คำค้นหา : การสำรวจ

คำนี้ค้นหามาแล้ว : 64 ครั้ง
งานวิจัยชี้! ร้านขายเหล้าเยอะ วัยรุ่นดื่มมากขึ้น เด็กหญิงไทยเสี่ยงดื่มหนักเพิ่ม 23%
https://cas.or.th/content?id=28

งานวิจัยล่าสุดจากศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานวิจัยระบบสุขภาพ (สวรส.) ภายใต้การนำของหัวหน้าโครงการวิจัย รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เผยข้อมูลชัดเจนว่า ความหนาแน่นของร้านขายสุราส่งผลให้พฤติกรรมการดื่มของวัยรุ่นไทยพุ่งสูงขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นหญิงที่มีแนวโน้มดื่มหนักเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 23

งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567 โดยใช้ข้อมูลจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติและข้อมูลใบอนุญาตจากกรมสรรพสามิตระหว่างปี พ.ศ. 2550 ถึง 2566 ครอบคลุมกลุ่มวัยรุ่นไทยอายุ 15 ถึง 19 ปี จำนวนกว่า 10,000 คน

 

 

รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร หัวหน้าทีมวิจัยให้ความคิดเห็นว่า “ความหนาแน่นของร้านขายเหล้าใกล้บ้านเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้วัยรุ่นเข้าถึงแอลกอฮอล์ได้ง่าย ผลลัพธ์ คือ พฤติกรรมการดื่มฯ เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเด็กผู้หญิงที่มีการดื่มหนัก (binge drinking) เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 23 ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจ สำหรับวัยรุ่นชายก็เพิ่มโอกาสในการดื่มฯ สุราในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาเช่นกัน ประมาณร้อยละ 9”

การเข้าถึงแอลกอฮอล์ตั้งแต่วัยเยาว์อาจนำไปสู่ผลกระทบทางสุขภาพในระยะยาว ดังนั้น “ถึงเวลาแล้วที่ภาครัฐต้องพิจารณาควบคุมจำนวนร้านขายสุราอย่างเข้มงวด เพื่อลดการเข้าถึงแอลกอฮอล์ในกลุ่มเยาวชนและปกป้องอนาคตของพวกเขา” รศ.ดร.นพ.พลเทพ กล่าวเสริม

จากการศึกษาพบว่า จำนวนใบอนุญาตขายสุราต่อประชากร 1,000 คน ระหว่างปี พ.ศ. 2550 ถึง 2566 มีค่าเฉลี่ยประมาณ 9 ใบอนุญาตฯ ต่อประชากร 1,000 คน ซึ่งความหนาแน่นระดับนี้ถือว่าสูงเกินธรรมดาเป็นอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ

รศ.ดร.นพ.พลเทพ กล่าวปิดท้ายว่า “ประเทศไทยควรมีการดำเนินการอย่างจริงจังในการลดจำนวนใบอนุญาตจำหน่าย ประเทศไทยควรมีการปรับและพัฒนาแนวทางและกระบวนการออกใบอนุญาตรายใหม่และต่อใบอนุญาตรายเก่าให้เข้มงวดมากขึ้น ควรมีการใช้ข้อมูลต่าง ๆ ในระดับพื้นที่ มาพิจารณาการต่อใบอนุญาต เช่น การละเมิดกฎระเบียบ การมีผลกระทบต่อชุมชน ความคิดเห็นของประชาชนหรือหน่วยงานต่าง ๆ ในชุมชน”


เสียงจากเยาวชน: การเข้าถึงแอลกอฮอล์ง่ายเกินไป เสี่ยงทำร้ายอนาคตเยาวชนไทย

นักศึกษาแพทย์ เขมจิรา เจ๊ะบา นักศึกษาแพทย์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และนักกิจกรรมเยาวชน ให้ความเห็นว่า “ถึงแม้ว่าตามกฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศได้ขีดเส้นไว้ชัดเจนว่า ผู้ที่สามารถซื้อและบริโภคแอลกอฮอล์ได้ต้องมีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ แต่ความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น ในกลุ่มเยาวชนรู้ดีว่า แม้แต่เยาวชนอายุ 15 ปี ก็สามารถเข้าถึงแอลกอฮอล์ได้ เส้นที่รัฐธรรมนูญขีดไว้เป็นเพียงอุดมคติ ในฐานะเยาวชนไทยผู้ซึ่งถูกเรียกว่าอนาคตของชาติ ดิฉันมีความกังวลใจเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับการเพิ่มตัวของร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ขัดกับความหนักแน่นของรัฐธรรมนูญ”นอกจากนั้นแล้ว นักศึกษาแพทย์ เขมจิรา ยังให้ข้อคิดเห็นที่น่าสนใจว่า “เป็นที่ทราบกันดีว่า แอลกอฮอล์นั้นสามารถเป็นต้นเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ และการทำร้ายร่างกาย ดิฉันเชื่อว่า เยาวชนทุกคนมีสิทธิในการอาศัยอยู่ในประเทศนี้อย่างปลอดภัย ปลอดภัยในที่นี้รวมทั้งสุขภาพกาย จิตและการอยู่อาศัย แต่ปัจจุบันสังคมและสื่อกำลังสนับสนุนภาพลักษณ์ของการดื่มแอลกอฮอล์ในทางบวก สร้างความสวยงามและความหรูหราในยาพิษ นั้นเปรียบเสมือนว่าสังคมกำลังค่อยๆ ละเมิดสิทธิของพวกเราที่ต้องการเติบโตขึ้นอย่างปลอดภัย” นักศึกษาแพทย์ เขมจิรา เจ๊ะบา ทิ้งท้ายไว้ว่า “ดิฉันขอเป็นตัวแทนของเยาวชนเพื่อส่งสาสน์ถึงผู้ใหญ่หรือรัฐบาลในการเรียกร้องสิทธิที่พวกเราควรได้รับความปลอดภัยที่เป็นพื้นฐาน สังคมที่ดีและสุขภาพที่มั่นคง”

 

งานวิจัยที่อ้างอิง:
Vichitkunakorn P, Assanangkornchai S, Thaikla K, Buya S, Rungruang S, Talib M, Duangpaen W, Bunyanukul W, Sittisombut M. Alcohol outlet density and adolescent drinking behaviors in Thailand, 2007-2017: A spatiotemporal mixed model analysis. PLoS One. 2024 Oct 31;19(10):e0308184. doi: 10.1371/journal.pone.0308184.

อิทธิพลของความเชื่อทางการเมือง ต่อพฤติกรรมสุขภาพ (ตอนที่ 1)
https://cas.or.th/content?id=108

โดย…ดร.นพ.มูฮัมมัดฟาห์มี ตาเละ

ผมเขียนบทความชิ้นนี้ ในขณะที่ทั่วประเทศกำลังเผชิญหน้ากับทางแพร่งของการเลือกข้างทางการเมืองที่สำคัญครั้งหนึ่งของประเทศชาติ ในยามที่โลกทั้งใบกำลังเผชิญหน้ากับโรคระบาดครั้งใหญ่ในรอบหนึ่งร้อยปี ในอนาคตอันใกล้นี้วิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดในโลกในรอบหลายร้อยปีจะถาโถมเข้าสู่รัฐเล็กรัฐใหญ่ในโลกอย่างไม่เลือกหน้า Globalization ที่ได้กลายเป็นทางเลือกหลักในการพัฒนาโลกตั้งแต่หลังยุครัฐชาติ ได้เชื่อมโลกทั้งใบไว้มากกว่าช่วงสมัยใด ๆ ของมนุษยชาติ ได้กลายเป็นสาเหตุสำคัญที่จะทำให้วิกฤตโลกนั้นกระทบต่อกันอย่างที่เห็น เมื่ออนาคตอันใกล้มีวิกฤตขนาดใหญ่เช่นนี้ จึงไม่แปลกอะไรที่ผู้คนจะตั้งคำถามถึงแนวคิดทางการเมืองที่จะนำคนในชาติเผชิญหน้ากับวิกฤต เหตุผลที่สำคัญมาก ๆ ที่ต้องเลือกแนวคิดทางการเมืองแบบใดแบบหนึ่งในการเผชิญหน้ากับภาวะคุกคามก็เพราะความหมายที่แท้จริงของการเมืองนั้นคือ แนวคิดในการบริหารทรัพยากรในสังคมใดสังคมหนึ่ง หากมีมนุษย์รวมกลุ่มมากกว่าหนึ่งคน เป็นธรรมชาติของการอยู่ร่วมกันที่ต้องสร้างระบบการเมืองขึ้นมาเพื่อให้ทรัพยากรถูกแจกจ่าย และ ผู้ในในสังคมนั้น ๆ อยู่รอดมากที่สุด อำนาจทางการเมืองจะถูกแปรรูปไปเป็นอำนาจอื่น ๆ อีกหลากหลายรูปแบบ จึงไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไรที่คนรุ่นใหม่หลายพันหลายหมื่นคนทั่วประเทศ จะออกมาเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เพื่อความหวังที่จะมีชีวิตที่ดีกว่า แกนเรื่องสำคัญที่ดึงดูดคนจำนวนมากให้ออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องเดียวกันอย่างพร้อมเพรียงกันมิใช่สิ่งอื่นใด นอกจากแกนความคิดทางการเมือง ตัวอย่างเพียงหนึ่งเดียวนี้พอจะแสดงให้เห็นได้ว่า เรื่องการเมืองมันสำคัญต่อจินตนาการของผู้คน และสำคัญต่อระเบียบชีวิตของผู้คนบนโลกนี้เช่นไร  

          ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา โลกผ่านการถกคิดและการต่อสู้ของแนวคิดทางการเมืองครั้ง สำคัญของคู่ตรงข้ามทางความคิดการเมืองมาหลายครั้งรวมไปถึงการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางการเมืองทั้งหลาย แม้เหตุผลที่แท้จริงจะไม่ชัดเจนและไม่ใช่สิ่งที่พิสูจน์ด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์ได้ง่าย แต่เชื่อว่าการปฏิวัติทุกครั้งในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานั้น ปรัชญาทางการเมืองได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการหลอมความคิดคนร่วมสร้างจินตนาการแห่งชีวิตให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

ไม่ว่าจะเป็นค่านิยมทางการเมืองแบบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ประชาธิปไตย สังคมนิยม เสรีนิยม อำนาจนิยม เผด็จการนิยม คอมมิวนิสต์ ศาสนานิยม อนุรักษ์นิยม ล้วนแล้วแต่มีปรัชญาที่ร้อยเรียงจินตนาการร่วมของผู้สนับสนุนให้เป็นเนื้อเดียวกันได้ ความเชื่อทางการเมืองได้สร้างแบบแผนของการดำเนินชีวิตจากจินตนาการถึงคุณค่าสำคัญของความเชื่อทางการเมืองนั้น ๆ (core value) จึงเป็นเหตุให้ผู้คนที่มาจากสังคมที่นับถือคนละความเชื่อทางการเมือง มีแนวโน้มที่จะมีความคิด จินตนาการต่อชีวิต และรูปแบบการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน รูปแบบชีวิตในที่นี้หมายถึงรูปแบบชีวิตของคนส่วนมากในทุก ๆ เรื่อง

การยกตัวอย่างเปรียบเทียบที่ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดคงต้องเปรียบเทียบประชากรของประเทศที่ปกครองคนละระบอบการเมืองที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง เช่น หากเรานึกถึงสภาพโดยทั่วไปของชายหนุ่มที่เกิดและเติบโตในประเทศสหรัฐอเมริกา และ สภาพโดยทั่วไปของชายหนุ่มที่เกิดและเติบโตจากประเทศเกาหลีเหนือ แม้เราที่อยู่ประเทศไทยจะไม่เคยเดินทางไปทั้งประเทศสหรัฐอเมริกาและเกาหลีเหนือ แต่จินตนาการจากข้อมูลที่เรารับรู้ที่ผ่านมา จะพอทำให้เราคาดเดาได้ว่า ชายหนุ่มจากสหรัฐอเมริกา น่าจะมีบุคลิคนิสัยเป็นอย่างไร ให้คุณค่ากับเรื่องอะไรบ้าง รวมไปถึง น่าจะมีพฤติกรรมและรูปแบบการใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง ในขณะเดียวกันหากเราคิดต่อในประเด็นเดียวกันกับชายหนุ่มจากเกาหลีเหนือ คงพบคำตอบคล้ายกันกับผมที่คิดว่า ชายหนุ่มจากเกาหลีเหนือโดยทั่วไปแล้ว คงมีบุคลิกนิสัยใจคอแตกต่างจากอเมริกัน สิ่งที่เขาให้คุณค่าน่าจะต่างกัน รวมไปถึงพฤติกรรมและรูปแบบการใช้ชีวิตในแต่ละวันก็ต่างกันกับอเมริกันหนุ่ม โชคดีที่ผมมีโอกาสได้สัมผัสพบเจอชายหนุ่มทั้งจากเกาหลีเหนือและสหรัฐอเมริกา ทำให้ผมพิสูจน์ได้ว่า ข้อสันนิษฐานในเรื่อง ค่าเฉลี่ยในจินตนาการของผมต่อคนพลเมืองสองประเทศนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจริง ๆ

          คราวนี้กลับมาในเรื่องพฤติกรรมสุขภาพ ซึ่งเป็นใจความหลักของเนื้อหาในบทความนี้ มีนักวิจัยช่างสังเกตจำนวนหนึ่งได้ตั้งคำถามว่า หากรูปแบบการเมืองที่ใช้ปกครองส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนภายใต้ระบอบการปกครองนั้น ๆ  แล้ว สำหรับพฤติกรรมทางสุขภาพ ความเชื่อทางการเมืองส่งผลอย่างไรกับประเด็นนี้บ้าง ก่อนจะไปที่ผลการสำรวจและการศึกษาที่เคยผ่านมา อยากลองให้ผู้อ่านทุกท่านได้ลองจินตนาการดู เอาแค่พฤติกรรมสุขภาพไม่กี่เรื่องก็พอครับ เรื่องการรับประทานอาหาร การออกกำลัง กายสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์ ท่านผู้อ่านคิดว่ารูปแบบการเมืองของรัฐชาติใดรัฐชาติหนึ่ง จะส่งผลต่อพฤติกรรมสุขภาพของคนในรัฐนั้น ๆ อย่างไร ลองใส่ความคิดเห็นของท่านลงในตารางช่องว่างข้างล่างนี้ดูนะครับ

  รับประทานอาหาร ออกกำลังกาย สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์
สังคมนิยม        
คอมมิวนิสต์        
ประชาธิปไตย        
ศาสนานิยม        
สมบูรณาญาสิทธิราชย์        

ในปี ค.ศ. 2000 J J Murrow และ คณะ (1) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ของความเชื่อทางการเมือง และพฤติกรรมสุขภาพ สมมติฐานที่เขาตั้งขึ้นมาก็คงคล้ายกับคนขี้สงสัยหลายคนในโลกว่า ถ้าคนเราอยู่ภายใต้รูปแบบการปกครองและกระแสความเชื่อทางการเมืองที่ต่างกัน จะมีพฤติกรรมสุขภาพเป็นแบบไหนและเป็นอย่างไร แม้หน้าที่หลักของรัฐบาลใด ๆ ในโลกจะต้องดูแลสวัสดิภาพ (ซึ่งรวมไปถึงสุขภาพ) ของประชาชนเหมือนกัน แต่หากแนวคิดทางการเมืองต่างกัน การจัดลำดับความสำคัญในแต่ละสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจะแตกต่างกันด้วย ในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นพื้นที่ศึกษาของงานวิจัยชิ้นนี้แม้จะอยู่ในระบอบปกครองแบบประชาธิปไตย แต่ในประเทศก็มีแนวคิดทางการเมืองที่แตกต่างกัน เช่น เสรีนิยม – อนุรักษ์นิยม ซึ่งให้คุณค่าในหลายสิ่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นิยามสำคัญของความเป็นเสรีนิยม คือ ความก้าวหน้า ความคิดเปิดกว้าง เปิดรับความหลากหลาย กล้าคิดกล้าทำ พร้อมเปลี่ยนแปลง เสรีนิยมมักตามด้วยการเปิดตลาดเสรีเพื่อให้เกิดการแข่งขันสูงสุด และให้ตลาดควบคุมตัวเอง  ส่วนเมื่อเอ่ยถึงอนุรักษ์นิยม นิยามของคำนี้คือ เชื่อมั่นในการปกครองอย่างผูกขาดโดยคนชั้นสูง (aristocratic ideology) เชื่อในการเมืองเชิงประจักษ์ หรือ เรียกว่าไม่โลกสวยทางการเมือง (political pragmatism) คำนึงถึงบริบทและสถานการณ์มากกว่าอุดมการณ์ที่เกินจริง เชื่อในเรื่องการควบคุมความคิดและพฤติกรรม  วิธีการสำรวจที่ทีมวิจัยนี้ได้ทำคือการไปสัมภาษณ์เก็บข้อมูลกลุ่มตัวอย่างประมาณ 4,200 คน สอบถามพวกเขาด้วยคำถามสองกลุ่มคือ คำถามกลุ่มแรกคือกลุ่มคำถามเกี่ยวกับการให้คุณค่าในสิ่งต่าง ๆ (self-report characterizations) ซึ่งใช้เพื่อแยกกลุ่มตัวอย่างออกตามแนวคิดทางการเมืองที่กลุ่มตัวอย่างนับถือ แบ่งออกเป็นสามกลุ่มคือ อนุรักษ์นิยม ทางสายกลาง และเสรีนิยม

คำถามกลุ่มสองเป็นคำถามเกี่ยวกับพฤติกรรมสุขภาพ โดยถามทั้งในพฤติกรรมสุขภาพด้านบวก เช่น การให้คุณค่าต่อตัวเอง การดูแลตัวเอง เป็นต้น และคำถามที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มพฤติกรรมสุขภาพที่เป็นด้านลบต่อสุขภาพ เช่น การรับประทานอาหาร การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น

ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่เป็นอนุรักษ์นิยมเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างระมัดระวังในการมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการระมัดระวังต่อปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพด้านสิ่งแวดล้อม กฎหมาย โครงสร้างสังคม กลุ่มที่มีค่านิยมทางการเมืองแบบสายกลางโดดเด่นในด้านการเคารพต่อตัวเอง เชื่อมั่นในคุณค่าของตัวเอง (Self-actualization) และมีแนวโน้มที่จะสนใจเรื่องพฤติกรรมสุขภาพด้านบวกน้อยที่สุด ในขณะที่กลุ่มตัวอย่างที่มีค่านิยมทางการเมืองแบบเสรีนิยม เป็นกลุ่มที่ใส่ใจเรื่องความเสี่ยงทางสุขภาพและปัจจัยการป้องกันสุขภาพของปัจเจกบุคคล (ตนเอง) สูงสุด

