ดร.พญ.ภัทรพิมพ์ สรรพวีรวงศ์
หน่วยมะเร็งวิทยา สาขาวิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ผู้แทนจาก มะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย (TSCO)
ร่วมให้ข้อมูลในเวทีเสวนา “แอลกอฮอล์: ตัวเร่งโรค NCDs และทางออกเพื่อปกป้องสุขภาพคนไทย” เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 ณ โรงแรมเบสเวสเทิร์น จตุจักร กรุงเทพฯ

รศ.ดร.พญ.ภัทรพิมพ์ กล่าวว่า จากงานวิจัยจำนวนมากพบว่า การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีความเชื่อมโยงกับการเกิดมะเร็งที่พบได้บ่อยในคนไทย ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งช่องปากและลำคอ มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งล้วนเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญของประเทศ

ในเชิงกลไกทางชีวภาพ แอลกอฮอล์ที่เราดื่มเข้าไปไม่ได้หายไปเฉย ๆ แต่จะถูกเปลี่ยนเป็นสารที่ชื่อว่า อะซีทัลดีไฮด์ (Acetaldehyde) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งโดยตรง สารนี้สามารถทำลายสารพันธุกรรมหรือ DNA ของเซลล์ และยังไปรบกวนกระบวนการซ่อมแซม DNA ของร่างกาย พูดง่าย ๆ คือ แอลกอฮอล์ทำให้เซลล์เสียหาย และทำให้ร่างกายซ่อมตัวเองได้แย่ลง นอกจากนี้ แอลกอฮอล์ยังส่งผลให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายเพิ่มขึ้น ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งเต้านม รวมถึงทำให้ระบบต่อต้านอนุมูลอิสระของร่างกายทำงานได้ลดลง เซลล์จึงถูกทำลายได้ง่ายขึ้น และยังเพิ่มความเสี่ยงทางอ้อมผ่านภาวะน้ำหนักเกินจากการได้รับแคลอรีส่วนเกิน

ข่าวดีคือ งานวิจัยพบว่า การลดหรือเลิกดื่มแอลกอฮอล์สามารถช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งบางชนิดได้จริง โดยเฉพาะมะเร็งช่องปากและมะเร็งหลอดอาหาร นั่นหมายความว่า ความเสี่ยงของมะเร็งไม่ใช่สิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้ แต่การตัดสินใจลดหรือเลิกดื่ม คือการลดความเสี่ยงให้ตัวเองอย่างแน่นอน

ในขณะเดียวกัน ความเชื่อที่ว่า “ไวน์แดงหรือไวน์ขาวดีต่อสุขภาพ” ก็ไม่สอดคล้องกับหลักฐานทางวิชาการในเรื่องโรคมะเร็ง เพราะการดื่มไวน์ไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือมะเร็งต่อมลูกหมากแต่อย่างใด

สำหรับผู้ป่วยมะเร็ง แอลกอฮอล์ไม่เพียงแต่เพิ่มความเสี่ยงของโรค แต่ยังอาจทำให้อาการข้างเคียงจากการรักษารุนแรงขึ้น ลดประสิทธิภาพของยา ทำให้ตับทำงานหนัก และเพิ่มความเสี่ยงของการกลับเป็นซ้ำ หรือการเกิดมะเร็งชนิดใหม่

การป้องกันมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ระดับบุคคล แต่ต้องอาศัยการสร้างความตระหนักในสังคม ทั้งในประชาชนทั่วไป ผู้ป่วย และผู้รอดชีวิตจากมะเร็ง เพื่อให้เข้าใจความเสี่ยงอย่างถูกต้อง

“การลด ละ เลิกแอลกอฮอล์ ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพส่วนตัว แต่เป็นการลดภาระโรคของทั้งสังคม”

แอลกอฮอล์กับสุขภาพจิต: ความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม
https://cas.or.th/content?id=991
Tags : -

แอลกอฮอล์กับสุขภาพจิต: ความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม

เนื่องในโอกาสวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเศษ นายแพทย์ปราการ ถมยางกูร นายกสมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายไทย ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับพฤติกรรมเสี่ยงทางจิตใจ โดยระบุว่าแอลกอฮอล์มีฤทธิ์กดการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ส่งผลให้ผู้ดื่มสูญเสียความสามารถในการควบคุมตนเองและเกิดพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น โดยเฉพาะในผู้ที่มีความคิดฆ่าตัวตายอยู่แล้ว การดื่มอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ลงมือกระทำจริง แม้ในบางกรณีจะไม่ได้มีเจตนาโดยตรง แต่การขาดสติอาจนำไปสู่อุบัติเหตุร้ายแรง เช่น การพลัดตกจากที่สูงโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกที่ระบุว่า ทุก 40 วินาทีมีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย และทุก 10 วินาทีมีผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเป็นจากอุบัติเหตุหรือพฤติกรรมเสี่ยงอื่น ๆ

