ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา ได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “การเขียนบทความสื่อสารเชิงนโยบายและสังคม” โดยได้รับเกียรติจาก นพ.วิวัฒน์ โรจนพิทยากร ศ.นพ.ไพบูลย์ สุริยวงศ์ไพศาล และ ดร.นพ.ทักษพล ธรรมรังสี เป็นวิทยากรในการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์แก่ผู้เข้าร่วมการประชุม ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด จำนวน 40 ท่าน ที่เป็นทั้งนักวิจัย นักวิชาการ ภาคประชาสังคม ภาคีเครือข่ายที่ทำงานด้านการรณรงค์
วิทยากรทั้ง 3 ท่าน ได้เตรียมเอกสารประกอบการประชุม ดังนี้
เบียร์มีสารประกอบหลักเป็นแอลกอฮอล์ ซึ่งโดยทั่วไปเบียร์จะมีระดับแอลกอฮอล์ประมาณ 5% by volume นั่นคือ 100 mL ของเบียร์จะมีแอลกอฮอล์อยู่ 5 mL และแอลกอฮอล์มีความหนาแน่นประมาณ 0.79 เท่าของน้ำ ดังนั้นในเบียร์ 100 mL จะมีแอลกอฮอล์อยู่ 5×0.79 = 3.95 กรัม โดยในเบียร์หนึ่งเหยือกจะมีปริมาณเบียร์ประมาณ 1000 mL ฉะนั้น แอลกอฮอล์ในเบียร์หนึ่งเหยือกจะเท่ากับ 39.5 กรัม หรือ 3950 มิลลิกรัม คิดเป็น 395 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ (mg%)
โดยทั่วไป นักดื่มมักจะค่อยๆดื่ม ดื่มไปคุยกับเพื่อนไปกินกับแกล้มและเติมเบียร์ไป ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ร่างกายได้ค่อยๆทำลายและขับแอลกอฮอล์ออกจากกระแสเลือดซึ่งนั่นจะทำให้แอลกอฮอล์ไม่คั่งอยู่ในร่างกายของผู้ที่ดื่มมากนัก แต่ในกรณีแข่งดื่มเบียร์เป็นเหยือกในเวลาจำกัดนี้ จะมีลักษณะเหมือนเทแอลกอฮอล์พรวดเข้าไปในกระแสเลือดโดยไม่เว้นช่วงเวลาให้ร่างกายขับแอลกอฮอล์ออก จึงเกิดภาวะที่เรียกว่าแอลกอฮอล์เป็นพิษ (alcohol intoxication) ต่อร่างกาย
หากดูตารางระดับของแอลกอฮอล์ในเลือดที่ส่งผลต่ออาการหรือความผิดปกติต่างๆจะพบว่า ที่ระดับแอลกอฮอล์ 395 mg% อาจทำให้ผู้ดื่มหมดสติ ชีพจรช้าลง การหายใจแย่ลง จนถึงหยุดหายใจได้ ทั้งนี้เนื่องจากแอลกอฮอล์ออกฤทธิ์เป็นสารกดประสาท และในขนาดที่สูงระดับนี้ มันสามารถกดสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการหายใจและการรู้สึกตัวของผู้ที่ดื่มได้ ดังนั้น การดื่มเบียร์ เหล้า หรือไวน์ปริมาณมากในระยะเวลาอันสั้นจึงอาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้
ทางศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) ได้สอบถามไปยังนักวิชาการด้านกฎหมาย ได้แก่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ วศิน สุวรรณรัตน์ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์)
ผศ.วศิน ได้ให้ความเห็นว่า “กรณีที่ร้านอาหารจัดการแข่งขันจนทำให้มีผู้เสียชีวิต ตามหลักกฎหมายไทย ผู้ประกอบการ (ร้านอาหารที่จัดการแข่งขัน) อาจจะต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ฐานกระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายได้ นอกจากนั้น ในทางแพ่ง ก็ถือเป็นการทำละเมิดของร้าน ซึ่งต้องชดใช้ค่าเสียหายด้วย จึงถือว่าเป็นความผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญาได้”
อุดมศักดิ์ แซ่โง้ว
จากข่าวการเสียชีวิตของดาราสาว น้ำตาล เดอะสตาร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลได้แถลงถึงสาเหตุ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา ว่าเกิดจาก “วัณโรคหลังโพรงจมูก” ทำให้คนไทยหลายคนสงสัยถึงสาเหตุการเกิดวัณโรค ซึ่งปัจจัยเสี่ยงสำคัญของการเกิดวัณโรค เช่น ภาวะที่ร่างกายอ่อนแอ การติดเชื้อ HIV การป่วยเป็นเบาหวาน และการอยู่ในพื้นที่แออัดที่มีโอกาสสัมผัสกับเชื้อมากหรือมีคนใกล้ชิดป่วยเป็นวัณโรค
แอลกอฮอล์นำไปสู่การเสียชีวิตจากวัณโรค มากกว่า อุบัติเหตุบนท้องถนน
แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่เกิดจากพฤติกรรมซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดวัณโรคที่คนทั่วไปไม่ทราบ หรือมองข้ามไป เมื่อเดือนสิงหาคม 2561 ที่ผ่านมา วารสาร Lancet ซึ่งเป็นวารสารทางการแพทย์ชื่อดังระดับโลกได้ตีพิมพ์ รายงานการประมาณการภาระโรคที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์โดยใช้ข้อมูลจาก 195 ประเทศทั่วโลก (Alcohol use and burden for 195 countries and territories, 1990–2016: a systematic analysis for the Global Burden of Disease Study 2016) พบว่า แอลกอฮอล์ทำให้เกิดการเสียชีวิตทั่วโลกถึง 2.8 ล้านคนต่อปี โดยแอลกอฮอล์ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดการเสียชีวิตจากโรคนั้นๆ ข้อมูลที่น่าตกใจจากรายงานฉบับนี้ คือ โรคที่แอลกอฮอล์มีส่วนเกี่ยวข้องและทำให้เกิดการเสียชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งทั่วโลก คือ “วัณโรค” ซึ่งสูงกว่าการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนจากแอลกอฮอล์ซึ่งตามมาเป็นอันดับ 2 เสียอีก [1] ประมาณการกันว่า 10% ของการป่วยเป็นวัณโรคทั่วโลกมีสาเหตุมาจากการดื่มแอลกอฮอล์ [2]
ดื่มหนักเสี่ยงวัณโรค 3 เท่า !!!
