คำค้นหา : มาตรการป้องกัน

คำนี้ค้นหามาแล้ว : 95 ครั้ง
นักวิชาการ เตือนทุก 10 วินาที มีคนตายจากน้ำเมา 1 คน ชี้ “แอลกอฮอล์” ปัจจัยเร่งป่วยโรค NCDs เกินครึ่งป่วยไม่รู้ตัว
https://cas.or.th/content?id=1035

นักวิชาการ เตือนทุก 10 วินาที มีคนตายจากน้ำเมา 1 คน ชี้ “แอลกอฮอล์” ปัจจัยเร่งป่วยโรค NCDs เกินครึ่งป่วยไม่รู้ตัว สร้างความเสี่ยหายทางเศรษฐกิจ 1.65 แสนล้านบาท สสส.-ศวส. หนุนมาตรการป้องกันที่เหมาะสมกับบริบทพื้นที่-บูรณาการทุกภาคส่วน หวังลดผลกระทบจากน้ำเมา

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 11 ธ.ค. 2568 ที่โรงแรมเบสเวสเทิร์น กรุงเทพฯ ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) ร่วมกับ สมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อแห่งประเทศไทย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเวทีสาธารณะ “แอลกอฮอล์ : ตัวเร่งโรค NCDs และทางออกเพื่อปกป้องสุขภาพคนไทย”

โดย ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุน สสส. เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังก้าวสู่ “ภาวะวิกฤต NCDs” จากโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และพฤติกรรมเสี่ยง โดยเฉพาะการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งสร้างภาระทั้งด้านสุขภาพและเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง เฉพาะปี 2564 ไทยสูญเสียทางเศรษฐกิจกว่า 165,450 ล้านบาท และเกือบ 80% ของคนไทย เคยได้รับผลกระทบจากการดื่มของผู้อื่น ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และครอบครัว แอลกอฮอล์ได้ถูกจัดให้เป็นสารก่อมะเร็งกลุ่มที่ 1 เชื่อมโยงกับมะเร็งอย่างน้อย 8 ชนิด ได้แก่ มะเร็งช่องปาก กล่องเสียง คอหอย เต้านม (ในผู้หญิง) หลอดอาหาร ลำไส้ใหญ่/ทวารหนัก ตับ และตับอ่อน

“แต่ที่น่ากังวลจากงานวิจัยของศวส. สำรวจประชาชนไทย 3,924 คน จาก 12 จังหวัดทั่วประเทศ ในปี 2568 พบคนไทยกว่า 90% ไม่รู้ว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อมะเร็งได้ สะท้อนความจำเป็นของการสื่อสารความเสี่ยงที่ถูกต้องและทันต่อสถานการณ์ เพราะปัญหานี้ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นภารกิจร่วมของทั้งสังคม ทุกคนจึงควรช่วยกันสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ภาระโรคจะลดลง และคุณภาพชีวิตของคนไทยจะดีขึ้นอย่างยั่งยืน” ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าว

รศ.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช อาจารย์ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า จากการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย โดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 7 ปี2567-2568 พบว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา จำนวน 17.1 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ ดื่มอย่างหนัก 7.7 ล้านคน หรือ 45% ส่วนอัตราการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยในทุกกลุ่มอายุ แต่เป็นที่น่าสังเกตคือ แนวโน้มการดื่มในกลุ่มวัยรุ่นมีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันระหว่างวัยรุ่นชายและหญิง ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มวัยผู้ใหญ่หรือสูงอายุที่พบว่า เพศชายมักจะมีอัตราการดื่มสูงกว่าเพศหญิง ความแตกต่างของความชุกของการดื่มระหว่างชายและหญิงมีแนวโน้มแคบลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งใกล้เคียงกับสถานการณ์ในประเทศแถบยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งความเชื่อ หรือการมองว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสิ่งช่วยในการเข้าสังคม หรือความเท่าเทียม

“ในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ยังมีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสัดส่วนที่สูง และคนที่ยังดื่มส่วนมากไม่รู้ตัวว่าป่วยเป็นโรคเรื้อรังแล้ว เช่น ผู้ป่วยเบาหวานที่ยังดื่มแอลกอฮอล์1.4 ล้านคน ในจำนวนนี้ ยังไม่รู้ตัวเองว่าป่วยเป็นเบาหวาน 5.9 แสนคน และผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ยังดื่มแอลกอฮอล์ 4.8 ล้านคน ในจำนวนนี้ ยังไม่รู้ตัวเองว่าป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง 3.1 ล้านคน ซึ่งการดื่มแอลกอฮอล์จะส่งผลเสียต่อการควบคุมโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ยังพบว่าคนที่ดื่มแอลกอฮอล์มีระดับค่าเอนไซม์ตับที่ผิดปกติสูงกว่าคนที่ไม่ดื่มโดยเฉลี่ย 3-5 เท่า และมีระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ที่สูงขึ้นโดยเฉลี่ย 1-2 เท่า ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด” รศ.พญ.เริงฤดี กล่าว

ด้าน รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร ผู้อำนวยการ ศวส. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า คนไทยดื่มแอลกอฮอล์สูงเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน และเป็นอันดับ 1 ของประเทศรายได้ปานกลางระดับบน ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 ร่วมกับการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย โดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 7 ชี้ตรงกันว่า ปัญหาการดื่มแอลกอฮอล์ของคนไทยยังคงสูงมาก ปัจจุบันคนไทยเริ่มดื่มเร็วขึ้น มีอายุเฉลี่ยที่ดื่มครั้งแรกอยู่ที่ 19.9 ปี สะท้อนว่า “ผู้หญิงและเยาวชน” กลายเป็นกลุ่มเปราะบาง และเป้าหมายทางการตลาดของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นพื้นที่ที่มีอัตราการดื่มสูงที่สุดเมื่อเทียบกับภาคอื่น ความแตกต่างนี้ชี้ให้เห็นว่ามาตรการควบคุมต้องตอบโจทย์บริบทแต่ละพื้นที่ควบคู่ไปกับนโยบายระดับชาติ

“ทุก 10 วินาที มีคนตายจากแอลกอฮอล์ 1 คน หากยังปล่อยให้การดื่มเป็นเรื่องปกติ ความสูญเสียจะทวีขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ภาระโรคที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ในไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มากกว่า 1 ใน 10 ของการตาย หรือปีสุขภาวะที่สูญเสีย (DALYs) เกิดจากแอลกอฮอล์ ทั้งก่อให้เกิดการบาดเจ็บ และป่วยจากโรค NCDs เช่น โรคหัวใจ-หลอดเลือด โรคตับ และมะเร็งหลายชนิด โดยเฉพาะผู้ชายที่มีอัตราเสียชีวิตสูงกว่าผู้หญิงอย่างชัดเจน ดังนั้น ไทยจำเป็นต้องมีมาตรการควบคุมแอลกอฮอล์ที่เข้มแข็งขึ้น พร้อมบูรณาการการทำงานทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ นักวิชาการ แพทย์ ภาคประชาชน และชุมชน เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนในระยะยาว และลดภาระ NCDs ที่กำลังทวีความรุนแรง” ผู้อำนวยการ ศวส. กล่าว

------------------------------
เวทีสาธารณะ “แอลกอฮอล์: ตัวเร่งโรค NCDs และทางออกเพื่อปกป้องสุขภาพคนไทย”
เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 ณ โรงแรมเบสเวสเทิร์น จตุจักร กรุงเทพฯ

 

“ครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยตับแข็งมาจากแอลกอฮอล์” สัญญาณชัดว่าต้องลดการดื่ม ก่อนวิกฤตลุกลาม
https://cas.or.th/content?id=1036

“ครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยตับแข็งมาจากแอลกอฮอล์” สัญญาณชัดว่าต้องลดการดื่ม ก่อนวิกฤตลุกลาม
------------


รศ.นพ.ศิษฏ์ ศิรมลพิวัฒน์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติจุฬาภรณ์
และคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้แทนจากสมาคมโรคตับแห่งประเทศไทย ร่วมให้ข้อมูลในเวทีเสวนา “แอลกอฮอล์: ตัวเร่งโรค NCDs และทางออกเพื่อปกป้องสุขภาพคนไทย” เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 ณ โรงแรมเบสเวสเทิร์น จตุจักร กรุงเทพฯ

โดย รศ.นพ.ศิษฏ์ กล่าวว่า...
"ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาโรคตับจากแอลกอฮอล์ที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการดื่มแอลกอฮอล์สามารถทำให้เกิดภาวะไขมันสะสมในตับ ตับอักเสบ ตับแข็ง และมะเร็งตับ โดยเฉพาะในปัจจุบัน พบว่า ผู้ที่มีโรคอ้วน เบาหวาน หรือปัจจัยเสี่ยงอื่น เช่น ไวรัสตับอักเสบ เป็นตัวเร่งให้เกิดโรคตับจากแอลกอฮอล์เร็วขึ้น

ปัญหาหนึ่งที่พบได้บ่อย คือ คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่า ไม่มีอาการผิดปกติ หรือค่าเลือดปกติแปลว่าตับไม่เป็นโรค ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากมาพบแพทย์เมื่อเข้าสู่ระยะรุนแรงแล้ว ก่อให้เกิดภาระทางสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคมอย่างมหาศาล จากการศึกษาในประเทศไทย พบว่า ร้อยละ 30-50 ของผู้ป่วยโรคตับแข็งที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมีสาเหตุจากแอลกอฮอล์ และผู้ป่วยโรคตับอักเสบเฉียบพลันจากแอลกอฮอล์มีอัตราเสียชีวิตภายใน 1 เดือน สูงถึงร้อยละ 30-50 สะท้อนความจำเป็นเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันลดการบริโภคแอลกอฮอล์ และผลักดันมาตรการป้องกันเชิงระบบเพื่อปกป้องสุขภาพคนไทย"

 

8 ประเด็นสำคัญ ในการกำหนดทิศทางของการบังคับใช้จริง หลัง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้วันนี้ (8 พ.ย. 2568)
https://cas.or.th/content?id=1023
Tags : -

8 ประเด็นสำคัญ ในการกำหนดทิศทางของการบังคับใช้จริง
หลัง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้วันนี้ (8 พ.ย. 2568)


8 พฤศจิกายน 2568 เมื่อพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ พระราชบัญญัตินี้ถือเป็นการปรับปรุงจากกฎหมายเดิมที่ใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ให้ทันต่อสถานการณ์ของสังคมไทยที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านเศรษฐกิจ ดิจิทัล เทคโนโลยีสื่อสาร และรูปแบบการตลาดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ซับซ้อนขึ้น

กฎหมายฉบับใหม่นี้มีความก้าวหน้าในหลายด้าน โดยเฉพาะการเติมเต็มช่องว่างที่กฎหมายเดิมยังไม่ครอบคลุม ซึ่งสามารถสรุปเป็นประเด็นสำคัญได้ดังนี้

  • การขยายคำนิยามให้ครอบคลุมสื่อยุคใหม่

พ.ร.บ. ฉบับที่ 2 ได้เพิ่มคำนิยาม “การสื่อสารทางการตลาด” เพื่อให้สามารถควบคุมพฤติกรรมการโฆษณาเชิงแฝง การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย การรีวิว การใช้สัญลักษณ์หรือโลโก้ที่สื่อถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในทุกช่องทาง ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ สอดคล้องกับมาตรา 32/1–32/5 ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการอุดช่องว่างการตลาดสมัยใหม่ที่เข้าถึงเยาวชนได้ง่าย