          ขยับไปดูการศึกษาจากประเทศที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยบ้าง สังคมนิยม และ แนวทางคอมมิวนิสต์ เคยเป็นปฏิปักษ์สำคัญของแนวทางการปกครองแบบประชาธิปไตย อันที่จริงแล้ว แนวทางทั้งสองต่างถกกันเรื่องสิทธิในการกระจายอำนาจแก่ผู้คนหมู่มากในสังคมทั้งสิ้น แต่ในทางปฏิบัติการกระจายอำนาจของทั้งสองรูปแบบแตกต่างกัน คอมมิวนิสต์ได้กลายเป็นระบอบการปกครองหลักของประเทศในฝั่งยุโรปตะวันออก จากอิทธิพลของการปฏิวัติของบอลเชวิคในรัสเซีย คอมมิวนิสต์ได้รื้อถอน ค่านิยมเดิมในสมัยก่อนโซเวียต อันได้แก่ ระบอบเจ้าขุนมูลนายในสมัยการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ภายใต้ราชวงศ์โรมานอฟของรัสเซีย คำสอนทางศาสนาแบบคริสต์นิกายออโธดอกซ์ ข้อค้นพบจากการเก็บข้อมูลอย่างกว้างขวางของนักวิจัยในยุคสมัยนั้นพบว่า การเปลี่ยนระบอบการปกครองในช่วงเวลานั้น ได้ก่อให้เกิดพฤติกรรมลบต่อสุขภาพหลายอย่าง และ หนึ่งในวัฒนธรรมใหม่ที่เกิดขึ้นหลังคอมมิวนิสต์คือการดื่มเหล้าอย่างหนักของคนในสังคมรัสเซีย (2,3) หนึ่งในข้อสันนิษฐานที่กล่าวถึงกันคือ สังคมใดก็ตามที่มีการอุปถัมภ์ของรัฐในระดับสูง จะลดปราถนาต่อการมีสุขภาพที่ดีของปัจเจกบุคคล และแน่นอนว่าระบอบคอมมิวนิสต์ที่รัฐเป็นผู้จัดการทุกสิ่ง ทำให้ประชาชนเชื่อว่า หากวันหนึ่งเจ็บไข้ได้ป่วย รัฐก็ต้องช่วยรับผิดชอบความเจ็บป่วยนั้น จนละเลยการสร้างพฤติกรรมสุขภาพที่ดี (4) และอีกเหตุผลสำคัญคือ ความเชื่อการเมืองแบบคอมมิวนิสต์นั้นปฏิเสธความเชื่อทางศาสนาทั้งหมด ซึ่งทำให้ผู้คนในสหภาพโซเวียตดื่มวอดก้าและสูบบุหรี่มากขึ้น (5)

เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายกลายเป็นประเทศเล็กประเทศน้อยกว่าสิบหกประเทศ นักระบาดวิทยาก็ยังคงตั้งคำถามในประเด็นเดิมว่า ในกลุ่มประเทศที่แยกออกมาจากรัสเซีย ความเป็นสังคมนิยมและความเป็นประชาธิปไตยในแต่ละประเทศจะส่งผลต่อพฤติกรรมสุบภาพอย่างไร ก็พบคำตอบคล้ายเดิมคือ ประเทศที่มีแนวโน้มเป็นสังคมนิยมมากกว่า ประชาชนในประเทศมีแนวโน้มจะดูแลรักษาสุขภาพตัวเองได้น้อยกว่า คนที่นิยมในแนวทางสังคมนิยมมีแนวโน้มจะดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าเมื่อเทียบกับคนต่อต้านสังคมนิยม (3) นอกจากนั้นคนที่ต่อต้านคอมมิวนิสต์มักมีไลฟ์สไตล์ด้านสุขภาพที่ดีมากกว่าเมื่อเทียบกับคนที่นิยมในคอมมิวนิสต์ (2)   

จะเห็นได้ว่า แค่ค่านิยมทางการเมืองที่แตกต่างกัน ก็ทำให้คนมีพฤติกรรมสุขภาพแตกต่างกัน แม้ว่าคนจะอยู่ในภูมิภาคหรือชาติพันธ์เดียวกัน แต่เพียงแค่ต่างเวลาต่างการปกครอง ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพแล้ว บทความตอนนี้ขอนำเสนอเกริ่นไว้ก่อน ว่าแนวคิดทางการเมืองที่ใช้สร้างนโยบาย กฎหมาย และ รูปแบบการปกครอง ส่งผลต่อวิถีชีวิตของคนมากขนาดไหน สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานด้านการส่งเสริมและป้องกันสุขภาพ ก็จะได้เห็นภาพชัดขึ้นว่า แนวทางทางการเมืองที่แบบใดจะก่อให้เกิดความคิดตอบสนองต่อประชาชนและสร้างพฤติกรรมสุขภาพแบบไหน เราจะได้นำกลับไปคิดและวางแผนให้เหมาะสมกับบริบทแนวคิดทางการเมืองที่มีอิทธิพล ณ ห้วงเวลานั้น ๆ ครับ ตอนต่อไป ผมจะนำเสนอข้อค้นพบจากการสำรวจแนวคิดทางการเมืองและพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์จากการรวบรวมข้อมูลมากกว่า 50 ปี ในประเทศสหรัฐอเมริกา น่าสนใจมากครับ ติดตามอ่านตอนต่อไปในเร็ว ๆ นี้ครับ

เอกสารอ้างอิง

  1. Murrow JJ, Coulter RL, Coulter MK. Political ideologies and health-oriented beliefs and behaviors: an empirical examination of strategic issues. J Health Hum Serv Adm. 2000;22(3):308-345.
  2. Cockerham WC, Hinote BP, Cockerham GB, Abbott P. Health lifestyles and political ideology in Belarus, Russia, and Ukraine. Soc Sci Med. 2006 Apr 1;62(7):1799–809.
  3. Cockerham WC, Snead MC, DeWaal DF. Health Lifestyles in Russia and the Socialist Heritage. J Health Soc Behav. 2002;43(1):42–55.
  4. Shkolnikov VM, Cornia GA, Leon DA, Meslé F. Causes of the Russian mortality crisis: Evidence and interpretations. World Dev. 1998 Nov 1;26(11):1995–2011.
  5. Population NRC (US) C on, Bobadilla JL, Costello CA, Mitchell F. The Anti-Alcohol Campaign and Variations in Russian Mortality [Internet]. Premature Death in the New Independent States. National Academies Press (US); 1997 [cited 2020 Aug 5]. Available from: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK233403/
วันยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี
https://cas.or.th/content?id=164

วันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปีวันยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรีสากล

_________
งด ลด ดื่มแอลกอฮอล์ = ยุติความรุนแรง

“ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรีสากลด้วยการไม่ดื่มแอลกอฮอล์”

นอกจากแอลกอฮอล์จะจัดเป็นอุปสรรคสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืนแห่งปี 2030 ในเป้าหมายที่ 3 สุขภาพและชีวิตความเป็นอยู่แล้วนั้น ยังนับเป็นอุปสรรคต่อเป้าหมายที่ 16 สันติภาพและความยุติธรรม โดยเฉพาะในเป้าหมายที่ 16.1 ลดการใช้ความรุนแรง และการเสียชีวิตจากความรุนแรงทุกรูปแบบ และทุกหนแห่งอีกด้วย ซึ่งสามารถยืนยันได้จากงานวิจัย ดังนี้

  • จากข้อมูลโครงการสำรวจการได้รับผลกระทบจากการดื่มแอลกอฮอล์ของผู้อื่นในประเทศไทย1 โดยกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ใหญ่ที่มีเด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีอยู่ในความดูแล จำนวน 937 คน พบว่า ร้อยละ 24.6 เด็กที่ตนดูแลอยู่ได้รับผลกระทบจากการดื่มของคนอื่น โดยเป็นผลกระทบจากการถูกตีหรือทำร้ายร่างกายร้อยละ 1.7

  • จากการศึกษาลักษณะและผลกระทบของภัยเหล้ามือสองต่อสมาชิกครอบครัวในชนเผ่าลาหู่ในจังหวัดเชียงราย2 พบว่า ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 1,031 คน มีผู้หญิงและกลุ่มอายุน้อยกว่าและเท่ากับ 15 ปี เคยถูกลวนลามทางเพศร้อยละ 6.0 และร้อยละ 4.5 ตามลำดับ

  • ผลการศึกษาประสบการณ์ (ปัญหา) ของผู้หญิงจากผลกระทบจากการดื่มสุราของสมาชิกใน ครอบครัว3 พบว่า ผู้หญิงได้รับผลกระทบด้านคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ การเงินของครอบครัว และผู้ดื่มสุรายังสร้างความรุนแรงต่อกลุ่มเปราะบางอื่น ๆ ในบ้านทั้งเด็ก เยาวชน คนชราและผู้พิการ

  • ผลกระทบจากการดื่มสุราที่มีต่อเด็ก ร้อยละ 16 ของประเทศ เคยได้รับผลกระทบจากการดื่มสุราของคนรอบข้าง โดยปัญหาที่พบมากที่สุด คือ ความรุนแรงในครอบครัวร้อยละ 7.5 ซึ่งความรุนแรงดังกล่าวประมาณร้อยละ 30 – 35 เกิดจากพ่อและแม่ของเด็กที่ดื่มสุราเอง และถ้าคนรอบข้างดื่มหนัก (Binge Drinking) หรือดื่มบ่อย (Regular Drinking) เด็กจะมีโอกาสเกิดผลกระทบเพิ่มสูงขึ้นถึง 4.8 และ 1.9 เท่า ตามลำดับ เมื่อเทียบกับการไม่มีคนรอบข้างดื่มสุรา4

  • จากผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของสามีกับความรุนแรงจากคู่สมรสในผู้หญิงหลังคลอด จำนวน 1,207 คน ในโรงพยาบาลของรัฐ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ในจังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดเลย และจังหวัดชัยภูมิ พ.ศ. 25665 พบว่า หญิงตั้งครรภ์ร้อยละ 4.7 เคยถูกสามีกระทำความรุนแรงขณะตั้งครรภ์ โดยร้อยละ 4.1 เคยถูกกระทำความรุนแรงทางวาจา ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากที่สุด รองลงมาเป็นการถูกกระทำความรุนแรงทางร่างกายร้อยละ 1.1 และการถูกกระทำความรุนแรงทางเพศร้อยละ 0.9 โดยสามีที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นบางครั้งและดื่มหนัก และสามีที่ดื่มประจำและดื่มหนัก จะเพิ่มความเสี่ยงที่ทำให้เกิดความรุนแรงต่อภรรยาที่ตั้งครรภ์ถึง 16.9 เท่า และ 12.8 เท่า ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบกับสามีที่ไม่ดื่มเลย

จากข้อมูลข้างต้น สะท้อนให้เห็นผลกระทบในมิติของความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับเด็กและสตรีจากการดื่มแอลกอฮอล์ของบุคคลในครอบครัวและบุคคลรอบข้าง โดยแอลกอฮอล์มีความสัมพันธ์ที่ทำให้ผู้ดื่มขาดการยับยั่งชั่งใจ ควบคุมตัวเองไม่ได้ รวมทั้งกระตุ้นให้เกิดการทำร้ายร่างกายและการคุมคามทางเพศนั่นเอง ดังนั้น การงด ลด การดื่มแอลกอฮอล์ จึงเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดและยุติความเสี่ยงในการเกิดความรุนแรงต่อคนที่คุณรัก ครอบครัว และสังคม

 

________
เอกสารอ้างอิง

[1] อรทัย วลีวงศ์ และคณะ. (2558). รายงานโครงการศึกษาวิจัย การศึกษาผลกระทบของการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อบุคคลรอบข้างผู้ดื่ม ในประเทศไทย (ระยะที่ 1). ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา.

[2] ธวัชชัย อภิเดชกุล และคณะ. (2561). ลักษณะและผลกระทบของภัยเหล้ามือสองต่อสมาชิกครอบครัวในชนเผ่าลาหู่. ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา.

[3] ไมซาเร๊าะ ขุนรักษ์ หมานระเด็น และคณะ. (2564). พื้นที่ชีวิตของผู้หญิง (Living Space of Women) : ประสบการณ์การเผชิญสถานการณ์ (ปัญหา) ของผู้หญิงกับบุคคลในครอบครัวที่ดื่มสุรา. ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา.

[4] พลเทพ วิจิตรคุณากร และคณะ. (2564). การสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อบุคคลรอบข้างผู้ดื่มในประเทศไทย. ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา.

[5] ไพฑูรย์ สอนทน และคณะ. (2566). ความสัมพันธ์ระหว่างการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของสามีกับความรุนแรงจากคู่สมรสในผู้หญิงหลังคลอดในโรงพยาบาลของรัฐ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข. ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา.

เอกสารประกอบการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้งานวิจัยเชิงสำรวจและเชิงคุณภาพในกลุ่มประชากรที่เข้าถึงยาก
https://cas.or.th/content?id=489
Tags : -

เอกสารประกอบการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้งานวิจัยเชิงสำรวจและเชิงคุณภาพในกลุ่มประชากรที่เข้าถึงยาก

วันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2563 ผ่านระบบ Zoom Cloud Meeting

เทคนิคการสำรวจในกลุ่มประชากรที่เข้าถึงยาก

โดย อ.กนิษฐา ไทยกล้า สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  PDF

หนังสือที่เกี่ยวข้อง (ดาวน์โหลดผ่านการ Scan QR code) PDF

ข้อคำนึงทางจริยธรรมในการวิจัยในประชากรกลุ่มซ่อนเร้น

โดย รศ.พญ.รัศมน กัลยาศิริ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ผู้จัดการศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด PDF

เอกสารประกอบการสัมมนาวิชาการ “การดูแลและป้องกันปัญหาการดื่มสุราในเด็กและเยาวชน”
https://cas.or.th/content?id=490

ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) ร่วมกับ สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) จัดการสัมมนาวิชาการ “การดูแลและป้องกันปัญหาการดื่มสุราในเด็กและเยาวชน” เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2563

ข้อค้นพบและประสบการณ์ตีพิมพ์จากงานวิจัย ก. อาการซึมเศร้า เพศสภาพ และพฤติกรรมการดื่มสุราในวัยรุ่นไทย (ข้อค้นพบจากโครงการสำรวจพฤติกรรมการดื่มสุราฯ ปี 2559) โดย ดร.วิทย์ วิชัยดิษฐ  PDF

 

ข้อค้นพบจากงานวิจัย ข. ผลของความสัมพันธ์ในครอบครัว สมรรถนะส่วนบุคคลและสิ่งแวดล้อมทางสังคมต่อปัญหาการดื่มสุราของวัยรุ่นไทย (ข้อค้นพบจากโครงการศึกษาติดตามนักเรียนมัธยมในประเทศไทยปี 2561 และ ปี 2562) โดย รศ.พญ.รัศมน กัลยาศิริ PDF

บทเรียนจากการทำงานกับเด็กและวัยรุ่นในการสร้างเสริมและป้องกันปัญหาการดื่มสุรา โดย คุณธีระ วัชรปราณี PDF

แนวทางที่มีประสิทธิภาพในการดูแลและป้องกันปัญหาการดื่มสุราในเด็กและวัยรุ่น โดย ผศ.ดร.พญ.รัศมี สังข์ทอง PDF

งานส่งเสริมป้องกันและดูแลเด็กและวัยรุ่นที่มีปัญหาจากการดื่มสุราและปัญหาพฤติกรรมในประเทศไทย โดย พญ.ดุษฎี จึงศิรกุลวิทย์ PDF

 

 

 

ถ้าไม่ขีดเส้นให้ชัด ก็จะถูกรุกล้ำมาเรื่อยๆ
https://cas.or.th/content?id=532
Tags : -

ก่อนสงกรานต์ พ.ศ.2562 ที่ผ่านมา มีการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจอันหนึ่งจากองค์กรแนวร่วมรณรงค์ให้สังคมปลอดภัยจากภัยแอลกอฮอล์ และ ประชาชนกลุ่มหนึ่ง ให้รัฐบาลพิจารณาออกคำสั่งห้ามจำหน่ายแอลกอฮอล์ในวันที่ 13 เมษายน ซึ่งเป็นวันสงกรานต์ใหญ่ ช่วงเวลาของการนำประเด็นนี้มาพูดในวงสาธารณะเริ่มขึ้นประมาณต้นเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง กระแสเลือกตั้งที่มาแรงจึงกลบประเด็นนี้ให้เป็นประเด็นรอง รวมถึงพรรคการเมืองแทบทุกพรรคไปจนถึงรัฐบาล ต่างไม่มีใครกล้านำประเด็นนี้ไปเล่นต่อ นโยบายแบบขัดความสนุกของประชาชนล่อแหลมต่อการเสียคะแนนนิยม ถ้าทู่ซี้ผลักดันขึ้นมาจริง ๆ ในช่วงใกล้สงกรานต์ด้วย คงไม่ดีต่อคะแนนเสียง แต่ถ้าผลักดันเรื่องที่ทำให้คนได้สนุกกันอย่างกัญชาเสรี อันนี้ก็อาจจะถูกใจคนหมู่มากได้ ในมุมมองของคนติดตามเรื่องนโยบายเพื่อป้องกันผลกระทบของแอลกอฮอล์ต่อสังคม ถือว่าสงกรานต์ปีนี้เราไม่มีมาตรการอะไรใหม่ไปกว่าปีที่ผ่านมา เมื่อมาตรการทุกอย่างคงเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คนไทยก็คนเดิม ๆ สงกรานต์ไทยก็แบบเดิม ๆ ก็เดาได้ว่าผลกระทบจากแอลกอฮอล์ในช่วงสงกรานต์ก็น่าจะยังไม่เปลี่ยนอะไรมาก

หนึ่งในเหตุการณ์ที่กระทบกับขวัญกำลังใจบุคลากรสาธารณสุขไทยที่สุดในช่วงสงกรานต์ปีนี้ คือ เหตุการที่วัยรุ่นเข้ามาตีกันในโรงพยาบาล เกิดจากเหตุติดพันที่เกิดขึ้นก่อนหน้า เมื่อนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล ก็ตามสานต่อกันถึงที่ สมัยที่ผมยังเป็นหมอฝึกหัดในโรงพยาบาลประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดที่ขึ้นชื่อเรื่อง ความดุของนักเลงเจ้าถิ่น ทุกครั้งที่อยู่เวรห้องฉุกเฉิน ในความรู้สึกของแพทย์ พยาบาลในห้องฉุกเฉิน เราจะมีประเภทของคนไข้ที่ไม่อยากให้เข้ามาในช่วงที่อยู่เวรเลยคือ

– คนไข้ที่คนเมาที่ประสบอุบัติเหตุมา แม้ว่าจรรยาบรรณทางการแพทย์จะสอนให้เรารักษาคนไข้ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน แต่อดมีอารมณ์ไม่ได้เวลาที่เห็นคนเมาแล้วขับรถจนเกิดอุบติเหตุต้องเข้าห้องฉุกเฉิน ผมมักมีคำถามถามถึงเจ้าหน้าที่ส่งตัวเสมอว่าคนไข้ชนใครมาบ้างไหม ถ้าชนมาก็ยิ่งทำให้เรา (ในตอนนั้น) มีอารมณ์มากยิ่งขึ้น คนไข้กลุ่มนี้นอกจากเมาพูดไม่รู้เรื่อง ไม่ให้ความร่วมมือในการรักษา บางครั้งก็โวยวาย ทำร้ายร่างกายแพทย์ พยาบาลได้ จะให้น้ำเกลือ เจาะเลือดก็ต้องระวังตัวมากกว่าเดิม เพราะเข็มในมือเราพร้อมจะโดนปัดกวาดจากมือเท้าคนไข้อยู่ตลอดเวลา