ก่อนหน้านี้ในปี 2551 ทีมนักวิจัยจากองค์การอนามัยโลก (World Health Organization) ได้ตีพิมพ์งานวิจัยแบบ systematic review ที่เป็นการรวบรวมข้อมูลจากงานวิจัยหลายๆ ชิ้น และนำมาวิเคราะห์ร่วมกัน โดยได้รวบรวมผลงานวิจัย 21 ชิ้นเกี่ยวกับแอลกอฮอล์และวัณโรคนำมาวิเคราะห์ร่วมกัน พบว่า ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์แบบดื่มหนัก (40 กรัมต่อวันขึ้นไป) มีความเสี่ยงในการเกิดวัณโรคสูงเกือบ 3 เท่าของคนทั่วไป [3]
แอลกอฮอล์ก่อกวนการทำงานของเม็ดเลือดขาว และลดประสิทธิผลยารักษาวัณโรค
สาเหตุที่แอลกอฮอล์เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรควัณโรค เนื่องจากแอลกอฮอล์ไปลดความสามารถในการทำงานของเม็ดเลือดขาวหลายชนิดซึ่งเป็นกลไกของร่างกายที่ใช้ในการกำจัดเชื้อวัณโรคที่เข้าสู่ร่างกาย ก่อนที่ลุกลามไปจนมีอาการป่วย เม็ดเลือดขาวที่ทำงานด้อยลงหากเราดื่มแอลกอฮอล์ เช่น macrophage, CD 4+ lymphocyte, CD 8+ lymphocyte ในกลุ่ม T cells ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์จึงถือเป็นผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำกว่าปกติ นอกจากนี้ สำหรับคนที่ป่วยเป็นวัณโรคและกำลังทานยารักษา การดื่มแอลกอฮอล์ทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลงเนื่องจากแอลกอฮอล์จะไปรบกวนการทำงานของยา Isoniazid ซึ่งเป็นตัวยาหลักในตำหรับยาที่ใช้รักษาวัณโรค [2]
การดื่มเหล้าดื่มเบียร์ ยังเป็นพฤติกรรมเสี่ยงที่คนทั่วไปกระทำกัน นอกเหนือจากอุบัติเหตุ โรคตับแข็ง มะเร็งตับที่ทุกคนทราบกันดี แอลกอฮอล์ยังก่อให้เกิดโรคที่เราไม่ค่อยนึกถึงกันได้อีกมาก “วัณโรค” ที่เพิ่งคร่าชีวิต น้ำตาล เดอะสตาร์ ไปก็ถือเป็นหนึ่งในโรคร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับการดื่มแอลกอฮอล์ องค์การอนามัยโลกได้จัดให้แอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคกว่า 200 โรค [4] รวมไปถึงโรคมะเร็งอันดับหนึ่งในผู้หญิง คือ มะเร็งเต้านม และยังเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งอีกหลายชนิด ได้แก่ มะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งในช่องปาก มะเร็งกล่องเสียง เป็นต้น การ ลด ละ เลิก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำเพื่อลดโอกาสที่จะจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควร
ผู้เขียน : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพ. อุดมศักดิ์ แซ่โง้ว ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยระบบสุขภาพและการแพทย์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ (CE-HSMR) และศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.)
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพ. อุดมศักดิ์ แซ่โง้ว
อ้างอิง
สาขาวิชาระบาดวิทยา อาคารบริหาร ชั้น 6 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 15 ถ.กาญจนวนิช ต.คอหงส์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา 90110
โทรศัพท์ : 083-5775533 (เวลาราชการ 08.30 - 16.30 น.)
Copyright © 2019 CAS All rights reserved.