  • การคุ้มครองเด็ก เยาวชน และกลุ่มเปราะบาง

ย้ำข้อห้ามในการจำหน่ายให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และผู้ที่อยู่ในสภาพมึนเมา พร้อมเพิ่มบทลงโทษแก่ผู้ขายและสถานประกอบการที่ฝ่าฝืน เพื่อสร้างความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างผู้ประกอบการกับสังคม

  • การกำหนดพื้นที่และเวลาการขาย

ยังคงช่วงเวลาอนุญาตให้ขายไว้ที่ 11.00–14.00 น. และ 17.00–24.00 น. ตามเดิม พร้อมให้อำนาจรัฐมนตรีในการประกาศเพิ่มเติมพื้นที่ห้ามขาย เช่น รอบสถานศึกษา วัด โรงพยาบาล และสถานที่ราชการ เพื่อป้องกันการเข้าถึงที่ง่ายเกินไปของกลุ่มเสี่ยง

  • การเพิ่มบทลงโทษและความรับผิดทางแพ่งของผู้ประกอบการ

นับเป็นการยกระดับความรับผิดชอบของธุรกิจค้าปลีกและร้านอาหาร โดยกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องมีหน้าที่ตรวจสอบสถานะผู้ซื้อ และหากปล่อยปละละเลยจนเกิดความเสียหาย อาจต้องร่วมรับผิดทางแพ่งร่วมกับผู้กระทำความผิดโดยตรง

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของนักวิชาการ การประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้ยังต้องการความชัดเจนในการตีความ ซึ่งการทำให้กฎหมายเกิดผลจริงจำเป็นต้องอาศัย “กฎหมายลำดับรอง” ได้แก่ กฎกระทรวง ประกาศ และระเบียบปฏิบัติ ที่จะกำหนดรายละเอียดเชิงปฏิบัติให้สอดคล้องกับหลักการของกฎหมายแม่บท

 

ศวส. เห็นว่า “ช่วงเปลี่ยนผ่านนี้” คือ ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด เพราะจะเป็นการกำหนดทิศทางของการบังคับใช้จริงในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในประเด็นต่อไปนี้

1. ความชัดเจนของคำนิยามและขอบเขตการบังคับใช้

นักวิชาการเสนอให้มี การนิยามคำสำคัญให้ตรงกันในทุกประกาศ เช่น คำว่า “สถานที่หรือบริเวณห้ามขาย”, “บริเวณสาธารณะ”, “การจัดเลี้ยงตามประเพณี” และ “พื้นที่ของรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐ” เพื่อป้องกันปัญหาการตีความแตกต่างกันระหว่างเจ้าหน้าที่แต่ละพื้นที่ และควรกำหนดหลักเกณฑ์เชิงปฏิบัติ ว่า “การจัดเลี้ยงตามประเพณี” หมายถึงงานใดบ้าง (เช่น งานศพ งานแต่ง งานทำบุญประจำปี) เพื่อป้องกันการอ้างเป็นข้อยกเว้นโดยมิชอบ

2. การซ้ำซ้อนของพื้นที่ห้ามขาย/บริโภค

ประกาศหลายฉบับ (เช่น รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานรัฐ พื้นที่ราชการ สถานีขนส่ง สวนสาธารณะ ทาง และ ท่าเรือ) มีลักษณะพื้นที่ทับซ้อนกัน จึงควรมี “ผังหรือแนวทางบูรณาการพื้นที่ควบคุม” เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าใจขอบเขตเดียวกันและไม่เกิดความซ้ำซ้อนในการจับกุมหรือดำเนินคดี และเสนอให้จัดทำภาคผนวกแผนที่ (GIS Mapping) แสดงพื้นที่ควบคุม เพื่อให้ตีความตรงกันทั่วประเทศ