– คนไข้วัยรุ่นที่ถูกส่งเข้ามาเพราะมีเรื่องทะเลาะวิวาท ซึ่งส่วนมากที่เคยเจอก็มักเมามาด้วย เราต้องระวังอยู่เสมอว่าจะมีใครตามมาเช็คบิล คนไข้เราบนเตียงไหม ห่วงทั้งคนไข้และชีวิตตัวเอง ตอนที่คนไข้ไปแย้ว ๆ ข้างนอกนั่นเราไม่รู้หรอกว่าเขาซ่าขนาดไหนเวลาอยู่กับพรรคพวกตัวเองข้างนอก แต่ตอนนอนบนเตียงถูกเข้ามาในห้องฉุกเฉิน มักนอนหงอยน่าสงสาร ถ้าโดนคู่อริมาบวกเพิ่มคงแย่ทั้งคนรักษาและคนไข้

ชีวิตที่เจอคนไข้เมาแล้วบาดเจ็บจากทั้งสองกรณีเข้ามาในโรงพยาบาลเกือบทุกครั้งที่อยู่เวร จนตอนนั้นตั้งปณิธานกับตัวเองเลยว่า ถ้าเป็นไปได้ไม่อยากเจอคนเมาในห้องฉุกเฉินอีกแล้ว ซึ่งปณิธานนี้ได้บรรลุเรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันผมไม่ได้ออกตรวจในห้องฉุกเฉินมาหลายปี เลยไม่ได้เจอคนไข้ประเภทนี้เลย แต่ก็ได้ทำงานอีกรูปแบบหนึ่งที่จะช่วยให้เพื่อนร่วมวิชาชีพของผมตอนนี้ได้พบกับปัญหาจากคนเมาลดลง นั่นคือการเป็นนักวิชาการด้านนโยบายแอลกอฮอล์ ถ้าทำได้สำเร็จตามความตั้งใจจริง ๆ คงลดคนไข้เมาแล้วขับ เมาแล้วทะเลาะวิวาทได้หลายแสนคนต่อปี นั่นคือความฝันที่อยากให้เป็นจริงนะครับ

เล่าถึงความรู้สึกที่โดนคุกคามในห้องฉุกเฉินเพิ่มนิดหนึ่ง เผื่อให้คนที่ไม่ใช่แพทย์พยาบาลได้นึกออก โดยทั่วไปแล้วห้องฉุกเฉินของรพ.ประจำจังหวัดมักเป็นสถานที่ที่มีความวุ่นวายตลอดเวลา นอกจากต้องรับคนไข้ฉุกเฉินในพื้นที่ใกล้เคียงกับรพ.แล้ว ยังต้องรับคนไข้หนักที่โรงพยาบาลประจำอำเภอดูแลไม่ได้เข้ามารักษาต่อในโรงพยาบาลจังหวัด ในวันปกติความวุ่นวายก็จะพอดีกับอัตรากำลังแพทย์ พยาบาล ที่จัดไว้ แต่ถ้าถึงช่วงเทศกาลเมื่อไหร่ ความวุ่นวายจะเพิ่มเป็นทวีคูณ ใคร ๆ ก็อยากหยุดงานในวันเทศกาลทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ทำงานโรงพยาบาล งานอื่น ๆ ถึงวันหยุดก็หยุดพักผ่อน ไม่ต้องทำงานก็ไม่กระทบใคร แต่เมื่อถึงวันหยุดยาว วันที่คนเดินทางกันมากขึ้น คนสังสรรค์กันมากกว่าปกติ อุบัติเหตุก็มากกว่าปกติ คนไข้ก็มากขึ้นด้วย แต่จำนวนคนทำงานในโรงพยาบาลลดลงจากวันปกตินะครับ หมอ พยาบาลที่จับฉลากต้องอยู่เวรในช่วงเทศกาลเลยน่าสงสารสุดด้วย

ประการฉะนี้ ในความรู้สึกของเจ้าหน้าที่ เขาคิดว่าการเดินทางมาทำงานเพื่อช่วยเหลือชีวิตคนไข้ก็ถือว่าเสียสละมากแล้ว โดยเฉพาะช่วงเทศกาลหยุดยาวที่คนไข้มากขึ้นงานหนักขึ้น แต่หากต้องได้รับบาดเจ็บ หรือ เสียชีวิตจากการมาทำงาน ก็คงเป็นเรื่องสะเทือนขวัญกำลังใจอย่างที่สุด ประเทศเราเคยมีเหตุความรุนแรงในห้องฉุกเฉินตั้งแต่ บุกเข้ามามีเรื่องทำร้ายเจ้าหน้าที่โดยตรง ไปจนถึงมีเรื่องกันยังไม่จบก็พาพรรคพวกมาสาดอาวุธกันที่โรงพยาบาล โดยไม่สนใจว่าผู้ป่วยคนอื่นและเจ้าหน้าที่จะได้รับผลกระทบอะไรบ้าง

คราวนี้ลองมาดูว่าสาเหตุของความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล เราจะพบว่าจากเหตุการตัวอย่างที่เรายกขึ้นมานำเสนอ สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการใช้ความรุนแรงมีปัจจัยจาก 2 ส่วน อันหนึ่งคือตัวผู้รับบริการ และ อีกส่วนหนึ่งคือคุณภาพของการบริการ ในส่วนปัจจัยที่เกิดจากผู้รับบริการ มีกรณีของวัยรุ่นเข้ามาต่อยตีกันในโรงพยาบาลหลายกรณี หากตามไปอ่านในรายละเอียดของแต่ละกรณี ก็จะพบว่าผู้ก่อเหตุกลุ่มนี้มักมีอาการเมาสุราด้วย

เคยมีนักวิจัยในไทยทำการสำรวจเรื่องลักษณะการใช้ความรุนแรงในสถานพยาบาล (นภัสวรรณ พชรธนสาร, 2560) ซึ่งพื้นที่การศึกษาอยู่ในเขตจังหวัดภาคตะวันออกของไทย ก็พบว่า ร้อยละ 60 ของบุคลากรใน รพ. เคยได้รับประสบการณ์ตรงเรื่องความรุนแรงในสถานพยาบาล ร้อยละ 80 ของเหตุความรุนแรงมักเกิดขึ้นในห้องฉุกเฉิน และ สองสาเหตุสำคัญที่สุดที่เป็นเหตุให้มีการใช้ความรุนแรงคือ รอรับการบริการที่นานเกินไป (ร้อยละ 77) และ เมาสุรา (ร้อยละ 70)

ผมคงไม่ลงรายละเอียดในเรื่องคุณภาพการบริการมากนัก เนื่องจากไม่มีความเชี่ยวชาญโดยตรง แต่จะคุยกันให้ตกผลึกว่าเราจะร่วมกันสร้างความปลอดภัยให้กับบุคลากรในสถานพยาบาลจากคนเมาได้อย่างไร

ปัญหาอยู่ตรงไหน?

ผมจะเชื่อมโยงแค่สองอย่างคือ ความรุนแรงในสถานพยาบาลและคนเมาเท่านั้น เพื่อให้เกิดข้อเสนอทางนโยบายในประเด็นนี้ได้ คนไทยตอนนี้อยู่ในสังคมที่ว่า หากมีชีวิตอยู่นานพอ จะต้องเคยได้รับผลกระทบจากคนเมา จากการสำรวจประชาชนไทย พบว่า 8 ใน 10 เคยมีประสบการณ์ได้รับผลกระทบจากภัยแอลกอฮอล์มือสอง ภัยของแอลกอฮอล์มือสองได้ขยายขอบเขตลุกลามไปยังพื้นที่ที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะไปถึงได้ เมื่อพูดถึงภัยแอลกอฮอล์มือสอง ในสามัญสำนึกของคนไทยคงเข้าใจว่าผู้ได้รับผลกระทบนั้นควรใกล้ชิดกับแอลกอฮอล์มากพอ คนที่ควรจะได้รับความเดือดร้อนจากคนเมา ควรเป็นคนที่มีบ้านเรือนใกล้แหล่งบันเทิงที่มีคนดื่มกินกันมาก ๆ โดยเฉพาะแหล่งที่วัยรุ่นมั่วสุม คนที่ทำงานในสถานบันเทิงที่อาจถูกลวนลามโดยคนเมา คนที่ขายเหล้า (ร้านเหล้าที่ขายกลางคืนมักปิดประตูมิดชิดด้วยเหตุนี้) ภรรยาและครอบครัวของนักดื่ม เป็นต้น คนที่ไม่ได้อยู่ในวงใกล้ชิดกับการดื่มแอลกอฮอล์นั้นอยู่ไกลจากสามัญสำนึกของเราว่าจะเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากแอลกอฮอล์ แต่ในปัจจุบัน มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว ผลกระทบจากภัยแอลกอฮอล์มือสองได้รุกล้ำไปยังหลายเขตหลายพื้นที่ ที่สังคมไม่คาดว่าจะมี แต่มันเกิดขึ้น นอกจากสถานพยาบาลที่พื้นที่เชิงจินตภาพค่อนข้างไกลจากนักดื่ม หมายความว่า คงไม่มีคนปกติคนไหนพาเหล้าไปดวดดื่มกันในโรงพยาบาลให้เมากัน เพราะภาพของโรงพยาบาลกับเหล้ามันไปด้วยกันไม่ได้ แต่อย่างที่ปรากฏในหลายกรณี ทุกวันนี้เรามีคนเมาเข้าไปสร้างความเดือดร้อนให้คนป่วยและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลได้ เมื่อไม่กี่เดือนก่อน วัด กับ โรงเรียน ซึ่งถือเป็นสองสถานที่ที่ไม่ควรสัมพันธ์กับแอลกอฮอล์ หรือสมควรจะได้รับความเดือดร้อนจากแอลกอฮอล์ ก็กลายเป็นพื้นที่ที่ถูกรุกล้ำให้ได้รับผลกระทบจากภัยแอลกอฮอล์มือสองไปแล้ว