ในบริบทของประเทศไทย รายงานจากพื้นที่ภาคเหนือ พบว่า การลดการบริโภคแอลกอฮอล์ในบางจังหวัดส่งผลให้จำนวนการฆ่าตัวตายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มที่เผชิญกับความผิดหวังทางอารมณ์ เช่น ความรักหรือความเครียดจากชีวิตส่วนตัว การดื่มเพื่อหลีกหนีความทุกข์กลับกลายเป็นการเปิดช่องให้เกิดพฤติกรรมทำร้ายตนเอง ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างการบริโภคแอลกอฮอล์กับปัญหาสุขภาพจิตอย่างชัดเจน โดยมีข้อมูลระบุว่า ร้อยละ 20 ของผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายในประเทศไทยมีประวัติการดื่มแอลกอฮอล์ร่วมด้วย

แม้บางบุคคลจะใช้แอลกอฮอล์เป็นเครื่องมือในการบรรเทาความทุกข์หรือ “self-medication” แต่นายแพทย์ปราการเสนอแนวทางที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์มากกว่า ได้แก่ การพูดคุยกับบุคคลที่ไว้วางใจหรือสายด่วนสุขภาพจิต 1323 การใช้แอปพลิเคชันให้คำปรึกษาทางจิต เช่น Line: @Khuikun หรือแอปจากสถาบันการศึกษา เช่น DMIND การทำกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น ร้องเพลง เดินเล่น สวดมนต์ หรือออกกำลังกาย การฝึกคิดเชิงบวกและมีเมตตาต่อตนเอง รวมถึงการฝึกขอบคุณสิ่งรอบตัว เพื่อเสริมสร้างพลังใจและความมั่นคงทางอารมณ์ โดยนายแพทย์ปราการเน้นย้ำว่า “ทุกคนผิดพลาดได้ อย่าโทษตัวเองซ้ำ ๆ จนหมดพลัง” พร้อมเสนอว่าการช่วยเหลือผู้อื่นและการคิดบวกจะเป็นพลังสะท้อนกลับมาช่วยเยียวยาตนเองในยามที่ต้องการมากที่สุด

ในด้านนโยบายการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ องค์การอนามัยโลกได้เสนอกรอบแนวทาง “SAFER” เพื่อควบคุมการบริโภคแอลกอฮอล์อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วยการห้ามส่งเสริมและโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในทุกช่องทาง การจำกัดการเข้าถึงโดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน การเพิ่มภาษีเพื่อควบคุมการบริโภค การบังคับใช้กฎหมาย “ดื่มไม่ขับ ขับไม่ดื่ม” อย่างเข้มงวด และการส่งต่อผู้มีปัญหาการดื่มเข้าสู่ระบบบำบัดอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยมีการดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวในระดับหนึ่ง เช่น การห้ามโฆษณา การจำกัดอายุผู้ซื้อ และการลงโทษผู้ฝ่าฝืน อย่างไรก็ตาม ยังมีความจำเป็นต้องขยายผลกระทบของนโยบายไปสู่ระดับครอบครัวและชุมชน เพื่อป้องกันผลกระทบทางอ้อม เช่น ความรุนแรงในครอบครัวและภาวะซึมเศร้าในผู้ใกล้ชิด

แม้รายได้จากการจำหน่ายแอลกอฮอล์ในประเทศไทยจะสูงถึง 500,000 ล้านบาทต่อปี แต่ข้อมูลจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุว่า ค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพ อุบัติเหตุ และอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์สูงถึง 170,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งสะท้อนถึงภาระทางเศรษฐกิจและสังคมที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบ

ในด้านการรณรงค์ สมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายไทยมีบทบาทสำคัญในการดำเนินงานเชิงวิชาการ การสร้างเครือข่าย และการผลักดันนโยบายสาธารณะ โดยเน้นการให้ความรู้เรื่องสุขภาพจิต การลดการใช้แอลกอฮอล์ในสังคม และการสร้างภูมิคุ้มกันทางใจในกลุ่มเสี่ยง เช่น เยาวชน ผู้สูงอายุ และผู้ประสบปัญหาชีวิต นอกจากนี้ สมาคมยังสนับสนุนการรณรงค์เชิงสัญลักษณ์ เช่น การงดให้ของขวัญเป็นแอลกอฮอล์ และการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในชุมชน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการดูแลและคำปรึกษาได้อย่างเท่าเทียม โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการลดอัตราการฆ่าตัวตายและส่งเสริมสุขภาวะทางจิตใจของประชาชนในระยะยาว