3. การกำหนดข้อยกเว้นต้องระบุเงื่อนไขอย่างรัดกุม

หลายร่างประกาศมีการยกเว้น “บริเวณที่จัดไว้เป็นร้านค้า สโมสร หรือการจัดเลี้ยงตามประเพณี” ซึ่งอาจเปิดช่องให้ตีความกว้างเกินไป เสนอให้ระบุเงื่อนไขการอนุญาต (เช่น เฉพาะกิจกรรมที่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ หรือมีระบบควบคุมไม่ให้เยาวชนเข้าถึง) เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายแม่บทที่มุ่งจำกัดการเข้าถึง

4.กระบวนการคัดเลือกกรรมการในคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ในร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีหลายฉบับ (มาตรา 10 (4)-(8)) กำหนดกระบวนการคัดเลือกผู้แทนองค์กรต่าง ๆ นักวิชาการเห็นว่าควรเพิ่มหลักเกณฑ์ความโปร่งใสและการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ, คุณสมบัติด้านจริยธรรมและความเป็นกลางของผู้แทนภาคธุรกิจ, และมาตรการป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน ระหว่างผู้แทนกับอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งเสนอให้มีกระบวนการสรรหาโดยคณะกรรมการอิสระร่วมกับภาควิชาการ เพื่อยืนยันความโปร่งใส

5. การบังคับใช้ในพื้นที่ท้องถิ่น

มีความกังวลว่าหน่วยงานท้องถิ่นบางแห่งยังขาดความเข้าใจและศักยภาพในการบังคับใช้กฎหมาย จึงควรกำหนดในกฎหมายลำดับรองให้ชัดว่า

  • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีบทบาทอย่างไรในการตรวจสอบและแจ้งเบาะแส
  • จะมีระบบประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างไร
  • เสนอให้ระบุช่องทางร้องเรียน E-Complaint หรือ Hotline ในระเบียบ เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมตรวจสอบ

6. การตีความเกี่ยวกับ “งานเลี้ยงตามประเพณี” และ “กิจกรรมพิเศษ”

ร่างประกาศบางฉบับ (เช่น ประกาศว่าด้วยทางรถไฟ และรัฐวิสาหกิจ) อนุญาตให้บริโภคได้ใน “งานเลี้ยงตามประเพณี” หรือ “กิจกรรมพิเศษ” เสนอให้ระบุเกณฑ์ชัด ๆ เช่น

  • ต้องเป็นงานที่มีลักษณะตามวัฒนธรรมท้องถิ่นหรือศาสนา
  • ได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดหรือหน่วยงานที่กำกับพื้นที่
  • มีมาตรการควบคุมไม่ให้เยาวชนหรือบุคคลเมาเข้าร่วม

7. ผลกระทบต่อการบังคับใช้และความเข้าใจของประชาชน

หากข้อความในประกาศยังใช้ภาษากฎหมายทั่วไปโดยไม่ระบุแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม จะเกิดปัญหาการตีความต่างกันระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชน เสนอให้มี “คู่มือการตีความและการบังคับใช้ (Implementation Guideline)” ออกพร้อมกับกฎหมายลำดับรอง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทั่วประเทศยึดแนวเดียวกัน

8. ความจำเป็นของกลไกติดตามประเมินผล

เสนอให้จัดตั้งคณะอนุกรรมการติดตามผลการบังคับใช้กฎหมายลำดับรอง เพื่อติดตามปัญหา ข้อร้องเรียน และเสนอปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง โดยมีภาควิชาการและภาคประชาสังคมร่วมเป็นกรรมการ