เมื่อไม่ขีดเส้นให้ชัดเจนว่า ต้องมีพื้นที่พิเศษบางอย่างที่ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะเกิดเหตุจากคนเมาขึ้น อนาคตคงพอเห็นภาพว่าจะมีเหตุแบบนี้เกิดขึ้นเรื่อย ๆ

จะขีดเส้นอย่างไรให้คมชัดและได้ผลจริง

ในตรรกะขั้นนี้เราต้องตกลงกันก่อนว่าแอลกอฮอล์ไม่ใช่สินค้าธรรมดา เป็นสินค้าพิเศษที่ต้องควบคุม หากการควบคุมมันไม่มีประสิทธิภาพ ความพิเศษของมันก็จะทำให้เกิดผลเสียต่อสังคมโดยรวม สังคมที่เจริญทางความคิดก็ค้าขายแอลกอฮอล์กันได้ แต่วิธีควบคุมนั้นต้องมี

ความรุนแรงจากแอลกอฮอล์ที่รุกล้ำเข้าในสถานที่พิเศษดังกล่าว เป็นผลพวงจากการควบคุมแอลกอฮอล์ในพื้นที่ปกติของมันไม่ได้ หากควบคุมได้มันคงไม่ออกมาสร้างความเดือดร้อนภายนอกพื้นที่ที่จำกัดมันไว้ ดังนั้นหากเรากำลังคิดจะหาวิธีที่ที่ทำให้สถานพยาบาล วัด หรือ โรงเรียน ปลอดภัยจากภัยแอลกอฮอล์มือสอง การแก้ปัญหาไม่ใช่การไปจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัยเพิ่ม สร้างรั้วให้แน่นหนาขึ้น หรือ ทำที่ตรวจจับอาวุธก่อนเข้าสถานที่ทั้งสามนี้ แต่วิธีการที่ดีกว่าในการจัดการแก้ปัญหานี้คือการควบคุมแอลกอฮอล์ในพื้นที่ที่มันถูก ซื้อ ขาย และ ดื่ม ให้ดี

ในช่วงวันปกติ เรามีมาตรการควบคุม โดยการจำกัดเวลาขาย จำกัดสถานที่ขาย จำกัดอายุผู้ซื้อ มาตรการเหล่านี้ถ้าบังคับใช้อย่างจริงจังก็คงลดปัญหาได้มาก แต่ในทางปฏิบัติเราพบว่าร้านค้าปลีกในประเทศมีมากเกินกว่าจำนวนผู้บังคับกฎหมายที่จะกวดขันได้หลายเท่า ร้านค้าปลีกตามชุมชนจึงไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบนี้ ในต่างประเทศจึงมีการเพิ่มระเบียบพิเศษว่าด้วยการร่วมรับผิดชอบของร้านค้าที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้นักดื่มที่ออกไปก่อความเสียหายนอกร้าน (Dram shop liability) กลไกลนี้จะช่วยทำให้ร้านค้าต้องกวดขันระเบียบให้มากขึ้น ไม่จำหน่ายให้กับเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ไม่จำหน่ายให้บุคคลที่มีท่าทีจะทำอันตรายต่อสังคมหากมีอาการมึนเมา เช่น คนขับรถมาด้วยตัวเอง

แต่ในช่วงเทศกาลที่คนรวมตัวกันมากขึ้น กิจกรรมมีมากกว่าช่วงปกติ มีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่สาธารณะมากขึ้น มีการเดินทางไปและกลับจากบ้านมายังพื้นที่สาธารณะ มีการพบปะของกลุ่มคนที่มาจากต่างที่ต่างถิ่น ร่วมกับการมีอาการมึนเมาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การจัดการปัญหาที่จะตามมาจึงกลายเป็นเรื่องซับซ้อน เราจึงมีทางเลือกไม่กี่ทางสำหรับการแก้ไขปัญหานี้

ทางเลือกแรก คือ แก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ เตรียมรับความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นจากการดื่มแอลกอฮอล์ ในทุกสถานที่ ทุกสถานการณ์ ทุกเวลา ความรับผิดชอบจะกลายเป็นของประชาชนแทบทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ที่มีการให้ดื่ม หรือ ไม่มีการให้ดื่ม

ทางที่สอง คือจัดการทดลองมาตรการควบคุมต่าง ๆ ให้เข้มงวดขึ้น ห้ามขายแอลกอฮอล์ตามเวลาที่กำหนด ห้ามขายให้คนอายุไม่ถึง จำกัดปริมาณ เรามีเวลาในการทำสิ่งนี้มานานหลายปี และเห็นได้ชัดว่าไม่ได้ลดปัญหาลง

ทางที่สาม คือ งดเว้นการขายในช่วงเทศกาลไปเลย แม้จะดูเป็นทางเลือกที่สุดโต่ง แต่ไม่ใช่ทางเลือกที่ไร้เหตุผล การขายแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาลก่อปัญหาตามมามากมาย ถ้าไม่มีมาตรการทดลองทางสังคมที่ใหญ่พอก็ไม่มีทางทราบได้ว่าสรุปแล้วปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลนั้นมีมูลเหตุที่แท้จริงจากแอลกอฮอล์หรือไม่ ทางเลือกนี้มีรายละเอียดคือ ห้ามการซื้อขายในช่วงเทศกาล ใครอยากดื่มอยากฉลองก็วางแผนซื้อให้เสร็จสิ้นก่อนเข้าช่วงเทศกาล การซื้อก่อนเทศกาลจะทำให้การดื่มมีแบบแผนมากขึ้น อย่างน้อยก็ลดการขับรถออกจากบ้านมาดื่มกินข้างนอกได้ ต่อมาคือ การห้ามการดื่มในที่สาธารณะ หากจะดื่มก็ไปดื่มพื้นที่ส่วนตัว ปัญหาของช่วงเทศกาลคือคนมารวมตัวกันมาก แอลกอฮอล์ได้ลดระดับความยับยั้งชั่งใจของคน ถ้ามีแค่ 1 เปอร์เซ็นที่เข้าร่วมเทศกาลหนึ่ง ๆ ที่เสียการควบคุมสติสัมปชัญญะก็ถือว่ามีคนจำนวนมากพอจะทำให้เกิดความเสียหายใหญ่ ๆ แล้ว เทศกาลหนึ่งที่มีคนเข้าร่วมเฉลี่ย 5,000 นับที่ 1 เปอร์เซ็น ก็ 50 คนแล้ว คนจำนวนเท่านี้ที่ขาดความยับยั้งชั่งใจ มองหน้าเขม่นกันก็ตีกันฆ่ากันให้ตายได้ จะตามไปทำร้ายคนในวัด ในบ้านพัก ในโรงพัก ในโรงพยาบาลก็ทำได้หมด เพราะสามัญสำนึกขาดหายไป เมื่อสร่างเมาก็เศร้าโศกเสียใจกับสิ่งที่ตนทำ เหมือนกรณีที่หนุ่มวัยรุ่นใช้ขวดปากฉลามแทงเข้าคอของพลทหารที่เข้าไประงับเหตุทะเลาะวิทวาทจนเสียชีวิตในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมานี่เอง

นี่คือกระบวนการที่สังคมต้องรีบขีดเส้นให้ชัด ว่าเส้นแบ่งของแอลกอฮอล์ในสังคมควรอยู่ที่ใด และ ที่ใดที่ไม่ควรให้ปัญหาจากแอลกอฮอล์ไปปรากฎอยู่ ถ้าไม่รีบทำก็เตรียมใจได้ล่วงหน้า ว่าอนาคตคงจะมีเรื่องแย่ ๆ ในสถานที่ที่ไม่ควรจะเกิดไปเรื่อย ๆ ครับ

 

อิทธิพลของความเชื่อทางการเมือง ต่อพฤติกรรมสุขภาพ (ตอนที่ 1)
https://cas.or.th/content?id=541