โดย ผศ.(พิเศษ) นพ.ปราการ ถมยางกูร
นายกสมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายไทย

สุราในสังคมไทย: เมื่อความรุนแรงและความสร้างสรรค์เดินทางร่วมกันในนโยบายสาธารณะ
https://cas.or.th/content?id=990
Tags : -

สุราในสังคมไทย: เมื่อความรุนแรงและความสร้างสรรค์เดินทางร่วมกันในนโยบายสาธารณะ

ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน สังคมไทยได้รับรู้ข่าวสองเรื่องที่สะท้อนภาพต่างขั้วของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในชีวิตประจำวัน

  • ข่าวเศร้าจากนครศรีธรรมราช: พระรูปหนึ่งใช้ขวดสุราฟาดศีรษะลูกศิษย์วัดจนเสียชีวิต โดยมีรายงานว่าเหตุมาจากความขัดแย้งเรื่องเงินซื้อเหล้า
  • ข่าวสร้างสรรค์จากสงขลา: รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังลงพื้นที่เยี่ยมชมวิสาหกิจชุมชน “ตาคียะ (TAKIYA)” ซึ่งผลิตสุราพื้นบ้านจากน้ำตาลโตนดอย่างมีคุณภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมผลักดันเป็นต้นแบบ soft power ไทย

สองข่าวนี้ไม่ได้ขัดแย้งกันโดยตรง แต่สะท้อนความซับซ้อนของบทบาทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสังคมไทย—ทั้งในฐานะ “ปัจจัยเสี่ยง” และ “ทรัพยากรชุมชน”

 

เรากำลังเดินไปในทิศทางเดียวกันหรือสวนทางกัน?

ในขณะที่ภาครัฐส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนผ่านสุราพื้นบ้านอย่างมีเป้าหมายและความหวัง หลายชุมชนยังเผชิญกับปัญหาความรุนแรง ความยากจน และการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างไร้การควบคุม

บทบาทของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของ “ผลิตภัณฑ์” แต่เป็นเรื่องของ “บริบท” และ “ระบบสนับสนุน” ที่ต้องพิจารณาร่วมกัน

 

พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่: ความหวังที่ต้องมีทิศทาง

ในช่วงที่สังคมกำลังรอประกาศบังคับใช้ พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับใหม่ และการออกกฎหมายลำดับรอง

คำถามสำคัญคือ:

  • นโยบายสาธารณะในปัจจุบันตอบสนองต่อปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในชุมชนหรือไม่?
  • หน่วยงานรัฐควรมีบทบาทอย่างไรในการกำกับดูแลและเป็นแบบอย่างต่อการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่สาธารณะ?

การตั้งคำถามแบบนี้ไม่ใช่การต่อต้าน แต่เป็นการเปิดพื้นที่ให้สังคมร่วมกันออกแบบนโยบายที่ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ได้รับผลกระทบ แน่นอนว่าสุราพื้นบ้านสามารถเป็น soft power ได้ หากอยู่ในระบบที่มีความรับผิดชอบ มีมาตรฐาน และมีการควบคุมที่เหมาะสม ขณะเดียวกัน การควบคุมการเข้าถึงและการบริโภคสุราในบริบทเปราะบาง เช่น วัด ชุมชนยากจน หรือกลุ่มเสี่ยง ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม บทความนี้จึงไม่ใช่การตัดสิน แต่เป็นการชวนให้สังคมไทยร่วมกันตั้งคำถาม และออกแบบอนาคตของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศอย่างมีสติ มีความหวัง และมีความรับผิดชอบร่วมกัน

ทำไมต้องควบคุมการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยใช้ผู้มีชื่อเสียง?
https://cas.or.th/content?id=885

การควบคุมการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผ่านผู้มีชื่อเสียง เป็นมาตรการสำคัญในการลดผลกระทบด้านสุขภาพและสังคมที่เกิดจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การที่ผู้กำหนดนโยบายให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและลดโอกาสที่เยาวชนจะเข้าสู่พฤติกรรมเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.)

Centre for Alcohol Studies (CAS)

สาขาวิชาเวชศาสตร์ครอบครัวและเวชศาสตร์ป้องกัน อาคารศรีเวชวัฒน์ ชั้น 11 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เลขที่ 15 ถนนกาญจนวนิช ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 90110

083-5775533

https://www.facebook.com/cas.org.th

เข้าชมแล้ว 0 ครั้ง
Copyright © 2025 CAS All rights reserved.