ดังนั้น การออกกฎหมายลำดับรองภายใต้พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ถือเป็นหัวใจสำคัญของการแปลง “เจตนารมณ์ของกฎหมาย” ให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง ภารกิจหลังจากนี้จึงไม่ใช่เพียง “การเขียนถ้อยคำให้ครบถ้วนตามมาตรา” แต่คือการทำให้กฎหมายเหล่านั้น สะท้อนคุณค่าของสังคมที่ให้ความสำคัญกับชีวิต สุขภาพ และศักดิ์ศรีของประชาชนไทยทุกคน ยิ่งไปกว่านั้น กฎหมายแม่บทที่ประกาศใช้แล้วจะมีความหมายต่อสุขภาพของคนไทยได้ ก็ต่อเมื่อกฎหมายลำดับรองเหล่านี้สามารถ กำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน โปร่งใส เป็นธรรม และยึดผลประโยชน์สาธารณะเป็นที่ตั้ง เพราะในที่สุดแล้ว “กฎหมาย” มิใช่เพียงเครื่องมือควบคุม หากคือพันธะร่วมของรัฐและสังคมไทยในการปกป้องสุขภาพของประชาชน และสร้างสังคมที่เห็นคุณค่าของชีวิตมากกว่าผลประโยชน์ทางการค้า

ผู้ดื่มสุราควรงดดื่มอย่างน้อย 48-72 ชั่วโมงก่อนและหลังการฉีดวัคซีนโควิด-19
https://cas.or.th/content?id=503

การดื่มสุราอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 และเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ผู้ดื่มสุราควรงดดื่มอย่างน้อย 48-72 ชั่วโมงก่อนและหลังการฉีดวัคซีนโควิด-19

การดื่มสุราอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 และเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง การดื่มสุรา (โดยเฉพาะการดื่มหนัก) สามารถกดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน และยังเพิ่มโอกาสเกิดโรคทางเดินหายใจรุนแรงได้

การดื่มสุราเพิ่มการแพร่เชื้อโควิด-19 โดยลดความยับยั้งชั่งใจทางสังคมแม้ดื่มเพียงเล็กน้อยก็ตาม และเป็นเหตุทำให้ความเจ็บป่วยรุนแรงเมื่อดื่มปริมาณมากขึ้น จากการไม่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันต่าง ๆ เช่น การเว้นระยะห่างทางสังคม และการล้างมือ เป็นต้น

ผู้ที่ดื่มสุราอย่างหนัก และผู้ดื่มประจำควรจะลดหรือหยุดดื่มสุราลงในช่วงนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 อย่างรุนแรงมากในประเทศไทย

ผู้ดื่มสุราที่ยังไม่สามารถเลิกดื่มได้ ก็ควรจะงดดื่มอย่างน้อย 48-72 ชั่วโมงก่อนและหลังการฉีดวัคซีนโควิด-19  เพื่อที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะได้อยู่ในสภาพที่พร้อมเต็มที่ในการตอบสนองต่อวัคซีน และเนื่องจากผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนบางคนอาจจะมีอาการข้างเคียงจากวัคซีน เช่น ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย หรืออาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ หากร่างกายอ่อนแอจากการดื่มสุรา ก็อาจทำให้อาการเหล่านี้รุนแรงมากขึ้น หรือทนต่ออาการเหล่านี้ไม่ค่อยได้ นอกจากนี้ หากดื่มจนเมาหรือดื่มหนักมากในคืนก่อนฉีด ผู้ดื่มก็อาจจะมีอาการถอนสุรา เช่น อาการเหงื่อออก คลื่นไส้ หรือ อาเจียน หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง กระวนกระวายกระสับกระส่าย และปวดศีรษะ ในวันที่ได้รับการฉีดวัคซีน ซึ่งอาจจะแยกได้ยากว่า เป็นอาการข้างเคียงที่เกิดจากการได้รับวัคซีนเข้าไปหรืออาการถอนสุรา และเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงอย่างอื่นตามมาอีกด้วย

ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.)

Centre for Alcohol Studies (CAS)

สาขาวิชาเวชศาสตร์ครอบครัวและเวชศาสตร์ป้องกัน อาคารศรีเวชวัฒน์ ชั้น 11 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เลขที่ 15 ถนนกาญจนวนิช ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 90110

083-5775533

https://www.facebook.com/cas.org.th

เข้าชมแล้ว 0 ครั้ง
Copyright © 2025 CAS All rights reserved.