โดย…ดร.นพ.มูฮัมมัดฟาห์มี ตาเละ

ผมเขียนบทความชิ้นนี้ ในขณะที่ทั่วประเทศกำลังเผชิญหน้ากับทางแพร่งของการเลือกข้างทางการเมืองที่สำคัญครั้งหนึ่งของประเทศชาติ ในยามที่โลกทั้งใบกำลังเผชิญหน้ากับโรคระบาดครั้งใหญ่ในรอบหนึ่งร้อยปี ในอนาคตอันใกล้นี้วิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดในโลกในรอบหลายร้อยปีจะถาโถมเข้าสู่รัฐเล็กรัฐใหญ่ในโลกอย่างไม่เลือกหน้า Globalization ที่ได้กลายเป็นทางเลือกหลักในการพัฒนาโลกตั้งแต่หลังยุครัฐชาติ ได้เชื่อมโลกทั้งใบไว้มากกว่าช่วงสมัยใด ๆ ของมนุษยชาติ ได้กลายเป็นสาเหตุสำคัญที่จะทำให้วิกฤตโลกนั้นกระทบต่อกันอย่างที่เห็น เมื่ออนาคตอันใกล้มีวิกฤตขนาดใหญ่เช่นนี้ จึงไม่แปลกอะไรที่ผู้คนจะตั้งคำถามถึงแนวคิดทางการเมืองที่จะนำคนในชาติเผชิญหน้ากับวิกฤต เหตุผลที่สำคัญมาก ๆ ที่ต้องเลือกแนวคิดทางการเมืองแบบใดแบบหนึ่งในการเผชิญหน้ากับภาวะคุกคามก็เพราะความหมายที่แท้จริงของการเมืองนั้นคือ แนวคิดในการบริหารทรัพยากรในสังคมใดสังคมหนึ่ง หากมีมนุษย์รวมกลุ่มมากกว่าหนึ่งคน เป็นธรรมชาติของการอยู่ร่วมกันที่ต้องสร้างระบบการเมืองขึ้นมาเพื่อให้ทรัพยากรถูกแจกจ่าย และ ผู้ในในสังคมนั้น ๆ อยู่รอดมากที่สุด อำนาจทางการเมืองจะถูกแปรรูปไปเป็นอำนาจอื่น ๆ อีกหลากหลายรูปแบบ จึงไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไรที่คนรุ่นใหม่หลายพันหลายหมื่นคนทั่วประเทศ จะออกมาเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เพื่อความหวังที่จะมีชีวิตที่ดีกว่า แกนเรื่องสำคัญที่ดึงดูดคนจำนวนมากให้ออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องเดียวกันอย่างพร้อมเพรียงกันมิใช่สิ่งอื่นใด นอกจากแกนความคิดทางการเมือง ตัวอย่างเพียงหนึ่งเดียวนี้พอจะแสดงให้เห็นได้ว่า เรื่องการเมืองมันสำคัญต่อจินตนาการของผู้คน และสำคัญต่อระเบียบชีวิตของผู้คนบนโลกนี้เช่นไร  

          ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา โลกผ่านการถกคิดและการต่อสู้ของแนวคิดทางการเมืองครั้ง สำคัญของคู่ตรงข้ามทางความคิดการเมืองมาหลายครั้งรวมไปถึงการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางการเมืองทั้งหลาย แม้เหตุผลที่แท้จริงจะไม่ชัดเจนและไม่ใช่สิ่งที่พิสูจน์ด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์ได้ง่าย แต่เชื่อว่าการปฏิวัติทุกครั้งในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานั้น ปรัชญาทางการเมืองได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการหลอมความคิดคนร่วมสร้างจินตนาการแห่งชีวิตให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

ไม่ว่าจะเป็นค่านิยมทางการเมืองแบบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ประชาธิปไตย สังคมนิยม เสรีนิยม อำนาจนิยม เผด็จการนิยม คอมมิวนิสต์ ศาสนานิยม อนุรักษ์นิยม ล้วนแล้วแต่มีปรัชญาที่ร้อยเรียงจินตนาการร่วมของผู้สนับสนุนให้เป็นเนื้อเดียวกันได้ ความเชื่อทางการเมืองได้สร้างแบบแผนของการดำเนินชีวิตจากจินตนาการถึงคุณค่าสำคัญของความเชื่อทางการเมืองนั้น ๆ (core value) จึงเป็นเหตุให้ผู้คนที่มาจากสังคมที่นับถือคนละความเชื่อทางการเมือง มีแนวโน้มที่จะมีความคิด จินตนาการต่อชีวิต และรูปแบบการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน รูปแบบชีวิตในที่นี้หมายถึงรูปแบบชีวิตของคนส่วนมากในทุก ๆ เรื่อง

การยกตัวอย่างเปรียบเทียบที่ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดคงต้องเปรียบเทียบประชากรของประเทศที่ปกครองคนละระบอบการเมืองที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง เช่น หากเรานึกถึงสภาพโดยทั่วไปของชายหนุ่มที่เกิดและเติบโตในประเทศสหรัฐอเมริกา และ สภาพโดยทั่วไปของชายหนุ่มที่เกิดและเติบโตจากประเทศเกาหลีเหนือ แม้เราที่อยู่ประเทศไทยจะไม่เคยเดินทางไปทั้งประเทศสหรัฐอเมริกาและเกาหลีเหนือ แต่จินตนาการจากข้อมูลที่เรารับรู้ที่ผ่านมา จะพอทำให้เราคาดเดาได้ว่า ชายหนุ่มจากสหรัฐอเมริกา น่าจะมีบุคลิคนิสัยเป็นอย่างไร ให้คุณค่ากับเรื่องอะไรบ้าง รวมไปถึง น่าจะมีพฤติกรรมและรูปแบบการใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง ในขณะเดียวกันหากเราคิดต่อในประเด็นเดียวกันกับชายหนุ่มจากเกาหลีเหนือ คงพบคำตอบคล้ายกันกับผมที่คิดว่า ชายหนุ่มจากเกาหลีเหนือโดยทั่วไปแล้ว คงมีบุคลิกนิสัยใจคอแตกต่างจากอเมริกัน สิ่งที่เขาให้คุณค่าน่าจะต่างกัน รวมไปถึงพฤติกรรมและรูปแบบการใช้ชีวิตในแต่ละวันก็ต่างกันกับอเมริกันหนุ่ม โชคดีที่ผมมีโอกาสได้สัมผัสพบเจอชายหนุ่มทั้งจากเกาหลีเหนือและสหรัฐอเมริกา ทำให้ผมพิสูจน์ได้ว่า ข้อสันนิษฐานในเรื่อง ค่าเฉลี่ยในจินตนาการของผมต่อคนพลเมืองสองประเทศนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจริง ๆ

          คราวนี้กลับมาในเรื่องพฤติกรรมสุขภาพ ซึ่งเป็นใจความหลักของเนื้อหาในบทความนี้ มีนักวิจัยช่างสังเกตจำนวนหนึ่งได้ตั้งคำถามว่า หากรูปแบบการเมืองที่ใช้ปกครองส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนภายใต้ระบอบการปกครองนั้น ๆ  แล้ว สำหรับพฤติกรรมทางสุขภาพ ความเชื่อทางการเมืองส่งผลอย่างไรกับประเด็นนี้บ้าง ก่อนจะไปที่ผลการสำรวจและการศึกษาที่เคยผ่านมา อยากลองให้ผู้อ่านทุกท่านได้ลองจินตนาการดู เอาแค่พฤติกรรมสุขภาพไม่กี่เรื่องก็พอครับ เรื่องการรับประทานอาหาร การออกกำลัง กายสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์ ท่านผู้อ่านคิดว่ารูปแบบการเมืองของรัฐชาติใดรัฐชาติหนึ่ง จะส่งผลต่อพฤติกรรมสุขภาพของคนในรัฐนั้น ๆ อย่างไร ลองใส่ความคิดเห็นของท่านลงในตารางช่องว่างข้างล่างนี้ดูนะครับ

  รับประทานอาหาร ออกกำลังกาย สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์
สังคมนิยม        
คอมมิวนิสต์        
ประชาธิปไตย        
ศาสนานิยม        
สมบูรณาญาสิทธิราชย์        

ในปี ค.ศ. 2000 J J Murrow และ คณะ (1) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ของความเชื่อทางการเมือง และพฤติกรรมสุขภาพ สมมติฐานที่เขาตั้งขึ้นมาก็คงคล้ายกับคนขี้สงสัยหลายคนในโลกว่า ถ้าคนเราอยู่ภายใต้รูปแบบการปกครองและกระแสความเชื่อทางการเมืองที่ต่างกัน จะมีพฤติกรรมสุขภาพเป็นแบบไหนและเป็นอย่างไร แม้หน้าที่หลักของรัฐบาลใด ๆ ในโลกจะต้องดูแลสวัสดิภาพ (ซึ่งรวมไปถึงสุขภาพ) ของประชาชนเหมือนกัน แต่หากแนวคิดทางการเมืองต่างกัน การจัดลำดับความสำคัญในแต่ละสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจะแตกต่างกันด้วย ในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นพื้นที่ศึกษาของงานวิจัยชิ้นนี้แม้จะอยู่ในระบอบปกครองแบบประชาธิปไตย แต่ในประเทศก็มีแนวคิดทางการเมืองที่แตกต่างกัน เช่น เสรีนิยม – อนุรักษ์นิยม ซึ่งให้คุณค่าในหลายสิ่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นิยามสำคัญของความเป็นเสรีนิยม คือ ความก้าวหน้า ความคิดเปิดกว้าง เปิดรับความหลากหลาย กล้าคิดกล้าทำ พร้อมเปลี่ยนแปลง เสรีนิยมมักตามด้วยการเปิดตลาดเสรีเพื่อให้เกิดการแข่งขันสูงสุด และให้ตลาดควบคุมตัวเอง  ส่วนเมื่อเอ่ยถึงอนุรักษ์นิยม นิยามของคำนี้คือ เชื่อมั่นในการปกครองอย่างผูกขาดโดยคนชั้นสูง (aristocratic ideology) เชื่อในการเมืองเชิงประจักษ์ หรือ เรียกว่าไม่โลกสวยทางการเมือง (political pragmatism) คำนึงถึงบริบทและสถานการณ์มากกว่าอุดมการณ์ที่เกินจริง เชื่อในเรื่องการควบคุมความคิดและพฤติกรรม  วิธีการสำรวจที่ทีมวิจัยนี้ได้ทำคือการไปสัมภาษณ์เก็บข้อมูลกลุ่มตัวอย่างประมาณ 4,200 คน สอบถามพวกเขาด้วยคำถามสองกลุ่มคือ คำถามกลุ่มแรกคือกลุ่มคำถามเกี่ยวกับการให้คุณค่าในสิ่งต่าง ๆ (self-report characterizations) ซึ่งใช้เพื่อแยกกลุ่มตัวอย่างออกตามแนวคิดทางการเมืองที่กลุ่มตัวอย่างนับถือ แบ่งออกเป็นสามกลุ่มคือ อนุรักษ์นิยม ทางสายกลาง และเสรีนิยม

คำถามกลุ่มสองเป็นคำถามเกี่ยวกับพฤติกรรมสุขภาพ โดยถามทั้งในพฤติกรรมสุขภาพด้านบวก เช่น การให้คุณค่าต่อตัวเอง การดูแลตัวเอง เป็นต้น และคำถามที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มพฤติกรรมสุขภาพที่เป็นด้านลบต่อสุขภาพ เช่น การรับประทานอาหาร การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น

ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่เป็นอนุรักษ์นิยมเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างระมัดระวังในการมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการระมัดระวังต่อปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพด้านสิ่งแวดล้อม กฎหมาย โครงสร้างสังคม กลุ่มที่มีค่านิยมทางการเมืองแบบสายกลางโดดเด่นในด้านการเคารพต่อตัวเอง เชื่อมั่นในคุณค่าของตัวเอง (Self-actualization) และมีแนวโน้มที่จะสนใจเรื่องพฤติกรรมสุขภาพด้านบวกน้อยที่สุด ในขณะที่กลุ่มตัวอย่างที่มีค่านิยมทางการเมืองแบบเสรีนิยม เป็นกลุ่มที่ใส่ใจเรื่องความเสี่ยงทางสุขภาพและปัจจัยการป้องกันสุขภาพของปัจเจกบุคคล (ตนเอง) สูงสุด

          ขยับไปดูการศึกษาจากประเทศที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยบ้าง สังคมนิยม และ แนวทางคอมมิวนิสต์ เคยเป็นปฏิปักษ์สำคัญของแนวทางการปกครองแบบประชาธิปไตย อันที่จริงแล้ว แนวทางทั้งสองต่างถกกันเรื่องสิทธิในการกระจายอำนาจแก่ผู้คนหมู่มากในสังคมทั้งสิ้น แต่ในทางปฏิบัติการกระจายอำนาจของทั้งสองรูปแบบแตกต่างกัน คอมมิวนิสต์ได้กลายเป็นระบอบการปกครองหลักของประเทศในฝั่งยุโรปตะวันออก จากอิทธิพลของการปฏิวัติของบอลเชวิคในรัสเซีย คอมมิวนิสต์ได้รื้อถอน ค่านิยมเดิมในสมัยก่อนโซเวียต อันได้แก่ ระบอบเจ้าขุนมูลนายในสมัยการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ภายใต้ราชวงศ์โรมานอฟของรัสเซีย คำสอนทางศาสนาแบบคริสต์นิกายออโธดอกซ์ ข้อค้นพบจากการเก็บข้อมูลอย่างกว้างขวางของนักวิจัยในยุคสมัยนั้นพบว่า การเปลี่ยนระบอบการปกครองในช่วงเวลานั้น ได้ก่อให้เกิดพฤติกรรมลบต่อสุขภาพหลายอย่าง และ หนึ่งในวัฒนธรรมใหม่ที่เกิดขึ้นหลังคอมมิวนิสต์คือการดื่มเหล้าอย่างหนักของคนในสังคมรัสเซีย (2,3) หนึ่งในข้อสันนิษฐานที่กล่าวถึงกันคือ สังคมใดก็ตามที่มีการอุปถัมภ์ของรัฐในระดับสูง จะลดปราถนาต่อการมีสุขภาพที่ดีของปัจเจกบุคคล และแน่นอนว่าระบอบคอมมิวนิสต์ที่รัฐเป็นผู้จัดการทุกสิ่ง ทำให้ประชาชนเชื่อว่า หากวันหนึ่งเจ็บไข้ได้ป่วย รัฐก็ต้องช่วยรับผิดชอบความเจ็บป่วยนั้น จนละเลยการสร้างพฤติกรรมสุขภาพที่ดี (4) และอีกเหตุผลสำคัญคือ ความเชื่อการเมืองแบบคอมมิวนิสต์นั้นปฏิเสธความเชื่อทางศาสนาทั้งหมด ซึ่งทำให้ผู้คนในสหภาพโซเวียตดื่มวอดก้าและสูบบุหรี่มากขึ้น (5)

เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายกลายเป็นประเทศเล็กประเทศน้อยกว่าสิบหกประเทศ นักระบาดวิทยาก็ยังคงตั้งคำถามในประเด็นเดิมว่า ในกลุ่มประเทศที่แยกออกมาจากรัสเซีย ความเป็นสังคมนิยมและความเป็นประชาธิปไตยในแต่ละประเทศจะส่งผลต่อพฤติกรรมสุบภาพอย่างไร ก็พบคำตอบคล้ายเดิมคือ ประเทศที่มีแนวโน้มเป็นสังคมนิยมมากกว่า ประชาชนในประเทศมีแนวโน้มจะดูแลรักษาสุขภาพตัวเองได้น้อยกว่า คนที่นิยมในแนวทางสังคมนิยมมีแนวโน้มจะดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าเมื่อเทียบกับคนต่อต้านสังคมนิยม (3) นอกจากนั้นคนที่ต่อต้านคอมมิวนิสต์มักมีไลฟ์สไตล์ด้านสุขภาพที่ดีมากกว่าเมื่อเทียบกับคนที่นิยมในคอมมิวนิสต์ (2)   

จะเห็นได้ว่า แค่ค่านิยมทางการเมืองที่แตกต่างกัน ก็ทำให้คนมีพฤติกรรมสุขภาพแตกต่างกัน แม้ว่าคนจะอยู่ในภูมิภาคหรือชาติพันธ์เดียวกัน แต่เพียงแค่ต่างเวลาต่างการปกครอง ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพแล้ว บทความตอนนี้ขอนำเสนอเกริ่นไว้ก่อน ว่าแนวคิดทางการเมืองที่ใช้สร้างนโยบาย กฎหมาย และ รูปแบบการปกครอง ส่งผลต่อวิถีชีวิตของคนมากขนาดไหน สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานด้านการส่งเสริมและป้องกันสุขภาพ ก็จะได้เห็นภาพชัดขึ้นว่า แนวทางทางการเมืองที่แบบใดจะก่อให้เกิดความคิดตอบสนองต่อประชาชนและสร้างพฤติกรรมสุขภาพแบบไหน เราจะได้นำกลับไปคิดและวางแผนให้เหมาะสมกับบริบทแนวคิดทางการเมืองที่มีอิทธิพล ณ ห้วงเวลานั้น ๆ ครับ ตอนต่อไป ผมจะนำเสนอข้อค้นพบจากการสำรวจแนวคิดทางการเมืองและพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์จากการรวบรวมข้อมูลมากกว่า 50 ปี ในประเทศสหรัฐอเมริกา น่าสนใจมากครับ ติดตามอ่านตอนต่อไปในเร็ว ๆ นี้ครับ

เอกสารอ้างอิง

  1. Murrow JJ, Coulter RL, Coulter MK. Political ideologies and health-oriented beliefs and behaviors: an empirical examination of strategic issues. J Health Hum Serv Adm. 2000;22(3):308-345.
  2. Cockerham WC, Hinote BP, Cockerham GB, Abbott P. Health lifestyles and political ideology in Belarus, Russia, and Ukraine. Soc Sci Med. 2006 Apr 1;62(7):1799–809.
  3. Cockerham WC, Snead MC, DeWaal DF. Health Lifestyles in Russia and the Socialist Heritage. J Health Soc Behav. 2002;43(1):42–55.
  4. Shkolnikov VM, Cornia GA, Leon DA, Meslé F. Causes of the Russian mortality crisis: Evidence and interpretations. World Dev. 1998 Nov 1;26(11):1995–2011.
  5. Population NRC (US) C on, Bobadilla JL, Costello CA, Mitchell F. The Anti-Alcohol Campaign and Variations in Russian Mortality [Internet]. Premature Death in the New Independent States. National Academies Press (US); 1997 [cited 2020 Aug 5]. Available from: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK233403/
รายงานสถานการณ์การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายจังหวัด พ.ศ. 2564
https://cas.or.th/content?id=33

การสำรวจพฤติกรรมการสูบบุหรี่และดื่มสุราของประชากรเป็นโครงการสำรวจประเด็นการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่สำคัญและใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ข้อมูลที่ได้รับครอบคลุมตั้งแต่ความชุกของการบริโภค ผลกระทบต่าง ๆ และประเด็นทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

โดยปกติแล้ว สำนักงานสถิติแห่งชาติจะจัดทำรายงานในระดับประเทศ ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากในการมองภาพรวมของสถานการณ์ในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม คณะผู้จัดทำเล็งเห็นถึงศักยภาพของข้อมูลที่สามารถนำมาใช้รายงานในระดับจังหวัด เพื่อสร้างแรงขับเคลื่อนในระดับที่ลึกลงไป

ข้อมูลจากรายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลที่ช่วยให้ภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะในระดับจังหวัด รวมถึงประชาชน สามารถนำไปใช้อ้างอิงและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงประเมินผลกระทบต่าง ๆ และวางแผนดำเนินงานสำหรับการรณรงค์ในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.)

Centre for Alcohol Studies (CAS)

สาขาวิชาระบาดวิทยา ชั้น 6 อาคารบริหารคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เลขที่ 15 ถนนกาญจนวนิช ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 90110

083-5775533

https://www.facebook.com/cas.org.th

เข้าชมแล้ว 0 ครั้ง
Copyright © 2025 CAS All rights reserved.